Entertainment

น้าเน็ก: ผมไม่ใช่คนตลก แต่เรียนรู้ที่จะใช้เสียงหัวเราะทำให้ทุกอย่างสนุกขึ้น ดีขึ้นและแตกต่าง

By: PSYCAT October 3, 2019

“ผมไม่ใช่คนตลก” อาจมีใครหลายคนออกตัวแบบนั้น อาจมีใครหลายคนที่บอกกับคนอื่น ๆ ว่าเรื่องมุกขำขัน เสียงหัวเราะ ความตลกและการเสียดสีเป็นเรื่องที่เขาไม่ถนัดเอาเสียเลย แต่ถ้า “ผมไม่ใช่คนตลก” คือประโยคที่ออกมาจากปาก น้าเน็ก-เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา  พิธีกรมืออาชีพที่ใคร ๆ ก็ลงความเห็นว่าตลกหาตัวจับยาก เราคงส่ายหัวไม่เชื่ออยู่ในใจ แต่น้าเน็กบอกกับเราแบบนั้นจริง ๆ และเราก็ตกตะลึงเป็นครั้งที่หนึ่ง

ก่อนจะตกตะลึงเป็นครั้งที่สองเมื่อน้าเน็กบอกว่าแม้เขาจะไม่ใช่คนตลก แต่สำหรับเขาความตลก อารมณ์ขันและเสียงหัวเราะเป็นเครื่องมือที่ขับเคลื่อนชีวิตเขาไปสู่ความสำเร็จ สำหรับเขาความตลกจึงไม่ต่างจากปรัชญาและศาสตร์ล้ำลึกที่เขาตั้งใจเรียนรู้อย่างมุ่งมั่นและหนักหน่วงเพื่อทำให้ตัวเองแตกต่างและโดดเด่นออกมาในโลกและสมรภูมิการงานที่เชือดเฉือนกันอย่างดุเดือด

เฮ้ย ถามจริง ความตลกนี่ต้องเรียนรู้กันขนาดนั้นเลยเหรอวะ? เราแอบอุทานในใจเพื่อไม่ให้น้าได้ยิน แต่เมื่อเขาบอกเราอย่างหนักแน่นว่าปรัชญาการทำงานอย่างหนึ่งของเขาคือการคิดอยู่ตลอดเวลาว่า “มันจะต่างออกไปในความเหมือนเดิมได้ยังไง?” เราก็เชื่อหมดใจว่าคนอย่าง น้าเน็ก-เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา พร้อมควานหา เสาะแสวงเพื่อตามหาหนทางที่ดีขึ้น แตกต่างขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ความตลกและเสียงหัวเราะที่แม้เขาจะไม่ใช่คนตลกโดยธรรมชาติ แต่ก็เรียนรู้มันในฐานะศาสตร์หนึ่งอย่างรอบด้านจนใช้ความตลกเป็นเครื่องมือได้อย่างมืออาชีพ

จากโทรทัศน์สู่ออนไลน์ เพราะไม่ใช่คนตลกจึงหาหนทางใหม่ได้เสมอ

เราเชื่อว่าใครหลายคนผูกภาพจำว่าน้าเน็กต้องมาพร้อมความตลก ดุเดือด จนเคยมีคำนิยามพิธีกรฝีปากคมผู้นี้ว่า “โลดโผน หัวสี ปราดเปรียว เกรี้ยวกราด” จากภาพลักษณ์วันวานในจอแก้วสู่รายการในโลกออนไลน์อย่าง อย่าหาว่าน้าสอน และ หงี่-เหลา-เป่า-ติ้ว ที่มีคนดูเป็นแสน ๆ น้าเน็กเปิดโอกาสให้ผู้คนโทรมาปรึกษาปัญหาชีวิตไปจนถึงปัญหาเรื่องเพศที่ไม่รู้จะคุยกับใคร

“การจะสอนหรือถ่ายทอดอะไรไปสู่ใคร เราต้องทำให้เขาเชื่อมั่นในตัวเราก่อน ข้อดีคือตลอดเวลาที่ผ่านมา อย่างน้อยผมก็ไม่ใช่คนแปลกหน้า ผมว่าผู้คนนั้นมองออกว่าวิธีการทำงานของผมในช่วงเวลาที่ผ่านมาคืออาจสไตล์ตลกโปกฮา เอนเตอร์เทน แต่ผมเชื่อว่าผู้คนรู้ว่านั่นเป็นความตลกโปกฮาแบบมีเป้าประสงค์”

“เอาจริง ๆ ผมไม่ใช่คนตลกเลย แต่ตลอดเวลาที่ผมทำงานมายี่สิบกว่าปี ในฐานะพิธีกรที่ชื่อว่าน้าเน็ก ผมเลือกใช้ความตลกเป็นเครื่องมือ”

“เอาจริง ๆ ผมไม่ใช่คนตลกเลย แต่ตลอดเวลาที่ผมทำงานมายี่สิบกว่าปี ในฐานะพิธีกรที่ชื่อว่าน้าเน็ก ผมเลือกใช้ความตลกเป็นเครื่องมือ ซึ่งคนที่ตลกโดยวิญญาณจริง ๆ กับคนที่เลือกใช้ความตลกเป็นเครื่องมือมันจะต่างกัน

ซูเปอร์สตาร์ที่เป็นตลกจริง ๆ ตลกโคตร ๆ อย่างหม่ำ จ๊กมก แจ๊ส ชวนชื่น ตลกโคตร ๆ ตลกระดับดีเอ็นเอ ตลกระดับเส้นดำกลางหลังกุ้ง ตลกเข้าไปในเลือดเลย แต่ผมไม่ได้เป็นแบบนั้น ผมเลือกใช้ความตลกเพราะมันเป็นเครื่องมือ และคนก็พอมองออกว่าการเอนเตอร์เทนของผมมันมีเป้าหมายอะไรบางอย่าง

วันนี้พอผมเลือกจะไม่ใช่เครื่องมือนั้น มันก็เลยดูไม่ขัดเขิน ถ้าคนที่ตลกมาก ๆ ลุกขึ้นมาพูดอะไรที่มันเป็นเรื่องชีวิตเรื่องซีเรียส อาจจะเกิดความรู้สึก จริงเหรอวะ? เชื่อมึงได้เหรอวะ? ใช่เหรอวะ? จริงหรือเล่นกันแน่ แต่พอผมลุกขึ้นมาพูดเรื่องนี้ ผู้คนก็รู้สึก ไม่ขัดเขินและสิ่งที่เราอธิบายมันก็พิสูจน์ได้จริงว่าเราก็ ไม่ได้พูดอย่างเลื่อนลอย หลายประเด็นที่ผมแนะนำผู้คนมันมีเรื่องของศาสนา ปรัชญา วิทยาศาสตร์ องค์ความรู้อื่น ๆ ที่สั่งสมมาทั้งชีวิต”


ความตลกคือเสน่ห์และอำนาจ

ในเมื่อน้าเน็กไม่ใช่คนตลก แต่อะไรทำให้ผู้ชมตลกและมอบเสียงหัวเราะกับความเป็นน้าได้มาได้ยาวนานเป็นสิบ ๆ ปีถึงเพียงนี้? เราเชื่อว่าหลายคนก็สงสัยเหมือนเรา แต่ที่น่าสนใจไปกว่านั้น ในเมื่อไม่ได้เป็นคนตลก จุดเริ่มต้นของการอยากสร้างเสียงหัวเราะให้ผู้คนคือจุดไหนกันแน่?

“ผมตอบด้วยพื้นเพก่อนแล้วกัน ผมถูกเลี้ยงมาในครอบครัวปิดมาก และหลังจากออกมาสู่สังคม ผมก็จะเป็นเหมือนมนุษย์ที่ไม่ได้เข้าสังคมมาตั้งแต่เด็ก ๆ ผมเพิ่งจะเริ่มเข้าสังคมเมื่ออายุประมาณ 20 นิด ๆ พอผมกระโดดเข้าสู่สังคม ผมมีความรู้สึกว่าผมทำมากกว่าคนอื่นซึ่งที่จริงไม่ต้องทำอย่างนั้นก็ได้ ผมเดินท่ามกลางผู้คนแล้วคิดว่า เอ๊ะ กูต้องเป็นคนยังไงวะ กูจะต้องพูด คิด ทำ เสื้อผ้าหน้าผมต้องยังไง? เหมือนถูกปล่อยมาจากที่ไหนก็ไม่รู้

ในขณะที่ถ้าเราเป็นคนที่โซเชียลมาตั้งแต่เด็ก ก็จะเนียน ๆ มาปกติแต่เหมือนผมกระเด็นเข้ามาสู่สังคมโดยที่ไม่ได้เตรียมการมาก่อนเลยผมก็เลยตั้งคำถามกับผู้คนค่อนข้างจะมากกว่าคนทั่วไป”

“เราก็ไม่ยอมใช้ชีวิตอยู่ในสังคมแบบอยู่ไปวัน ๆ ด้วย ผมอยากมีอำนาจเหนือผู้คน ชี้นำผู้คน ยืนแถวหน้า อยากมีคนฟังเวลาเราพูดอะไร อยากมีคนมองมา เวลาเราทำอะไร ซึ่งก็จะมีเครื่องมือหลายแบบให้ไปถึงจุดนั้น เช่น คุณก็อาจต้องทำงานในแวดวงที่แสวงหาอำนาจมั้ย? ราชการตำรวจทหารสั่งการได้เลยหรือทำเงินเป็นเศรษฐีกันมั้ย? ร่ำรวยคุณก็จะสามารถอยู่เหนือผู้คนได้

แต่ในช่วงที่ผมกำลังศึกษาว่าผมจะทำยังไงผมไปเจอเครื่องมือที่เรียกว่าความตลกและเสียงหัวเราะ ผมดันชอบเครื่องมือนี้ ผมรู้สึกว่าอารมณ์ขันและเสียงหัวเราะนั้นเป็นอำนาจบริสุทธิ์ เป็นเสน่ห์อะไรบางอย่าง มันไม่ต้องบังคับขืนใจ คุณสามารถอยู่เหนือผู้คนได้ในวิธีที่มันยิ้ม ๆ ผมชอบเครื่องมือนี้มากและผมก็เริ่มศึกษามัน”


ความตลกไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ แต่เป็นศาสตร์และปรัชญา

นั่นแปลว่าภายใต้เสียงหัวเราะลั่นที่เราล้วนเคยมอบให้กับชายคนนี้อย่างน้อยคนละหนึ่งครั้งในชีวิตผ่านจอโทรทัศน์บ้าง ผ่านทอล์คโชว์ของเขาบ้างหรือหนังสือสักเล่มของเขา ย่อมผ่านการศึกษามาอย่างดี และเราก็เดาไม่ผิด น้าเน็กบอกเราว่าความตลกเป็นศาสตร์อย่างหนึ่ง ไม่ต่างจากคนอยากเป็นหมอก็ต้องเรียนศาสตร์ของหมอ เมื่อน้าเลือกแล้วว่าความตลกเป็นเครื่องมือ อำนาจและเสน่ห์ที่น้าเชื่อ ตลกก็เป็นศาสตร์ที่น้าอยากได้ปริญญาจากมัน แต่ปริญญานั้นอาจไม่ใช่กระดาษหนึ่งแผ่น แต่เป็นเสียงหัวเราะจากผู้คนอย่างเรา ๆ

“การที่เราจะทำให้ใครหัวเราะหรือสนุก หรือตลกไปกับเรา มันมีวิธี มันมีศาสตร์ของมัน มันมี Sense of Humor มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ มันเป็นเรื่องปฏิกิริยาทางสมอง ผมศึกษามันในแง่วิชาการแบบซีเรียสเลย และเมื่อเราศึกษาความตลกแบบวิชาการพบว่า ความตลกเป็นศาสตร์ที่ไม่ตลกเอาเสียเลย ไม่ต่างอะไรกับเรียนหมอ ไม่ต่างกับการเรียนจิตวิทยา ไม่ต่างจากปรัชญา มันเป็นรูปแบบปรัชญาชนิดหนึ่งเลย ทั้ง ๆ ที่มันเป็นเรื่องของการสร้างเสียงหัวเราะ แล้วผมก็พัฒนาศึกษาเพิ่มเติมเรียนรู้ฝึกฝนอยู่เรื่อย ๆ ในทุกอาชีพที่ก่อนจะมาเป็นพิธีกรด้วยซ้ำ”

“ความตลกเป็นศาสตร์ที่ไม่ตลกเอาเสียเลย”

“สมัยผมเป็นนักข่าวบันเทิงผมรู้สึกว่าความตลกและเสียงหัวเราะช่วยในการเป็นนักข่าวเหมือนกัน ตอนนั้นจ่อไมค์ดารา นึกออกมั้ยฮะเวลาจ่อไมค์คนก็จ่อกันยี่สิบสามสิบไมค์ เขาไม่พูดเข้าไมค์กูเลยว่ะ ทำยังไงดีวะ? วิธีการผมคือเอาตุ๊กตาหมีสวมหัวไมค์ผม เท่านั้นเองดาราเขาก็จะยิ้ม ๆ ณ โมเมนต์นั้นดาราก็จะหันมามองยิ้ม ๆ ว่า เออ ไมค์น่ารัก นี่คือผลพวงจากเสียงหัวเราะ ความตลก หรืออะไรบางอย่างที่มันเรียกสายตาคน

ก่อนหน้าเป็นนักข่าว ผมก็ทำอยู่หลายอาชีพ ในทุกอาชีพก็ใช้อารมณ์ขันและเสียงหัวเราะในการขับเคลื่อน ซึ่งมันก็ขับเคลื่อนมาจนประสบความสำเร็จ”

“ตอนเป็นเซลล์ขายผ้าขนหนูในห้าง ผมก็ใช้เสียงหัวเราะในการทำทุกอย่างให้มันสนุกขึ้น มันดีขึ้น ผมเลยมีความรู้สึกว่าผมเหมือน Robin Williams ใน Patch Adams ใน Dead Poets Society หรือหลาย ๆ เรื่องของเขาที่ใช้เสียงหัวเราะในการทำงาน

แต่ที่เหมาะที่สุดก็คงเป็นวงการบันเทิง เริ่มต้นด้วยจุดที่ใคร ๆ ก็เรียกว่า พิธีกรสายฮา ผมก็เริ่มสร้างวิธีการเอนเตอร์เทน สร้างเสียงหัวเราะที่มันมีอัตลักษณ์ในแบบของผมที่ต่างจากคนอื่นไป ก็ปนความ Aggressive นิดนึงสไตล์จิกกัด Dark Comedy หยาบคายหน่อย ๆ “

“หยาบคายก็เป็นสับเซ็ตหนึ่งของความตลกนะฮะ โดยหลักวิชาการแล้วคำหยาบคายเราจะใช้มันอยู่ประมาณ 2-3 แง่ ไม่เพื่อการทำร้ายใคร เราก็ใช้กับคนที่เราสนิทสนม หรือแม้กระทั่งกับตัวเอง ความหยาบคายถ้ามันวางลงในจังหวะที่ถูกต้อง มันก็จะให้ผลบวก จังหวะที่ถูกต้องได้มาจากอะไร ได้มาจากการศึกษาศาสตร์ที่เรียกว่าคอมเมเดียนนี่แหละครับ”

“ในทางวิชาการของศาสตร์ที่เรียกว่าคอมมีเดียน แทบไม่น่าเชื่อว่าครึ่งหนึ่งมีพื้นฐานมาจากความเจ็บปวด พวกเราเดินขึ้นบันไดมา ถ้ามีใครสักคนล้มหน้าทิ่ม ให้ล้มหน้าทิ่ม หัวแตกเลย โมเมนต์แรกต้องขำก่อน ไม่รู้ทำไม มนุษย์เราพึงใจในความเจ็บปวดของคนอื่นเหรอ? ตอบไม่ได้เหมือนกัน แต่จะเป็นแบบนั้น เกิดถ้ามีใครทำอะไร คุณทำแก้วกาแฟคุณหกปุ๊ป มันคือความผิดพลาด ความน่าอับอาย ความเสียหาย แต่เราจะต้องฮากันก่อน

เอ๊ะ หรือมนุษย์เราพึงใจในความผิดพลาดเจ็บปวด บอบช้ำ ล้มเหลว ของคนอื่นวะ? ตรงนี้ต้องการคำอธิบายในเชิงปรัชญา”

“คลิปรวมความเฟลหัวทิ่มหัวตำหำกระแทกเราจะ อู๊ยย ขำนำมาก่อนหรือแม้กระทั่งมุกตลกในลักษณะ Bully เห็นคนอ้วนขึ้นมาเวที เราก็พากย์เสียงเดินเขา คนก็ขำแล้วทั้ง ๆ ที่เขาได้รับความอับอาย อะไรต่าง ๆ ที่ดูน่าทุเรศ กลับกลายเป็นได้รับเสียงหัวเราะ แต่เราก็พอจะสืบค้นว่าเหตุแห่งความตลกนั้น มีปัจจัยมาจากความเจ็บปวด ผิดพลาด ล้มเหลว บอบช้ำ เกิน 50% นี่คือความจริงที่มันเป็น”


ความตลกที่คมคายไม่จำเป็นต้องทำให้ใครเจ็บปวด

แม้ความตลกจำนวนมากจะมีรากฐานมาจากความปวดเจ็บของผู้คนและในช่วงแรกน้าเน็กเองก็เลือกใช้ปากอันคมกริบ เสียดแทงสร้างความเจ็บปวดให้ใครสักคน เพื่อแลกกับเสียงหัวเราะและความบันเทิงของคนอีกหลายสิบหลายร้อยคน จนถึงจุดหนึ่ง วันเวลาผ่าน การเติบโตทำให้น้าเน็กเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่าเราสามารถสร้างเสียงหัวเราะโดยที่ไม่มีใครต้องเจ็บปวดเลยได้ไหม?

“สารภาพแบบนี้เลยว่าในช่วงวัยหนุ่มผมนี่เลาะริมเส้นเลย คือเกินกว่านั้นนิดเดียวก็จะเหี้ยเลย ผมเล่นสายนี้มาละเอียดลออมาก ข้ามไปอีกแค่นิดเดียวนี่แย่แน่ อธิบายเป็นภาษาคนก็คือแซวแรง จิกกัด มองหาเหยื่อ มายด์เซ็ตคือผมถือไมค์ขึ้นไปฆ่าคน

แถวหน้าจะหวาดกลัวผมมาก ถ้าถอยหลังไปเมื่อประมาณ 5-10 ปีที่แล้ว จะหวาดกลัวมาก เวลาผมขอคิวสัมภาษณ์หรือรู้ว่าจะอยู่ในรายการผม ก็จะมีสัญญาณจาก ผู้จัดการส่วนตัวว่าให้คอยเบา ๆ กับน้องหน่อย หรือมีใบสั่งมาเลยว่าห้ามแซวเรื่องไหน เป็นที่ขึ้นชื่อมากว่าปากชั่วมาก”

“มายด์เซ็ตคือผมถือไมค์ขึ้นไปฆ่าคน”

“นั่นคือเมื่อก่อน แต่เมื่อเราทำอย่างนั้นมาจนถึงจุดที่เราเติบโตขึ้นแล้วก็ประสบการณ์นั้นสอนให้เราคมคายขึ้นกว่าแต่ก่อน เราพบทางออกใหม่ ๆ ที่มันดีกว่านั้น เรื่องนี้ Ellen Lee DeGeneres เป็นคนเริ่มขึ้นในเทรนด์โลกก็คือ เราสามารถสร้างเสียงหัวเราะโดยที่ไม่มีใครต้องเป็นเหยื่อได้มั้ย? เราสามารถสนุกสนานได้โดยที่เราไม่ต้อง Bully ใครได้มั้ย?”

“เราสามารถสร้างเสียงหัวเราะโดยที่ไม่มีใครต้องเป็นเหยื่อได้มั้ย? เราสามารถสนุกสนานได้โดยที่เราไม่ต้อง Bully ใครได้มั้ย?”

“เพราะกระแสโซเชียล Bully เราก็รณรงค์เหมือนเรื่องลดโลกร้อน มลภาวะ รณรงค์หยุด Bully ในโซเชียลมีเดียก็เป็นกระแสเมื่อปีสองปี ทีนี้เราก็จะมองว่าการ Bully มันเกิดขึ้นเพราะอะไร?

ส่วนหนึ่งก็ชี้นิ้วไปที่พวกคอมเมเดียนทั้งหลาย เพราะมึงใช้วิธีนั้นกันอยู่ ไม่แน่คนนิยม Bully การล้อเลียน อำกันแกล้งกันแรง ๆ อาจจะเกิดจากการดูพวกคอมเมเดียน พวกความบันเทิงในทีวีมาตลอดก็ได้

Ellen Lee DeGeneres เลยเสนอว่าเราสามารถตลกโดยที่เราไม่ทำร้ายใครได้มั้ย ประเด็นนี้โดนใจผม ผมคิดว่าเออนั่งนึกย้อนไปกูก็ฆ่าคนไว้มากมายเหลือเกินเหยียบย่ำไว้มากมายโดยอ้างว่าเพื่อความบันเทิงและเสียงหัวเราะ จบงานก็ไปไหว้เขาละครับ แต่ก่อนหน้านี้คือถ้ามึงทำขนาดนี้มึงก็ไม่ต้องไปไหว้เขาแล้วอำเขาซะเต็มเหนี่ยวขนาดนั้น”


ความตลกคือการสู้กับผู้มีอำนาจ

บนโลกที่เต็มไปด้วยเลเยอร์ของอำนาจใบนี้ การล้อเลียน เสียดสี การแซวในบางรูปแบบกลับให้ผลต่างออกไป หากเราเลือกใช้ความตลกถูกคน เสียดสีถูกจังหวะ แซวผู้มีอำนาจในบางสถานการณ์ ความตลกจะไม่ใช่แค่เสียงหัวเราะขำขัน แต่หมายถึงเรากำลังต่อสู่ ต่อรองกับอำนาจอยู่!

“ในทางกลับกันไม่มีการล้อเลยก็ไม่ได้ สมมติว่าการแซวหรือล้อเลียน มันก็เป็นของจำเป็นแต่อยู่ที่ว่าไปลงกับใคร สมมติเป็นงานเลี้ยงพนักงานในบริษัท นั่งเป็นพัน ๆ คน ตัวที่ต้องแซวคือตัวใหญ่สุด เจ้าของบริษัท หัวหน้า ตัวใหญ่สุด 

หรือนายกฯ มางานนี้ แล้วต้องแซวใครสักคน ก็ต้องแซวนายกฯ แซวหัวเลย ได้ผลทุกครั้ง มันเป็นหลักทางจิตวิทยาเหมือนกัน เพราะเรามีความรู้สึกว่าเราต่ำกว่าคนนี้อยู่เสมอ เราถูกเขากดขี่ ด้วยความที่เขาเป็นหัวหน้า ด้วยความที่เขาเป็นนายกฯ ด้วยความที่เขาเป็นผู้มีอำนาจชี้เป็นชี้ตายเรา มีเรื่องในใจที่เราคิด อยากพูด อยากทำ ใครสักคนช่วยทำหน้าที่แทนกูหน่อยเถอะวะ”

“คอมเมเดียนทำหน้าที่ต่อรองกับอำนาจมาตั้งแต่ยุคกรุงโรมแล้วครับในยุคที่กรุงโรมยังมีพวกสภามีพวกผู้ปกครอง ชาวบ้านก็ทำการแสดงล้อเลียน แต่งตัวเป็นซีซาร์แต่งตัวเป็นอะไรต่อมิอะไรแล้วก็ใช้คนแคระการแสดงล้อเลียนผู้มีอำนาจที่สูงกว่ามาตลอด ชาวบ้านก็ขบขันเป็นการปลดปล่อยเป็นการหาทางระบายออกจากชนชั้น จากศักดินา ความตลกมันเชื่อมโยงผู้คนเอาไว้

พวกคุณไม่ผิดที่จะหัวเราะ แต่เพราะคุณพูดอย่างนั้นด้วยตัวเองไม่ได้ หัวเราะกันครืนหมด จับมือใครดมไม่ได้ แต่แค่เราหัวเราะ มันคือการส่งเสียงว่า เออ จริง คิดเหมือนกูเลย

ในเชิงสัญญะคือเราหัวเราะออกมาและฝ่ายนั้นเอาผิดเราไม่ได้ ถ้าผมแซวนายกรัฐมนตรี ผมแซวเสียเลย ทุกคนหัวเราะกันทั้งงาน แต่ผมอาจเป็นคนเดียวที่ติดคุก แต่คนหัวเราะเขาไม่มีความผิดอะไรนะ จับมือใครดมก็ไม่ได้ การหัวเราะคือการบอกว่ากูเห็นด้วย”

“ถ้าผมแซวนายกรัฐมนตรี ผมแซวเสียเลย ทุกคนหัวเราะกันทั้งงาน แต่ผมอาจเป็นคนเดียวที่ติดคุก แต่คนหัวเราะเขาไม่มีความผิดอะไรนะ จับมือใครดมก็ไม่ได้ การหัวเราะคือการบอกว่ากูเห็นด้วย”

“ผมมองมันด้วยสายตาแบบนี้มันจึงทำให้วิธีการสร้างเสียงหัวเราะของผมหรือจุดยืนในการเป็นน้าเน็กมันไม่ได้ยึดโยงว่าผมจะต้องครอบครองสัญลักษณ์ความตลกตลอดเวลา ผมมองมันด้วยวิธีการแบบนี้และผมหยิบมันมาใช้ด้วยวิธีการอะไรบางอย่างทำให้ความตลกกับผมไม่ได้ยึดโยงกัน แปลว่าถ้าวันหนึ่งผมเกิดจะไม่ตลกขึ้นมาก็ไม่มีใครตกใจ”


รายละเอียดแห่งความตลกสมบูรณ์แบบ จุดเริ่มต้นจากการเติบโตมาแบบสุดโต่ง

เราไม่แน่ใจว่าบนโลกนี้จะมีใครมองความตลกเป็นเรื่องละเอียดอ่อนอันเต็มไปด้วยศาสตร์และศิลป์ รวมถึงทุ่มเท พิถีพิถันเพื่อเรียนรู้ศาสตร์แห่งความตลกจนนำมาใช้เรียกเสียงหัวเราะล้นหลามได้เท่าน้าเน็กอีกไหม? อาจจะมี แต่เราก็อดอยากรู้ไม่ได้ว่าอะไรคือจุดเริ่มต้นของรายละเอียดแห่งความตลกสมบูรณ์แบบเช่นนี้?

“ผมมีพ่อโรคจิตซึ่งเลี้ยงผมมาแบบสุดโต่งมาก หน้าที่ของผมคือการดูแลบ้าน เหมือนเป็นรูมเซอร์วิสของบ้านนี้ ทุกคนออกจากบ้านจะทิ้งทุกอย่างไว้ ผมมีหน้าที่เก็บบ้านทั้งหลัง ทำกับข้าว โดยอ่านโพสต์อิตจากตู้เย็นว่าใครอยากกินอะไร เรื่องนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่อายุสิบสอง พ่อบอกเลยว่า ถ้าชั้นเจอขี้ฝุ่นที่ไหนแกเจ็บตัว

ผมก็ท้าทายตลอดว่ากูเนี้ยบแล้วนะ แต่เขาจะเจอจนได้ เขาจะเจอขี้ฝุ่นจนได้ พอเจอปุ๊ป เขาจะหวดผมป้าปเลย พ่อจะเจอฝุ่นในจุดที่เกินจินตนาการของผมได้ตลอด เจอปุ๊ป ป้าป นั่นแปลว่าผมต้องดูแลจุดนั้นเพิ่ม แต่พ่อก็หาจุดใหม่แล้วตีผมจนได้ ผมมีความรู้สึกว่าผมก็ต้องท้าทายตัวเองไปเรื่อย ๆ ว่าตรงไหนอีกวะที่จะมีขี้ฝุ่นที่พ่อกูจะเห็น แล้วจัดการมันให้เรียบร้อย”

“จนวันหนึ่งที่มันเป็นนาทีที่ยิ่งใหญ่มาก เขาลูบหาฝุ่น แต่เขาไม่เคยลูบที่เดิมอยู่แล้ว เพราะเขารู้ว่าผมรู้ทัน แต่เขาลูบจนไม่มีที่ไหนให้ลูบแล้วจริงๆ วันนั้นเขาบอก อืม คำเดียวแล้วเขาก็ไป ไม่ชมด้วยว่าดี แต่ผมแค่ไม่โดนตี

สิ่งนี้ทำให้ผมเป็นมนุษย์ที่มีดีเทลสูงมาก ผมชำนาญการทำอะไรหยุมหยิมมาก สายตาผมจะมองเห็นรายละเอียด ผมเป็นคนไม่มีภาพกว้าง พร้อมกันนั้นมันบ่มเพาะนิสัย ‘เราจะดีกว่าเดิมได้ยังไงวะ?’ ผมว่าวิธีการเลี้ยงแบบโรคจิต ๆ ของเขามันทำให้ผมมีนิสัยนี้ นิสัยคิดตลอดว่าจะดีกว่าเดิมได้ยังไง และเห็นอะไรที่เป็นมุมละเอียด เพราะมันถูกสั่งว่าทำอย่างไรมันจะดีกว่าเดิม?”

“ผมมีนิสัยนี้ นิสัยคิดตลอดว่าจะดีกว่าเดิมได้ยังไง และเห็นอะไรที่เป็นมุมละเอียด เพราะมันถูกสั่งว่าทำอย่างไรมันจะดีกว่าเดิม?”

“บางเรื่องมันเป็นแค่เรื่องเดิม ๆ สมัยเด็ก ๆ ผมเคยไปทำงานล้างอัดฉีดรถยนต์ เพราะผมชอบรถมาก ผมอยากอยู่กับรถ เด็กอายุ 20 ที่ชอบรถมาก ๆ จะมีงานอะไรล่ะ? เลยเป็นเด็กล้างรถ ข้อดีของเรื่องนี้ก็คือเราจะได้ขับรถจากที่ล้างไปที่เช็ด ระยะทางประมาณ 10 เมตร เราจะได้ขับรถของคนทั้งจังหวัดเลย ตั้งแต่รถกระบะส่งของไปยันรถหรูของผู้ว่า หรือรถสปอร์ตของเพลย์บอยประจำจังหวัด

ชั่วโมงหนึ่งล้างได้ประมาณ 10 คัน เจ้าของร้านเขาก็ไม่ได้บอกอะไร แต่ใจมันก็คิดตลอดว่ามันจะดีกว่านี้ได้ยังไงวะ? มันจะเพิ่มจากล้างได้ชั่วโมงละ 10 คัน เป็น 15 คันได้ยังไงวะ? ขยับให้มันเข้าใกล้กันหน่อยมั้ง เราแบ่งสเตชั่นการทำงานมั้ย สร้างระบบจนล้างจากชั่วโมงละ 10 คันเป็น 15 คัน เราก็คิดต่ออีกว่าชั่วโมงละ 20 คันล่ะ ได้มั้ยวะ?”

“มันก็เป็นงานล้างรถเดิม ๆ แต่ผมก็แค่คิดว่ามันจะดีขึ้นได้ยังไง แล้วเด็กพม่าที่เป็นลูกทีมผม 7-8 คน จะสนุกกับเรื่องนี้ได้ยังไง? ติดลำโพงเปิดเพลงมั้ย? สะบัดผ้ามีท่าเต้นมั้ย? ลูกค้าจะได้จำเรา ลูกค้าจะได้ยิ้ม ๆ เพราะเขารอเขาก็เบื่อนะ เขามานั่งรอคิว เราก็คิดตลอดว่ามันดีขึ้นได้ยังไง”

“สิ่งที่พ่อผมปลูกฝังผมไม่หยุดด้วยการตบผมทุกครั้ง ที่เจอขี้ฝุ่น พอมันเติบโตและติดตัวมา อย่างผมทำรายการหนึ่ง รูปแบบมันซ้ำ ๆ มาก ทำซ้ำมา 15 ซีซันแล้ว มันเหมือนเดิมมาก ผมก็จะถามตัวเองว่า ‘มันจะดีกว่าเดิมได้ยังไง? ‘ ‘มันจะต่างออกไปในความเหมือนเดิมได้ยังไง?’  มันเลยสะท้อนถึงการทำงาน ทางเล่น การพัฒนามุก วิธีการอะไรที่ต่างออกไปทั้งในรูปแบบเบื้องหน้าและเบื้องหลัง”

“ผมก็จะถามตัวเองว่า มันจะดีกว่าเดิมได้ยังไง?  มันจะต่างออกไปในความเหมือนเดิมได้ยังไง?  มันเลยสะท้อนถึงการทำงาน ทางเล่น การพัฒนามุก วิธีการอะไรที่ต่างออกไปทั้งในรูปแบบเบื้องหน้าและเบื้องหลัง”

“ถามว่าถ้าวันนี้เรียกว่าผมประสบความสำเร็จหรือเติบโตมาอยู่ในระดับที่น่าพอใจอะไรบางอย่างกับชีวิต ผมบอกว่าผมไม่แปลกใจเลย เพราะผมคิดทุกวันเลยว่าทุกอย่างมันจะดีขึ้นได้ยังไง? ผมคิดอย่างนั้นเสมอ”


เมื่อตลกจนถึงจุดพีค “อะไรคือความต่างขั้นต่อไป?”

แต่คนเราจะตลกไปได้นานแค่ไหน? ตลกซ้ำ ๆ ตลกกับทุกรายการที่จัด ตลกอยู่ทุกวัน ตลกขึ้นอีก ๆ ๆ ต้องตลกไปถึงจุดไหน น้าเน็กถึงจุดอิ่มตัวแล้วหรือยัง นี่เป็นสิ่งที่เราสงสัยและถามออกไป …

“มันจะมีระดับที่เราพอใจ เราตอบไม่ได้หรอกว่าแค่ไหนคือรวยที่สุด เพราะมันจะรวยยิ่ง ๆ ขึ้นไป มหาเศรษฐีเขามีการจัดอันดับ มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลกมันก็ไม่ที่สุดของเขาอยู่ดี

เรื่องแบบนี้ยึดโยงจากวัยด้วย ผมก่อร่างสร้างอะไรไว้หลายอย่างทั้งในรูปธรรมและนามธรรมมาตลอดทั้งชีวิต วันนี้ผมอายุ 50 มันคงเป็นเรื่องของการรักษามันมากกว่า รักษามาตรฐาน เราอาจจะเหนื่อยเกินกว่าที่จะเข็นให้ดีขึ้น ๆ ๆ เราก็มีช่วงที่เราอยากจะใส่เกียร์ว่าง อยากจะพักบ้าง เราก็คงใช้ชีวิตช่วงนี้ไปกับการรักษามาตรฐาน หรือทำอะไรที่ต่างออกไป

คำว่าดีขึ้นได้ยังไงในที่นี้อาจหมายถึงต่างออกไป น้าเน็กเนี่ย มึงจะตลกไปถึงไหน มันจะพีคสุดของมึงคืออะไร พอมันแปรผกผันกับช่วงวัย เฮ้ย คงไม่ใช่ความตลกแล้วมั้ง คงเป็น อะไรที่ต่างออกไป มันก็คือการดีขึ้นในแบบที่เราเป็น แต่วิธีการคงต่างออกไป”

 

PSYCAT
WRITER: PSYCAT
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line