Business

อยากเก็บคน Gen-Y ให้อยู่กับบริษัทไปนานๆ ต้องสร้างบรรยากาศแบบ “เพื่อนสนิท”

By: Chaipohn April 19, 2016

หลังจากที่เราเจาะลึก  4 Steps ที่คน Gen-Y มักลาออกจากออฟฟิศ ซึ่งเป็นเทรนด์ระดับใหญ่ในปัจจุบัน ลองหันไปถามเพื่อนในบริษัทไหนก็น่าจะได้คำตอบคล้ายๆ กัน ต้องยอมรับว่าในบริษัท UNLOCKMEN เองก็มีเด็ก Gen Y อยู่เพียบ และหลีกเลี่ยงปัญหานี้ไม่ได้เช่นกัน หลังจากใช้เวลาคิดหาทางไปมา ทดลองหลากหลายวิธี ก็พบเจอกับวิธีที่คิดว่ามันเวิร์คดีจนอยากนำมาแชร์ บอกก่อนเลยว่าทางออกไม่ใช่เรื่องเงิน

ทุกครั้งที่ถามผู้บริหารหรือ HR หัวเก่า ถ้า Gen Y คนนั้นเจ๋งจริง วิธีที่ใช้เพื่อรักษาบุคลากรเหล่านั้นไว้ มักจะเป็นการขึ้นเงินเดือน การเลื่อนตำแหน่ง หรือการมอบหมายความท้าทายที่มากขึ้น สิ่งเหล่านี้สามารถรั้งให้คน Gen Y อยู่ต่อไปได้แต่ก็ไม่นาน แต่วิธีที่จะทำให้ได้ผลยาวนานถาวรกว่านั้นคือการสร้างทีมให้มีบรรยากาศทำงานแบบเพื่อนสนิท

 

160419-geny-1

Insight : มึงตก กูก็ตก สบายๆ จะเครียดไปทำไม

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม โดยเฉพาะในหมู่เด็ก Gen Y เป็นกลุ่มวัยที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูง มั่นใจในตัวเอง เชื่อเพื่อน รักเพื่อน ทำอะไรกับเพื่อนมากกว่าเจ้านายในทีมด้วยซ้ำไป ฟังดูเหมือนไม่เห็นแปลกตรงไหน แต่สิ่งที่แตกต่างจากคน Gen อื่นๆ อย่างชัดเจนคือ กลุ่ม Gen เก่าๆ จะสามารถแยกแยะเรื่องเพื่อนกับเรื่องอนาคตในหน้าที่การงานให้ขาดจากกัน กลุ่มนี้จะมีเป้าหมายชัดเจนว่าชีวิตนี้ต้องการอะไร ต้องทำยังไงถึงจะไปถึงตรงนั้น เรียกว่าเข้าใจชีวิตดีกว่าก็ไม่ผิด

ในขณะที่กลุ่ม Gen Y ถ้าเรามองย้อนกลับไปถึงช่วงเรียนมหาวิทยาลัย กลุ่มเลือดใหม่นี้จะทำอะไรตามๆ กัน โดยไม่สนว่าจะต้องโดดเรียนจนถึงขั้น Drop หรือสอบตกเรียนใหม่ ไม่มีปัญหาถ้าเอ็งกับข้าสอบตกด้วยกัน ซึ่งมีให้เห็นเป็นประจำ แต่ข้อดีคือคนกลุ่มนี้มักจะสนิทกันถึงตอนอายุเยอะ ถ้าเทียบกับคนอีกกลุ่ม

เมื่อความคิดฝังหัวแบบนี้ติดตัวมา บวกกับยุคสมัยที่เหมือนจะรณรงค์ให้ทุกคนเข้าใจว่าชีวิตมันสบายๆ จะลำบากไปทำงานออฟฟิศซึ่งดูไม่เท่ไปทำไม จึงทำให้เด็ก Gen Y ไม่สามารถแยกเรื่องส่วนตัว เรื่องเพื่อน กับเรื่องงานออกจากกันได้ และเมื่อเด็ก Gen Y เปลี่ยนสังคมใหม่ เข้าไปทำงานในบริษัทที่มีแต่คนแปลกหน้า การได้เพื่อนในสิ่งแวดล้อมใหม่แบบนี้จึงเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจขึ้นมาทันที สังเกตุง่ายๆ ว่าเด็ก Gen Y ถ้าเพื่อนยังไม่ลุกไปกินข้าวเที่ยง ต่อให้เวลาผ่านไปจนถึงบ่ายโมงครึ่ง แต่ละคนก็จะรอกันไปรอกันมา ไม่ได้กินสักที

 

160419-geny-2

สร้างทีมงาน Gen Y  ที่มี DNA คล้ายกัน

ก่อนจะตีความหมายของเราผิด การสร้างบรรยากาศทำงานแบบเพื่อนสนิท ไม่ได้แปลว่าให้คุณหัวหน้าผู้บริหารลงมาเล่นตบหัวกระบาลกับเด็ก แต่หมายถึงให้สร้างทีมที่มี DNA คล้ายๆ กัน เพราะเด็ก Gen Y จะดึงดูดกันได้ง่ายถ้าเป็นคนสไตล์เดียวกัน สมมติเป็นทีมที่บ้าๆ บอๆ ชอบหาอะไรทำหลักเลิกงาน จู่ๆ มีเด็ก Gen Y อีกคนที่ชอบอยู่เงียบๆ ไม่ออกไปไหน ไม่ทำอะไรนอกจากงาน แนวโน้มคือ เด็กคนนี้อยู่ได้ไม่เกิน Probation ก็หายไปอย่างแน่นอนเนื่องจากปรับตัวไม่ได้ (Culture Shock)

จากที่เราบอกไปก่อนหน้านี้ว่าเด็ก Gen Y จะไม่ค่อยแยกเรื่องส่วนตัวออกจากเรื่องงาน ถ้าทีม Gen Y ของคุณโอเคกับงานที่ทำ มันจะกลายเป็นข้อดีทันที เพราะต่อให้นอกเวลางาน แก๊งค์ Gen Y ก็มักจะเอาเรื่องงานมาคุยกันจนเกิดไปไอเดียดีๆ ได้เช่นกัน ดังนั้นเวลาเราเห็นเด็กเล่น Facebook หรือออกไปกินกาแฟกันนานๆ ในเวลางาน ก็พยายามทำความเข้าใจและเชื่อใจให้มาก คำแนะนำคือให้ Deadline แบบเด็ดขาดไป แล้วรอวัดใจดูผลงานตอนสุดท้ายว่าจะออกมาเป็นยังไง เราค่อนข้างมั่นใจว่าเด็ก Gen Y จะไม่ปล่อยให้ผลงานออกมาห่วยๆ แน่นอน และโอกาสที่เด็ก Gen Y จะลาออกทิ้งเพื่อนไปที่อื่นก็เป็นไปได้น้อยเช่นกัน (ถ้าคุณมั่นใจว่าเลือกคนที่โอเคเข้ามาตั้งแต่แรก)

 

160419-geny-3

ดี ดีกันหมด / ไป ก็ไปยกทีม

ข้อเสียของการคัดคน DNA เดียวกันเข้าทำงานแบบเพื่อนสนิทก็มีเช่นกัน เพราะเด็กกลุ่มนี้จะเป็นโรคติดต่อกันง่าย ถ้าจะคึก มันก็คึกไปพร้อมๆ กัน แต่บทจะเล่นหรือนอยรับประทาน มันก็เป็นไปพร้อมๆ กันด้วยเช่นกัน ดังนั้นส่ิงที่ต้องระวังคือ หมั่นเช็คสภาพอารมณ์ของเด็ก Gen Y แต่ละคน คอยรีวิวว่างานที่เราสั่งไปมันน่าเบื่อเกินไปหรือเปล่า และดูว่าเงินเดือนที่เราให้นั้นไม่น้อยกว่า Market Benchmark เพราะถ้าเกิดมีผู้นำบ่นๆ อยากลาออก บรรยากาศของทีมงานจะซึมเป็นยางรั่วได้อย่างรวดเร็ว

สำหรับผู้บริหาร สิ่งที่เราอยากจะบอกคือ กลุ่มเด็ก Gen Y นั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ขึ้นอยู่กับว่าเราสามารถสร้าง Organization Culture ที่เหมาะสมกับคนที่คุณคัดเลือกมาได้หรือไม่ ที่ผ่านมาเราค้นพบว่า การเลือกคนแบบเอาใครก็ได้ หรือเน้นที่เงินเดือนไม่แพง มักจะเป็นความผิดพลาดระยะยาว ซึ่งอันนี้จะโทษ Gen Y ก็ไม่ได้ แต่ถ้าคุณมั่นใจว่าทำทุกอย่างถูกต้องหมดทุกอย่าง เราเชื่อว่าอัตราการลาออกน่าจะลดลงอย่างเห็นได้ชัดเลยครับ

Chaipohn
WRITER: Chaipohn
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line