Entertainment

ZERO TO HERO: JOEY BOY เซียนเวทีระดับพระกาฬ มากกว่าแรปเปอร์ แต่คือ “เอนเตอร์เทนเนอร์”

By: Synthkid September 24, 2019

‘โจ้ อภิสิทธิ์ โอภาสเอี่ยมลิขิต’ หลายคนอาจจะไม่คุ้นเคยกับชื่อนามสกุลนี้ เพราะฟังแล้วคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นชื่อของดาราหรือนักการเมืองคนไหน แต่ถ้าหากเอ่ยชื่อ ‘Joey Boy’ (โจอี้ บอย) ขึ้นมาเมื่อไหร่ ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร อายุเท่าไหร่ อยู่ส่วนไหนในประเทศ เราเชื่อว่าคุณจะต้องร้องอ๋ออย่างแน่นอน บทเพลงของเขาคือยาปลุกความสนุกที่อยู่คู่คนไทยมาอย่างช้านาน

ตลอด 25 ปี ที่เหยียบย่างเข้ามาในวงการ โจอี้ บอยเป็นทั้งนักร้อง นักแสดง โค้ช กรรมการรายการประกวดร้องเพลง นักกีฬายิงธนู หรือแม้กระทั่งนักกีฬาทีมชาติพารามอเตอร์ก็เป็นมาแล้ว เขาคือชายที่ผ่านมาหมดทุกเวที ไม่แปลกที่หลายคนจะยกย่องให้เขาเป็นมากกว่าแค่ศิลปิน แต่เป็นถึง ‘เอนเตอร์เทนเนอร์’ ระดับพระกาฬ ที่ยากจะมีใครเทียบเท่า และวันนี้ UNLOCKMEN จะมานั่งคุยสบายกับเซียนเวทีผู้นี้ ที่บอกกับทางทีมเราว่า “วันนี้ไม่ได้มาในร่างโจอี้ บอยนะ แต่มาในร่างพี่โจ้”

จำเวทีแรกของตัวเองได้ไหม

จริง แล้ว ออดิชันแรกของผมคือการเปิดหมวกครับ ตอนนั้นผมยังไม่ได้เป็นโจอี้ บอยเลย แค่เข้าไปคุยกับพี่ ๆ ที่เบเกอรี่มิวสิคว่าผมอยากเป็นนักร้อง อยากทำอัลบั้ม เขาก็ให้ทำแบบนี้ คือเอาเครื่องเสียงไปตั้งอยู่หน้าร้าน ‘เปี๊ยก ดีเจสยาม’ ร้องเพลงอย่างไรก็ได้ให้คนเข้ามาดู นับเป็นการโชว์ครั้งแรก เพราะมีการเตรียมตัวมาอย่างดี หลังจากนั้นถึงจะได้ขึ้นไป featuring ให้วง TKO (ออริจินัลไทยแร็ป วงแรกของไทย) บนเวที MBK Hall ถ้านับว่าเป็น ‘เวที’ คอนเสิร์ต TKO นี้ก็จะถือเป็นเวทีแรกของผมครับ

เวทีที่จำไม่ลืม

ผมเคยไปทัวร์ต่างจังหวัด ช่วงนั้นเป็นช่วงที่พีคที่สุดของโจอี้ บอย เวทีนี้ใหญ่มาก จุคนได้เป็นพัน มีการล้อมรั้ว แล้วก็เล่นกลางแจ้ง ก่อนจะเล่นมีการแห่ด้วยอีกต่างหาก แต่ออกมามีคนดูจริงอยู่ 5 คน! มันเป็นความผิดพลาดของผู้จัดยุคนั้นครับ สมัยก่อนชอบมีการจัดงานตัดหน้ากัน แย่งกันไปมา จนมันเกิดการโปรโมตไม่ทัน แต่เราก็เล่นให้ 5 คนนั้นดูอย่างเต็มที่ เป็นครั้งแรกที่ทำให้เรารู้สึกว่า

“ไม่ว่าจะมีกี่คนมาดู มันก็สนุกสำหรับเราอยู่ดี เราเองก็ทำให้เขาสนุกได้แน่ๆ”

การเตรียมตัวสำหรับขึ้นเวที

สำหรับพี่มันไม่มีการเตรียมอะไร เหมือนเปิดโหมด Autopilot บนเวทีเรากลายเป็น ‘โจอี้ บอย’

ที่นั่งพูดอยู่นี่ไม่ใช่นะ นี่พี่โจ้! แต่บนนั้นคือโจอี้ บอย มันเป็นไปตามอัตโนมัติ

อยู่ ๆ ให้พี่ไปพูดต่อหน้าผู้คนพี่ทำไม่ได้นะ แต่ถ้าพี่รู้ว่าพี่ต้องขึ้นเวที และนั่นคือเวทีของโจอี้บอย พี่จะกลายเป็น ‘คน ๆ นั้น’ โดยสมบูรณ์พี่ไม่ชอบที่สุดคือการเล่นเป็นแขกรับเชิญ เพราะพอมันไม่ใช่ตัวพี่ จะมีความงง ทำตัวไม่ถูก แต่เมื่อใดที่เป็นคอนเสิร์ตตัวเอง โจอี้ บอย 100% ก็จะออกมาอยู่ตรงนั้น บางครั้งตอนแสดง ในหัวมันคิดไปถึงเรื่องอื่น ๆ แต่ตัวเรากลับสนุกสนาน เล่นไปเรื่อย ๆ เหมือนอีกหัวของพี่มันจะคอยสังเกตคนดู แบบเฮ้ยโต๊ะนี้เขาสนุกยังวะ? ตรงนี้เขาคิดอะไร? เอ๊ะทำไมคนนี้นิ่ง ๆ วะ? ตัวที่เป็น ‘พี่โจ้’ จะคอยสอดส่อง หาข้อมูลให้กับโจอี้ บอย เพื่อให้โจอี้ บอยเล่นไปให้ถูกทาง และหาจังหวะดี ๆ เอนเตอร์เทนเขาให้ได้

ไม่ชอบเป็นแขกรับเชิญ?

ใช่ อะไรที่ทำให้รู้สึกไม่เป็นตัวเอง พี่ก็จะงงๆ

แล้วเวลามีปัญหาไม่คาดคิดเกิดขึ้นบนเวที รับมืออย่างไร

โจอี้ บอยเซียนมากนะ รับมือมาแล้วทุกสถานการณ์ ตลอด 25 ที่ผ่านมา มันแก้ไขได้ดีมาโดยตลอด มีแบบร้อง ๆ อยู่ มีคนเดินมาด่าหน้าเวทีแบบ “เฮ้ยหลังเวทีนี้คือบ้านกู แม่กูนอนป่วยอยู่มึงเล่นแบบนี้ได้ยังไง” คือกูก็ไม่รู้ไง แต่ต้องแก้ปัญหาตอนนั้น

ผมเลยบอกว่า “ขอโทษนะครับ เชิญพี่กลับไปก่อนครับ ทีมงานเก็บเครื่องเสียงเลยครับ” และโจอี้บอยก็ร้องปากเปล่า ถ้ามึงไม่ได้ยิน มึงก็ร้องไปกับกู แล้วพี่ก็เล่นไปแบบนั้นจนจบงาน มันจะมีกระบวนการทางความคิดในการเอนเตอร์เทนที่ดำเนินไปเองแบบอัตโนมัติ ณ ตอนนั้นครับ

เจอแฟนเพลงตีกันบ้างไหม

คอนเสิร์ตพี่มีตีกันน้อยมาก เพราะมันมัวแต่เต้น! แต่จะมีพวกจิ๊กโก๋ประจำบ้าน เหมือนเวลาเราไปเรียน แล้วมันจะมีตัวซ่าประจำห้อง ไอ้คนพวกนี้มันจะชอบก่อกวน ยียวนประสาทอยู่ข้างหน้าเวที พวกข้างหน้านี่ตัวแสบเลย วิธีจัดการก็ไม่มีอะไรมาก ผมจะถามว่า “ร้องเพลงผมได้ไหมครับ” แล้วก็เชิญขึ้นมาบนเวที ยื่นไมค์ให้ร้อง เปิดเพลงให้ด้วย! แล้วผมก็เดินลงเวทีไป ปล่อยให้เขายืนอยู่บนนั้นสักสามนาที เป็นการสงบจิตสงบใจ

แรก ๆ คิดไหมว่าโจอี้ บอยจะดังขนาดนี้

ก่อนอื่นต้องชี้แจงก่อนว่าพี่ชอบเพลงแนวนี้ แต่พี่ไม่ได้ใช้ชีวิตแบบคัลเจอร์นี้ กูโตมากับย่านวรจักร-บางนา กูคิดว่าเพลงจะต้องบอกเรื่องราวของคนวรจักร และคนบางนา เด็กวัดราชา และเด็กเซนต์ดอมินิกอย่างกูเท่านั้นเอง! ฉะนั้น เราก็เลยเป็นอย่างที่เราเป็นมาโดยตลอด ถามว่าตอนแรก ๆ คิดไหมว่าเพลงจะต้องดังหรือเปล่า บอกเลยว่าไม่ ผมคิดอย่างเดียว ผมไม่อยากเรียนหนังสือ ผมบอกพี่บอยช่วยทำอัลบั้มให้เสร็จ ผมเรียน ABAC ปี 2 ผมเรียนไม่รู้เรื่อง รู้สึกว่ามันไม่ใช่ ถ้าผมมาทำงานกับพี่ ผมจะได้ไม่ต้องกลับไปเรียน ดังไม่ดัง มีเงินทองชื่อเสียง กูไม่รู้เรื่องหรอก รู้แค่เอาตรงนี้ออกไปก่อน…

“พอผ่านมา 25 ปี ว้าว… กูมาแบบไม่มีแผนการจริง ๆ

เอาตัวรอดแค่พรุ่งนี้ไม่ต้องไปโรงเรียน จนมาอยู่ตรงนี้ได้ เออนี่แหละคือเวทีชีวิต”

คิดว่าคนรู้ไหมว่าเราเป็นแรปเปอร์ที่ไม่ผูกกับวัฒนธรรมฮิปฮอป

รู้ดิ! แรปเปอร์ที่ไหนไว้ผมยาวถึงตูดบ้าง นี่แหละชัดเจนสุดแล้วว่ากูเนี่ยเด็กบางนา (หัวเราะ)

แล้วคนที่ถือคัลเจอร์หนัก ๆ พี่ว่าเขาจะรู้สึกไง

เขาก็คงไม่ชอบขี้หน้า แต่ไม่ชอบก็ไม่ต้องฟัง ไม่มีปัญหาอะไรนะ เราว่าเราชัดเจน เราอยู่เพื่อคนที่ฟังเรา แล้วเราก็ไม่ต้องพยายามเป็นอะไรที่ตัวเองจะเขิน

“ทุกวันนี้กูไม่มีทางเป็นอะไรที่กูรู้สึกเขินกับตัวกูเอง”

ยุคนี้เริ่มมีมากขึ้น คนที่ทำเพลงแร็ป แต่ไม่ถือคัลเจอร์ฮิปฮอป เหมือนโจอี้ บอย จะกลายเป็นผู้มาก่อนกาล

พี่ถือว่าพี่เป็นแรปเปอร์ พี่เชื่อเสมอว่ากูแร็ปกับอะไรก็ได้ ร็อกก็แร็ปได้ บอสซาโนวาเหรอมาสิ แจ๊ซก็ชอบมาก และวันนึงกูจะต้องแร็ปกับสามช่ากูให้ได้! มันถึงถือกำเนิดเพลง Slow Motion ขึ้นมา ผมรู้สึกว่าผมแต่งเพลงได้หลากหลาย เพลงไหนเขินมากผมก็ไม่ร้องเอง ให้คนอื่นร้องไป อย่างเช่นเพลงนางฟ้า ของ ETC. ไม่มีใครเชื่อเลยว่ากูแต่ง (หัวเราะ)

ว่าแต่ตอนนั้นไปรู้จักบอย โกสิยพงษ์ได้อย่างไร

พี่บอยเป็นพี่ชายเพื่อนสนิทที่นั่งข้างกันตอนเรียน เพื่อนผมชื่อ ‘ไอ้บลู’ บลูเป็นน้องชายพี่บอย สมัยก่อนผมไปเที่ยวบ้านที่บอยหลังเลิกเรียนตลอด พี่บอยเห็นผมเป็นเด็กแร็ป เขาถามตลอดว่า “ออกเทปไหม?” ตอนนั้นผมอยู่ ม.5 ก็รู้สึกแบบไม่ไหวอ่ะ ผ่านไปสองปี เพิ่งย้อนกลับไปคิดได้ว่าพี่เขาเคยชวนกูนี่หว่า และตอนนี้กูพร้อมแล้ว ก็เลยติดต่อเขากลับไป

เชื่อคำว่า ‘คนเราไม่ควรทำอะไรใหญ่เกินตัวไหม?’

“พี่เชื่อว่าคนเราทำได้ถ้าถนัด อันดับแรกต้องถนัด คือทำด้วยความรักมันเข้าใจได้ แต่ถ้าทำด้วยความถนัดมันจะสำเร็จง่าย ทำให้มีความมั่นใจในการทำ คนเราเลือกทำทุกสิ่งที่ฝันได้ ถ้าเลือกสิ่งที่มันถนัดจริง ๆ”

ยังเล่นพารามอเตอร์อยู่ไหม

ไม่ได้เล่นแล้วครับ ตั้งแต่ปี 2012

ช่วงที่ไปเป็นนักกีฬาพารามอเตอร์ทีมชาติ หรือลงแข่งขันยิงธนู ตอนนั้นคือ ‘พี่โจ้’ หรือ ‘โจอี้ บอย’

พี่โจ้! ทิ้งโจอี้บอยไปเลย ลูกน้องในวงด่าผมว่าแบบ “พี่ครับ พี่มารับคอนเสิร์ตเถอะครับ ผมไม่มีจะกินแล้ว พี่ลงมาจากฟ้าเถอะครับ” (หัวเราะ) คือจริงๆ พี่อยากเป็นนักกีฬา เป็นความฝันอันสูงสุดของชีวิตพี่เลยการเป็นนักกีฬาทีมชาติ ช่วงนั้นพี่มีความสุขมาก คนอายุสามสิบกว่า ทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองติดทีมชาติ เหมือนกลับไปหาความทรงจำครั้งสำคัญของเรา แล้วได้ทำมันจนสำเร็จ

มีอะไรที่อยากทำอีกไหมนอกเหนือจากทั้งหมดที่ผ่านมานี้?

มีหลายอย่างเลยครับ พอมันถึงจุดนึง เราได้ทำงานที่ตัวเองรัก ได้ตามฝันตัวเองจนประสบความสำเร็จ ทีนี้แหละจะเริ่มอยากทำอะไรที่ตัวเองไม่เคยทำสำเร็จบ้าง นั่นก็คือการเรียนเลขเว้ย! กูอยากเข้าใจ กูจะหาเวลากลับไปเรียนเลข จะได้รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร กูโง่ กูไม่ตั้งใจ หรือกูไม่สนใจ คือมันติดอยู่ในใจว่าทำไมกูต้องสอบตกวิชานี้วะ แล้วมันจะมีโอกาสไหมในชีวิตที่กูจะเข้าใจ มันอาจจะเป็นเรื่องง่าย ๆ นะ แต่พี่คิดเสมอว่าจะกลับไปทำอะไรที่ตัวเองไม่ถนัด เพื่อท้าทายตัวเองไปเรื่อย ๆ

เป็นศิลปินรวยอยู่แล้ว ทำไมต้องลุกขึ้นมาทำอะไรตั้งเยอะแยะ

“ความฝันของพี่เงินซื้อไม่ได้ แต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน แต่สำหรับพี่ถ้าเงินซื้อได้ มันอาจจะไม่ใช่ความฝัน”

พี่เองเป็นคนใช้เงินไม่เป็น ไม่รู้จะใช้อะไร ความฝันของพี่มันดันต้องออกไปปั้น ไปลงทุนลงแรง ก็คงมุมใครมุมมันเนอะ

แฟนคลับเขาคิดถึงตอนพี่เล่นหนัง พี่ชอบเล่นหนังไหม

พี่ชอบมาก แต่เวลาการทำหนังสักเรื่องมันไม่ใช่เรื่องของคน ๆ เดียวไง มันคือทีมใหญ่ ๆ มีเรื่องของโปรดักชัน นายทุน และเวลา หนังเนี่ยนะต่อให้ขี้หมูขี้หมาก็ใช้เวลาเป็นปีหรือสองปี แล้วเราต้องหาคนเป็นร้อยคนที่มีเวลาว่างสองปีมาทำงานด้วยกัน จริง ๆ พี่รักการทำหนังมาก ไม่ว่าจะเล่นเองหรือทำอะไรในนั้น เพราะมันสนุก ยังคงอยากทำอยู่เรื่อย ๆ ตอนนี้ก็มีโปรเจ็กต์ที่อยากทำเพิ่มอีกแล้วด้วย

ปั้นตัวเองกับโปรดิวซ์ให้คนอื่น อย่างไหนยากกว่ากัน

ทำให้คนอื่นยากกว่า จริง ๆ มันก็มีทั้งยากและง่ายกว่า แต่ทำเพลงให้คนอื่นสนุกมาก เพราะเขามีสิ่งที่เราไม่มี มีสิ่งที่เราอิจฉา ผมจะชอบคิดว่า “ถ้ากูมีความสามารถแบบมึง กูจะทำแบบนี้” คือมึงอยู่กับมัน มึงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองมีอะไร แต่กูเห็นไง กูอยากมีเหมือนมึงมานานมาก และถ้ากูมีแบบมึงกูจะทำแบบนี้

คิดว่าเวทีประกวดร้องเพลงเยอะเกินไปไหมในยุคนี้

ผมรู้สึกว่ามันเยอะนะ แต่ทำไงได้คนมันชอบร้องเพลง และมันก็โอเคสำหรับผม มันทำให้ได้เห็นว่านอกจากคนรอบตัวเรา มันมีคนที่รักในการร้องเพลงเยอะฉิบหาย แถมยังมีเวทีการร้องหลากหลายให้เลือกสรร โดยส่วนตัวผมคิดว่าสนุกดี และทำให้ได้รู้ว่าคนไทยชอบร้องเพลงมาก ๆ

แกนหลักในชีวิตของพี่โจ้ และ โจอี้ บอย คือความสนุก?

ถ้าพี่บอกว่าพี่ไม่เคยเศร้าเลยมันประหลาดป่ะวะ คือเคยเศร้าแบบอกหักเสียใจ แต่นอกจากเรื่องความรักที่ไม่ค่อยมีโมเมนต์เศร้าเท่าไหร่ น้อยมาก หรือเราไม่มองมัน หรือมันไม่ใส่ใจก็ไม่รู้

พี่ทำทุกวันของพี่ให้มันสนุก ความสนุกคือเชื้อในการดำเนินชีวิตของเรา

ไม่เคยตื่นมาแล้วเศร้า เครียด อิจฉา ริษยา โมโห มันไม่ค่อยอยู่ในสมองสักเท่าไหร่ ตื่นมาทุกวันพี่จะถามตัวเองว่าวันนี้กูจะทำอะไรวะ เช่นวันนี้พี่ก็บอกตัวเองว่า เฮ้ยวันนี้เราจะมาสัมภาษณ์ของ UNLOCKMEN ที่ร้าน Vinyl & Toys ต้องสนุกแน่ ๆ เลยว่ะ จะขี่ Vespa มาด้วย กระบวนการในหัวพี่จะเป็นแบบนี้

“คิดแค่ว่าจะทำอะไรให้สนุกแบบวันต่อวัน ไม่คาดหวังไปไกล

ไม่เชื่อในความผิดหวังด้วยซ้ำ อยู่กับมันให้เป็นปัจจุบันที่สุด สนุกที่สุด น่าจะพอแล้ว”

 


PHOTOGRAPHER: Krittapas Suttikittibuth

LOCATION: Vinyl & Toys

 

Synthkid
WRITER: Synthkid
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line