Entertainment

“10 อัลบั้ม DREAM POP ดีที่สุดตลอดกาล”พานักฟังลอยสู่ห้วงฝันและดื่มด่ำความเหงา

By: PERLE April 9, 2019

ถึงจะเป็นแนวดนตรีที่เข้าถึงไม่ง่ายนัก แต่จากความโด่งดังของ Lorde, Dua Lipa, Lana Del Rey, หรือแม้กระทั่ง Cigarettes After Sex ที่มาเปิดคอนเสิร์ตในบ้านเราหลายต่อหลายครั้ง คงปฏิเสธไม่ได้ว่าความนิยมของ Dream Pop ได้ขึ้นมาเป็นหนึ่งในแนวดนตรีกระแสหลักไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม Dream Pop ไม่ใช่ของใหม่แกะกล่อง ไม่ได้เพิ่งเริ่มต้นเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ประวัติศาสตร์ของมันยาวนานมาตั้งแต่ช่วงยุค 80 วันนี้ UNLOCKMEN เลือกพูดถึง 10 อัลบั้ม Dream Pop ที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจบุัน อ้างอิงจากการจัดอันดับของ Pitchfork

Floating Into the Night (1989)
Artist: Julee Cruise

ย้อนไป ณ ยุคบุกเบิกของ Dream Pop อัลบั้ม Floating Into the Night ของศิลปินสาวจาก ไอโอวา สหรัฐอเมริกา Julee Cruise คือหนึ่งในอัลบั้มที่ได้รับการพูดถึงมากที่สุด เมื่อ Falling หนึ่งในเพลงจากอัลบั้มนี้ได้รับเลือกจาก David Lynch ให้เป็นเพลงเปิดของ Twin Peaks ซีรีส์แนวลึกลับสืบสวนที่ดังที่สุดในยุคนั้น

ไม่มีอะไรจะเข้ากับความมืดหม่นของ Twin Peaks ไปกว่าเสียงเปียโนในเพลง Falling อีกแล้ว Julee Cruise เปลี่ยนความน่ากลัวสยดสยองให้กลายเป็นความสวยงามอันพิลึกพิลั่นราวกับมีเวทมนตร์ เช่นเดียวกับเพลงอื่น ๆ ในอัลบั้ม เสียงร้องไพเราะ เสียงแซ็กโซโฟนสละสลวย สโตรกกีตาร์นุ่มนวล และโน้ตสังเคราะห์แปลกใหม่ ผสมผสานกันอย่างลงตัว พาผู้ฟังจมดิ่งลงไปในห้วงราตรีตามชื่ออัลบั้ม Floating Into the Night

 

Bloom (2012)
Artist: Beach House

จากปี 1989 เดินทางข้ามเวลาสู่ปี 2012 กับ Bloom สตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 4 จาก Beach House ศิลปินดูโอ้หนุ่มสาวมาดเท่จาก แมรี่แลนด์ สหรัฐอเมริกา กล่าวได้ว่าอัลบั้มนี้คือผลผลิตอันสุกงอมจากประสบการณ์ที่พวกเขาสั่งสมมากว่า 8 ปี

เสียงเพลงของ Bloom สร้างจินตภาพให้ผู้ฟังได้อย่างชัดเจน มันนำพาทุกคนให้เข้าไปอยู่ในห้อง ๆ หนึ่ง เป็นห้องที่เต็มไปด้วยฝุ่น และเมื่อมองไปนอกหน้าต่างก็เป็นเวลาพลบค่ำ ท้องฟ้าย้อมด้วยสีของราตรี พร่างพราวด้วยแสงดวงดาว

เสียงกีตาร์อันเปล่งประกายของ Alex Scally และเสียงร้องอันล่องลอยของ Victoria Legrand นั้นถ้าใครได้ฟังย่อมไม่มีวันลืม พวกเขาสร้างสรรค์ Bloom ให้ออกมาลึกลับแต่ก็ดูเย้ายวนอยู่ในที เป็นปรากฏการณ์มีเสน่ห์อันยากจะอธิบาย

 

It’ll End in Tears (1982)
Artist: This Mortal Coil

Tim Buckley เขียนเพลง Song to the Siren เพลงที่เล่าเรื่องราวความรักระหว่างสัตว์ประหลาดเพศเมียที่ใช้คาถาล่อลวงโอดิสสิอุสแห่งโฮเมอร์ ออกมาครั้งแรกในยุค 60 ตอนนั้นเขานำเสนอมันออกมาในแนวบัลลาด ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จนัก เนื่องจากอารมณ์ที่ลึกซึ้งของเนื้อเพลงไม่ได้ถูกถ่ายทอดออกมาให้สัมผัสใจคนฟังเท่าที่ควร

จนกระทั่งมันถูกปัดฝุ่น หยิบขึ้นมาร้องอีกครั้งโดย This Mortal Coil ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปตลอดกาล ด้วยเสียงร้องไพเราะแต่เย็นยะเยือกของ Elizabeth Fraser (จากวง Cocteau Twins มาร่วมร้อง) บวกกับดนตรีล่องลอยอันสวยงาม เป็นส่วนผสมที่ลงตัวจนทำให้เพลงนี้อมตะเหนือกาลเวลา

It’ll End in Tears นำพาผู้ฟังไปเยือนบรรยากาศแห่งเทพนิยาย แต่ทุกอย่างดูพร่าเลือน ไม่ชัดเจนนัก จึงไม่น่าแปลกเลยที่อัลบั้มนี้จะติดเข้ามาในลิสต์

 

Tender Buttons (2005)
Artist: Broadcast

แรกเริ่มเดิมที Broadcast วงดนตรีจากเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษวงนี้โดดเด่นด้วยการนำเพลงป๊อปในยุค 60 มาสร้างสรรค์ใหม่ให้กลายเป็นเพลง Dream Pop สุดล้ำ ใน 2 อัลบั้มแรกของวงอย่าง The Noise Made by People และ Haha Sound ทั้งคู่เป็นอัลบั้มที่ยอดเยี่ยม แต่ก็ยังไม่ใกล้เคียง Tender Buttons อัลบั้มลำดับที่ 3 ของพวกเขา

การลดจำนวนสมาชิกเหลือเพียง 2 คน (James Cargill มือเบส, Trish Keenan นักร้องนำ) ก่อนจะเริ่มทำ Tender Buttons กลับกลายเป็นว่าพวกเขาสามารถขับเน้นเอกลักษณ์ของ Broadcast ให้ออกมาชัดเจนเสียยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

ทุกอย่างใน Tender Buttons เรียบง่าย ฟังสบาย แต่กลับพาผู้ฟังไปในห้วงแห่งอารมณ์ดิ่งลึก ยากจะถอนตัว

 

Dragging a Dead Deer Up a Hill (2008)
Artist: Grouper

งานของ Liz Harris AKA Grouper ไม่เคยสดใส ทุกเพลงราวกับอยู่ในสถานที่ที่แสงแดดไม่อาจส่องถึง แต่ผลงานของเธอที่พาไปผู้ฟังไปสู่ห้วงแห่งความมืดได้ลึกที่สุดคืออัลบั้ม Dragging a Dead Deer Up a Hill ในปี 2008

Harris สั่นคลอนหัวใจของผู้ฟังให้บิดเบี้ยวด้วยเสียงเพลงที่เธอรังสรรค์ เราในฐานะคนฟังรู้สึกอึดอัดเหมือนกำลังพยายามคลืบคลานออกจากซากปรักหักพังอย่างสิ้นหวัง

แทร็กส่วนใหญ่ของ Dragging a Dead Deer Up a Hill มีองค์ประกอบเพียงไม่กี่อย่าง กีตาร์ที่นุ่มนวลและเสียงสังเคราะห์ที่มาจากจินตนาการของ Harris แต่เท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะประทับความเจ็บปวดรวดร้าวลงในใจของผู้ฟัง

 

And Then Nothing Turned Itself Inside-Out (2000)
Artist: Yo La Tengo

ตลอดระยะเวลาการทำงาน 34 ปีของ Yo La Tengo พวกเขาได้เสียงตอบรับล้นหลาม แต่ถ้าจะพูดถึงอัลบั้มที่ดีที่สุด ยังไงก็ต้องเป็น And Then Nothing Turned Itself Inside-Out  ในปี 2000

ท่ามกลางบรรยากาศโลกที่วุ่นวายในยุค Y2K แต่ Yo La Tengo กลับนำเสนอเสียงเพลงที่นุ่มนวล สงบเงียบ และไพเราะที่สุด ราวกับพวกเขาอยากกล่อมคนทั้งโลกให้ผ่อนคลายสู่ห้วงนิทรา ทันทีที่อัลบั้มนี้เริ่มบรรเลง ผู้ฟังจะกลายเป็นนักเดินทาง โดยมีเสียงเพลงของ Yo La Tengo เป็นไกด์ นำพาทุกคนสู่ปลายทางที่มีแสงอบอุ่นรออยู่

 

On Fire (1989)
Artist: Galaxie 500

ถ้าเทียบกับอัลบั้มอื่นในลิสต์ On Fire ของหนุ่ม ๆ (ที่ตอนนี้เป็นหนุ่มใหญ่แล้ว) มีความร้อนแรงกว่าอย่างชัดเจน สมชื่ออัลบั้ม พวกเขาระเบิดอารมณ์ที่อัดอั้นส่งผ่านท่วงทำนองอันก้าวร้าว แต่ก็ยังคงความเป็น Dream Pop ไว้อย่างหนักแน่น

หลายคนนำอัลบั้ม On Fire ไปเทียบกับดนตรีของวงระดับตำนานอย่าง The Velvet Underground ทั้งคู่มีความใกล้เคียงกัน เพียงแต่ On Fire หนักหน่วงน้อยกว่า ก้าวร้าวน้อยกว่า ทั้งในแง่เนื้อหาและดนตรี ถ้าจะเปรียบให้เห็นภาพ The Velvet Underground คือการถ่ายทอดอารมณ์ของคนเสพเฮโรอีน ส่วน On Fire อัลบั้มนี้เปลี่ยนจากเฮโรอีนเป็นช็อกโกแลตทวิงกี้ อย่างไรก็ตามทั้งคู่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน

 

Teen Dream (2010)
Artist: Beach House

ถ้าจะบอกว่า Beach House คือหนึ่งในผู้ทรงอิทธิพลสำหรับแนวดนตรี Dream Pop ยุคใหม่คงไม่ผิดนัก เพราะในลิสต์ 10 อันดับนี้พวกเขากวาดไปถึง 2

เปรียบเทียบให้เห็นภาพ Bloom ในปี 2012 คือบทเพลงของคนที่ตกผลึกในชีวิตแล้ว มีความนุ่มนวล อ่อนละมุน ถึงจะเหงาแต่ก็มีความอบอุ่นอยู่ลึก ๆ แต่สำหรับ Teen Dream ในปี 2010 ก็ตรงตัวตามชื่ออัลบั้ม เสียงเพลงที่ถ่ายทอดมาคือตัวแทนความฝันของวัยรุ่น ทุกอย่างดูช่างสับสน วุ่นวาย เปลี่ยวเหงา ผู้ฟังคือนักเดินทางที่ยังต้องมุ่งหน้าต่อไปเรื่อย ๆ โดยไร้จุดหมาย

 

So Tonight That I Might See (1993)
Artist: Mazzy Star

Fade Into You คือหนึ่งในเพลงช้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ มันสวยงาม เต็มเปี่ยมไปด้วยความหมาย มีกลิ่นอายของยุคสมัยโกธิค เหมือนหลุดเข้าไปในงานเต้นรำที่รายล้อมไปด้วยนักบวชจากคริสตจักร

เหมือนจะเศร้าแต่ก็ไม่มีน้ำตา เหมือนจะมีความสุขแต่ก็ยิ้มไม่ออก เป็นความรู้สึกที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก และไม่ใช่แค่เฉพาะในเพลง Fade Into You เท่านั้น ทั้งอัลบั้ม So Tonight That I Might See ถูกห่อหุ้มด้วยหมู่มวลอารมณ์ที่ยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูด

 

Heaven or Las Vegas (1990)
Artist: Cocteau Twins

ตามชื่อ Heaven or Las Vegas อัลบั้มนี้ของ Cocteau Twins 4 สหาย Dream Pop จากสก็อตแลนด์ มุ่งเน้นไปที่การตั้งคำถามว่าแท้จริงแล้วโลกใบนี้คืออะไร อะไรคือสิ่งฉาบฉวย อะไรคือสิ่งคงทนถาวร ทั้งหมดที่เราเห็นคือภาพลวงตาหรือความจริง เป็นมุมมองที่แปลกใหม่ไม่เหมือนใครในยุคต้น 90

Elizabeth Fraser, Robin Guthrie และ Simon Raymonde ต่างก็ผ่านช่วงเวลาที่หนักหน่วงในขณะที่ทำอัลบั้มนี้ พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับปัญหาสารพัด ไม่ว่าจะเรื่องยาเสพติดหรือแม้แต่ครอบครัว อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นวัตถุดิบชั้นดีให้พวกเขาได้เล่าออกมาผ่านเสียงเพลง Heaven or Las Vegas จึงเป็นอะไรที่เข้มข้น ล่องลอย และจริงอย่างที่สุด มันจึงคู่ควรกับตำแหน่งอัลบั้ม Dream Pop ที่ดีที่สุดตลอดกาล

 

เอาล่ะ ถ้าอ่านบทความของเราจบแล้ว คืนนี้ลองปิดไฟ เลือกสักอัลบั้มจากลิสต์นี้ แล้วหลับตา ทำสมองให้ว่าง จมดิ่งไปกับความงดงามของ Dream Pop เรามั่นใจว่าคุณจะต้องหลงรักดนตรีแนวนี้แน่นอน

 

SOURCE1

PERLE
WRITER: PERLE
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line