Life

ZERO TO HERO: ‘เท่าพิภพ’กับชีวิตที่รสชาติเหมือนเบียร์และการเป็นอนาคตใหม่ของประเทศ

By: PERLE February 11, 2019

สรรพสามิตฯ บุกตึกแถวจับหนุ่มนิติศาสตร์ ม.ดัง คิดค้นสูตรหมักเบียร์ขายเอง!

ย้อนไปเมื่อ 2 ปีก่อน นี่คือพาดหัวหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับ เป็นข่าวใหญ่สะเทือนวงการคราฟต์เบียร์ไทยที่ทั้งคนในและนอกวงการต่างให้ความสนใจ เพราะก่อนหน้านี้คราฟต์เบียร์ในไทยยังเป็นอะไรที่เทา ๆ ไม่ได้มีการเอาผิดทางกฎหมายอย่างจริงจังจนกระทั่งเหตุการณ์นี้

‘เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร’ คือชื่อของผู้ต้องหาในคดีดังกล่าว คนส่วนใหญ่คงไม่มีใครรู้จักเขามาก่อน มีข้อมูลชายคนนี้เท่าที่ข่าวนำเสนอ แต่เรากับเขาเคยพบปะกันมาบ้างในกิจกรรมทางการเมืองต่าง ๆ รวมถึงเรื่องเบียร์ที่เราค่อนข้างเป็นแฟนคลับ ตามดื่มคราฟต์เบียร์ของเขามาตั้งแต่ยังไม่เกิดเรื่อง เราจึงค่อนข้างตกใจกับข่าวนี้พอสมควร

2 ปีผ่านไป จากผู้ต้องหาในวันนั้น ในวันนี้เขากลับมีชื่อเป็นผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกผู้แทนราษฎรในนามพรรค ‘อนาคตใหม่’ พร้อมนโยบายผลักดันคราฟต์เบียร์ไทยให้ถูกกฎหมาย

ดูเป็นผู้ชายที่มีชีวิตน่าสนใจไม่ใช่น้อย และโชคดีที่วันนี้เรามีโอกาสได้นั่งพูดคุยกับเขา เอาเป็นว่าเราไปทำความรู้จัก เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร กับบทบาทท้าทายครั้งใหม่ในชีวิตไปพร้อม ๆ กัน

เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร คือใคร?

“สวัสดีครับ ผมชื่อ เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร อายุ 29 ปี เรียกผมว่าเท่าก็ได้ แต่ฉายาของผมที่คนทั่วไปรู้จักก็น่าจะเป็นหนุ่มนิติคราฟต์เบียร์ เพราะว่า 2 ปีก่อนผมโดนจับไปเพราะทำคราฟต์เบียร์”

นอกจากการเป็นหนุ่มนิติคราฟต์เบียร์ ไลฟ์สไตล์ด้านอื่นเท่าพิภพเป็นยังไงบ้าง?

“จริง ๆ ไลฟ์สไตล์ผมก็เป็นคนง่าย ๆ รักอิสระ ทำอะไรค่อนข้างตามใจตัวเอง อยากทำอะไรก็ทำ อยากเรียนรู้อะไรก็เรียน

คือเราเชื่อว่าการเรียนรู้เป็นรากฐานของชีวิตเรา มีหลายอย่างที่ผมทำผิดพลาด มีหลายอย่างที่ผมทำถูก แต่ทั้งหมดก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

ส่วนถ้าจะให้นิยามตัวเอง ผมคงคล้ายกับ ‘แคลิฟอร์เนีย’ (หัวเราะ) คือชอบเล่นสเก็ตบอร์ด โตมากับดนตรีป๊อปพั้งก์ เป็นคน Outgoing ชอบพูดคุยกับคน”

ชอบผจญภัยจนไปปั่นจักรยานที่เกาหลี?

“ใช่ครับ ไปปั่นจักรยานที่เกาหลีมา ก็คือชอบผจญภัย เหมือนเราอยากพิสูจน์ตัวเอง อยากเอาชนะตัวเอง ซึ่งการไปปั่นจักรยานที่เกาหลี จากปูซานถึงโซล เราเองก็มีเงินไม่เยอะ ก็ต้องไปกางเตนท์นอนใต้ทางด่วน กินมาม่า อาบน้ำตามปั๊ม (หัวเราะ)

ชีวิตในวัยเด็กของเท่าพิภพ

“จริง ๆ ผมเป็นคนหลายที่ครับ พื้นเพพ่อแม่เป็นคนอุบลราชธานี แต่ผมเกิดที่โคราช มาโตอุบล แล้วมาเรียนหนังสือที่กรุงเทพ วัยเด็กก็เลยจะใช้ชีวิตแบบเด็กต่างจังหวัด ออกไปเล่นข้างนอกบ้าน ไม่ได้เล่นเกมอะไรเยอะแยะ ส่วนใหญ่จะปั่นจักรยานแบบแก๊งแฟนฉัน พอมาม.1 ก็ได้อิสระเพิ่มขึ้นจากการที่มาอยู่กรุงเทพคนเดียว ก็ได้ลองอะไรที่อยากลอง ซึ่งพอมองย้อนกลับไปก็คิดว่าชีวิตนี้ไม่ติดยาก็บุญแล้ว (หัวเราะ)”

จุดเริ่มต้นสู่เส้นทางนักฎหมาย

“จริง ๆ เราอยากเรียนฟิล์ม อยากเรียนภาพยนตร์ เพราะเราเนี่ยเป็นยูทูปเบอร์คนแรกของโรงเรียนหอวังเลย แต่ตอนนั้นการสอบมันใช้คะแนนเลขด้วย แล้วเราโง่เลขมาก ก็เลยเข้าคณะพวกนั้นไม่ได้ ความคิดต่อมาคืออยากสอบตรงเข้าคณะรัฐศาสตร์ อยากเป็นนายอำเภอ เป็นผู้ว่า กลับไปพัฒนาชนบท อยากเรียนอะไรที่สามารถทำประโยชน์ให้คนอื่น แต่สุดท้ายก็มาแอดมิชชั่นติดนิติศาสตร์”

พูดถึงเท่าพิภพก็ต้องพูดถึงเรื่องเบียร์ เครื่องดื่มชนิดนี้เข้ามามีบทบาทในชีวิตตอนไหน?

“จริง ๆ ความหลงใหลเรื่องเบียร์เข้ามาตั้งแต่เราเรียนมหาวิทยาลัย ตอนนั้นเราเริ่มดื่มเบียร์เยอะขึ้น นาน ๆ เข้าก็ดื่มทุกวัน (หัวเราะ) เริ่มจากชอบดื่ม จากนั้นก็ศึกษา แล้วก็มีโอกาสได้ไปนิวยอร์ก ได้ดื่มเบียร์ที่ขายตาม Food Truck แล้วรู้สึกชอบ พอกลับมาไทยก็เห็นว่ามีเบียร์นอกเยอะ เลยดื่มมาเรื่อย ๆ ก่อนจะมีโอกาสได้ทำงานที่ Mikkeller Bangkok ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่วงการคราฟต์เบียร์”

เบียร์แก้วโปรดของเท่าพิภพ?

“มันก็มีเบียร์ที่ชอบนะ แต่สุดท้ายเบียร์ที่ชอบมันขึ้นอยู่กับวัยเรามากกว่า ในโลกนี้มีเบียร์เยอะมาก หลายประเภท มีการแข่งขัน จนเราไม่สามารถดื่มมันหมด

บางช่วงเราจะชอบเบียร์นี้ บางช่วงก็ชอบเบียร์นี้ มันแล้วแต่อารมณ์เรา แล้วแต่ช่วงเวลา แล้วแต่การเจริญเติบโตทางรสชาติของเรา มันจะเหมือนยาเสพติดที่เราจะหารสชาติใหม่ ๆ ไปเรื่อย ๆ ซึ่งคราฟต์เบียร์มันทำได้ และมันมีความหลากหลายจริง ๆ ผมก็เลยตอบไม่ได้ว่าเบียร์ที่ชอบที่สุดคืออะไร

ถ้าจะให้ตอบก็คงตอบว่าเบียร์ที่อยู่ตรงหน้านี่แหละชอบสุดแล้ว (หัวเราะ)

เล่าถึงเหตุการณ์ที่ทำให้ นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร กลายเป็นหนุ่มนิติคราฟต์เบียร์ให้ฟังหน่อย

“ตอนนั้นอยู่ ๆ ตำรวจก็เข้ามา ตอนแรกผมก็คิดว่าเป็นเพื่อนของพี่หรือเปล่า ผมก็เลยสวัสดี สรุปว่าอ้าวไม่ใช่! เป็นสรรพสามิตมาจับ ซึ่งผมก็โอเค ผมผิดจริง เค้าทำตามหน้าที่ แต่บางอย่างในวันนั้นมันทำให้ผมรู้สึกว่าเราเป็นคนธรรมดา เราอยากมีอาชีพ เพื่อนผมที่อยู่ฮ่องกง เค้าเป็น Brewer เค้าก็ดูแลลูกเมียได้ แต่ทำไมประเทศไทยมันทำไม่ได้

ผมรู้สึกว่าเราอยู่ในประเทศที่รัฐบาลไม่ส่งเสริมศักยภาพของธุรกิจขนาดย่อม ทำไมเราต้องถูกจำกัด เพราะกฎหมายที่ล้าหลัง? หรือการตามโลกไม่ทันของรัฐบาล? บอกตรง ๆ ว่าผมรู้สึกแย่มาก เหมือนโดนทรยศจากประเทศนี้

คราฟต์เบียร์ในประเทศไทยจะเดินไปทิศทางไหนในมุมมองของเท่าพิภพ?

“ตั้งแต่ผมอยู่ในวงการนี้มาเกือบ 5 ปี ต้องบอกว่ามันโตขึ้นเรื่อย ๆ จากตอนแรกที่แทบจะเป็นศูนย์ มีคนต้มแค่สิบคน จนตอนนี้มีคนที่ไปทำเมืองนอกแล้วส่งกลับมาเกือบร้อย ยังไม่รวมคนที่ทำเองที่บ้าน ทดลองทำเป็นงานอดิเรก ผมว่าเกินพันแน่นอน แล้ว 1 อาจารย์ก็จะสอนลูกศิษย์ ลูกศิษย์ก็ไปสอนคนอื่นต่อ เกิดการ Educate ไปเรื่อย ๆ ดังนั้นมันเลยเติบโตได้เร็วครับ เพราะมันเป็นโครงสร้างที่ทวีคูณไปเรื่อย ๆ ”

คราฟต์เบียร์ในประเทศไทยจะมีวันถูกกฎหมายหรือเปล่า?

“คือผมว่ามันไม่มีประเทศไหนที่มันผิดกฎหมายนะ แต่ประเทศไทยมันดันผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตามมันเป็นไปได้แน่นอนถ้าทุกคนเลือกพรรคอนาคตใหม่หรือเลือกผมเข้าไปในสภา ผมทำให้แน่นอน จะพยายามแก้กฎหมาย ปลดล็อกให้ทุกคนเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจมากขึ้น เพราะเราเชื่อว่าการเอาอำนาจเศรษฐกิจไปไว้กับกลุ่มทุนไม่กี่กลุ่ม แล้วกลุ่มทุนนั้นเอาเงินมาครอบงำการเมืองมันไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องและเป็นธรรมกับคนทั่วไป”

ผ่านช่วงเวลาที่ท้อแท้ในชีวิตมาได้ยังไง?

“ตอนทำเบียร์ผมไม่ได้ทำเบียร์เก่งกว่าคนอื่น ช่วงแรกเริ่มก็ยังทำออกมาไม่ดี ก็โดนวิจารณ์กลับมา เราก็รู้สึกท้อแท้มาก ผิดหวัง แต่ตอนนั้นผมรู้สึกว่าถ้าเรายอมแพ้แค่นี้มันก็จะจบแค่ตรงนี้ เราฝันไว้ว่าเราอยากเป็น Brewer ระดับโลก มันก็จะจบตรงนี้ ผมก็เลยคิดว่าไม่มีอะไรจะพาเราออกจากความท้อแท้ได้นอกจากตัวเราเอง ครั้งหน้าเราอาจจะประสบความสำเร็จก็ได้”

“ผมเคยถาม James Watt เจ้าของ BrewDog ว่าธุรกิจคุณยากสุดตอนไหน เขาตอบว่ายากสุดคือ 2 ปีแรก 2 ปีแรกของทุกธุรกิจนี่ยากมาก

เขาบอกผมว่าคุณต้องเชื่อมั่นอย่างบ้าคลั่งว่าคุณทำได้ คุณต้องหลงรักและมีแพสชั่นต่อสิ่งที่คุณทำอย่างที่สุดคุณถึงจะผ่านมาได้ ผมก็เลยผ่านมาได้เพราะผมมี 2 สิ่งนี้ ถ้าผมยอมแพ้ตั้งแต่ตอนนั้นก็คงไม่มีผมให้ UNLOCKMEN ได้นั่งสัมภาษณ์ในวันนี้

เด็กบ้านนอก-นักศึกษานิติศาสตร์-หนุ่มคราฟต์เบียร์ แล้วมาลงสู่สนามการเมืองได้ยังไง?

“จริง ๆ เรื่องการเมืองกับเรื่องเบียร์นี่เกี่ยวข้องกันเยอะนะ วันแรกที่เข้าสู่วงการเมืองคือโดนหลอกนัดไปคุยเรื่องพรรคการเมืองรุ่นใหม่ต้องมีอะไรบ้าง เราก็ไม่รู้หรอกว่าเขาจะตั้งพรรคอะไร แต่ตอนนั้นคิดอยู่แล้วว่าถ้ามีการเลือกตั้งอยากตั้ง ‘พรรคคราฟต์เบียร์’ แต่พอดูรายละเอียดกฎหมายแล้วมันยากมาก ก็เลยเข้ากับพรรคนี้ก็ได้ เพราะมีอุดมการณ์ที่ตรงกันและพรรคอนาคตใหม่คือพรรคที่ให้โอกาสคน”

เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร แตกต่างจากนักการเมืองคนอื่นยังไง?

“แตกต่างมั้ยก็ไม่รู้นะ แต่มันจะมีนักการเมืองรุ่นเก่าที่เข้ามาโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะผลักดันประเด็นอะไร แต่นักการเมืองเมืองนอกที่ผมอย่างเอาเป็นแบบอย่างคือต้องผลักดันเป็นประเด็น เพราะส.ส.คือคนที่เข้าไปเพื่อผลักดันกฎหมาย ผมเลยอยากผลักดันประเด็นให้เกิดการค้าที่เป็นธรรม ดังนั้นเลยผมรู้สึกว่าผมอาจจะไม่เหมือนนักการเมืองในเมืองไทยส่วนใหญ่ ผมอาจจะเหมือนนักการเมืองเมืองนอก”

“นักการเมืองเมืองไทยหลายคนมาจากตระกูลนักการเมือง มาจากตระกูลที่มีเงิน หลายคนเป็นคนที่มีอายุมีประสบการณ์แล้ว แต่ผมรู้สึกว่าการเมืองเป็นเรื่องของทุกคน

การเมืองเป็นเรื่องของคนธรรมดา การเมืองเป็นสิ่งที่เราควรยื่นมือเข้าไปเองถ้าเราคิดว่ามันสกปรก เราจะได้รู้ว่าจะเปลี่ยนมันให้สะอาดได้ยังไง ผมไม่ใช่คนบนหอคอยงาช้าง ผมเป็นคนธรรมดา และผมคิดว่าความธรรมดานี่แหละทำให้ผมพิเศษ

นอกจากคราฟต์เบียร์ มีประเด็นอะไรอีกที่อยากผลักดัน?

“คราฟต์เบียร์ก็ส่วนหนึ่ง แต่จริง ๆ ภาพใหญ่ของมันเลยก็คือการผูกขาดในประเทศ ไม่ใช่แค่เฉพาะเบียร์ ทราบมั้ยว่าในประเทศไทยยังมีธุรกิจน้ำตาล ธุรกิจข้าวอีกนะที่มีการผูกขาด ชาวไร่ชาวนาเลยโดนกดราคา ดังนั้นถ้าเราเริ่มที่เบียร์และเปลี่ยนมันได้  เราจะสามารถเปลี่ยนโครงสร้างของประเทศในระดับรากได้เลย”

“ถ้าเงินเท่ากับอำนาจ เราต้องพยายามเอาเงินออกจากการเมืองให้ได้มากที่สุด เพื่อจะไม่ให้ใครมีเสียงมากกว่าประชาชน ถึงวันนั้นนักการเมืองก็จะฟังประชาชน เสียงของประชาชนก็จะนำหน้าผลประโยชน์ของนายทุน”

คิดจริง ๆ มั้ยว่าตัวเองจะได้รับเลือกในการเลือกตั้งครั้งนี้?

“ตอนแรกที่สมัครไปก็ไม่ได้คาดหวังว่าเราจะต้องได้ แต่พอเดินพบปะประชาชนไปเรื่อย ๆ ก็เริ่มมีความหวังขึ้นเรื่อย ๆ เพราะผมว่าการเมืองคือความเป็นไปได้ ถ้าถามว่าจะได้มั้ย ก็ไม่แน่ใจ แต่พรรคอนาคตใหม่คือพรรคการเมืองที่ตั้งใจจะทำงานการเมืองระยะยาว ไม่ใช่ทำแค่เฉพาะเลือกตั้ง เราจะพยายามผลักดันสังคม เปลี่ยนความคิดไปเรื่อย ๆ เพราะถ้าเราจะบอกว่าการเลือกตั้งครั้งเดียวแล้วสามารถเปลี่ยนประเทศได้มันเป็นไปไม่ได้”

“10 ปีผมก็จะทำ ครั้งนี้ผมไม่ได้ อีก 10 ปีผมก็ต้องได้ หรือว่าถึงผมจะไม่ได้ ประเด็นนี้พรรคก็จะไปผลักดันอยู่ดี”

หลังวันที่ 24 มีนาคมนี้ ประเทศไทยจะเปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้าง?

“ไม่ว่าใครจะขึ้นมามีอำนาจ มันมีการเปลี่ยนแปลงแน่นอน แต่การเปลี่ยนแปลงจะเป็นยังไงผมไม่แน่ใจ ประชาชนนี่แหละต้องบอกตัวเองและเพื่อน ๆ ว่าวันเลือกตั้งต้องออกมาใช้สิทธิ์ คือเราไม่ได้บอกว่าพรรคเราไอเดียดีที่สุด หรือไอเดียของฝ่ายอนุรักษ์นิยมดีที่สุด ประชาชนจะเป็นคนบอกเราเอง”

“ประชาธิปไตยคือระบบที่เอาความเห็นของทุกคนมาเป็นตัวกำหนด”

“ผมพูดได้ว่าเปลี่ยนแน่นอน และผมเชื่อว่าเราจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น”

อย่าให้ประชาชนเบื่อการเมือง ระบบประชาธิปไตยและรัฐสภาคือทางออก ไม่ใช่ท้องถนนและกระบอกปืน

เท่าพิภพต้อง UNLOCK ตัวเองด้านไหนเพื่อจะเป็นตัวแทนเสียงประชาชนที่ดี?

“ผมอยากเป็นคนที่มีเวลาเยอะขึ้น วันละ 30-40 ชั่วโมง ผมอยากทำงานในสภาผลักดันกฎหมาย ผมอยากเป็นนักการเมืองที่อยู่ติดพื้นที่และเดินหาประชาชนตลอด ไม่ใช่โผล่มา 4 ปีครั้ง ถ้าไม่เลือกตั้งก็ไม่เห็นเลย ผมสัญญากับประชาชนไปแล้วและผมก็ไม่อยากผิดสัญญา”

“อยากช่วยแก้ปัญหา อยากรับฟังประชาชน เป็นเสียงสะท้อนของประชาชนจริง ๆ ”

“ผมก็เลยอยากมีเวลาเพิ่มใน 1 วัน อยากทำอะไรได้มากขึ้น”

ไลฟ์สไตล์สายลุยกับบทบาทการทำงานที่จริงจังขึ้น คิดว่าตัวเองพร้อมหรือยัง?

“เป็นคนชิลล์ แล้วก็จริงจังในความชิลล์ของตัวเอง จริงจังในความลุยของตัวเอง คือเวลาเรามีแพสชั่นกับอะไรเราก็จริงจัง ซึ่ง

การเมืองก็เป็นสิ่งที่ผมมีแพสชั่น การที่อยากเห็นอนาคตประเทศนี้ดีขึ้นก็เป็นแพสชั่นของผม ดังนั้นถ้าผมมีแพสชั่นนี่ผมใส่เต็มร้อยอยู่แล้วไม่ต้องห่วง

“การเมืองมันเปลี่ยนไปแล้ว เราไม่ต้องไปแอ็คจริงจังเหมือนเมื่อก่อนก็ได้ คนรู้อยู่แล้วถ้าคุณ Pretend ดังนั้นถ้าผมแสร้งทำในสิ่งที่ผมไม่ได้เป็น ผมเชื่อว่าผมจะอยู่ได้ไม่นาน ”

ทั้งในฐานะเท่าพิภพและตัวแทนพรรคอนาคตใหม่อยากฝากอะไรถึงคนที่กำลังอ่านคอนเทนต์นี้อยู่?

“ยังไงก็ฝากเท่าพิภพ คนธรรมดาที่ชื่อแปลก ๆ คนนี้ ก็อยากให้โอกาสคนธรรมดา คนรุ่นใหม่ ออกไปทำให้เสียงเล็ก ๆ ของประชาชนที่โดนกดทับไว้ด้วยรัฐบาลทหารที่ทำกับเราเหมือนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาให้ได้ยินและได้รับฟังอีกครั้ง นำเสียงเหล่านั้นมาพัฒนาประเทศอย่างที่มันควรจะเป็น สร้างอนาคตใหม่ให้ลูกหลานของเรา และเราจะสามารถบอกพวกเค้าได้ว่าอนาคตนี้เราเป็นคนสร้าง”

จบการสัมภาษณ์เพียงเท่านี้

แต่ตลอดการสัมภาษณ์ เรารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือ ‘คนคุณภาพ’ มีแนวคิดที่น่าสนใจ และทำให้รู้สึกว่าใต้เมฆหมอกที่ปกคลุม ประเทศนี้ยังมีความหวังอยู่

สุดท้ายนี้อย่าปล่อยให้เสียงของคุณไร้ค่า 24 มีนาคมนี้อย่าลืมออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง เพราะไม่ใช่ผู้มีอำนาจหรือกระบอกปืน แต่ประชาชนธรรมดาอย่างพวกเราคือคนที่จะกำหนดอนาคตของประเทศนี้

 

PHOTOGRAPHER: Krittapas Suttikittibut

PERLE
WRITER: PERLE
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line