Entertainment

5 บทบาทยอดเยี่ยมของ “อู๋ม่งต๊ะ” 
ตำนานนักแสดงกับภาพยนตร์ระดับขึ้นหิ้งที่อยากให้ทุกท่านได้ชม

By: Chaipohn March 1, 2021

มีใครสักคนเคยบอกไว้ว่า คนที่เคยสร้างเสียงหัวเราะให้เรา เมื่อใดที่เขาจากไป เขาจะทำให้เราร้องไห้มากกว่าปกติหลายเท่า

และทฤษฎีนี้ก็เป็นความจริง เมื่อเราได้รับข่าวสุดช็อคถึงการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของนักแสดงสายฮา ที่แม้ไม่เคยมีโอกาสได้รับบทเด่นนักแสดงนำ แต่ชายผู้นี้กลับสร้างความรู้สึกที่ดี และเป็นที่จดจำพูดถึงได้ในฐานะนักแสดงสมทบมาอย่างยาวนาน

UNLOCKMEN ขอพาทุกคนนั่งไทม์แมชชีน สำรวจ 5 บทบาทอันยอดเยี่ยมที่ผ่านมา ที่บางเรื่องยังสามารถหาชมได้ทางสตรีมมิ่งในขณะนี้ ไปย้อนดูความเก่งกาจของนักแสดงผู้ยิ่งใหญ่และอารมณ์ดีท่านนี้ ที่คนไทยรู้จักกันดีในนาม อู๋ม่งต๊ะ นักแสดงสมทบยอดเยี่ยมตลอดกาล


A Moment to Romance (1990) – ผู้หญิงข้า…ใครอย่าแตะ ผลงานที่ทำให้เขาคว้ารางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม

จากเด็กหนุ่มจากจีนแผ่นดินใหญ่ เดินทางมาไกลเพื่อเต็มเติมฝันในฐานะนักแสดงจากทีวีบีในยุค 70s

อู๋ม่งต๊ะ แม้หน้าตาของเขาจะไม่หล่อดุจเทพบุตร แต่เขาก็พยายามค้นหาตัวตนจากการรับบทตัวประกอบมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่เขาจะเลือกรับบทตัวร้าย เหตุผลเพราะในยุค 80s นั้นที่ว่างของตำแหน่งนี้ยังมีให้เขาได้รับอยู่เสมอ อู๋ม่งต๊ะจึงพยายามเล่นหนังที่เน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ ขอให้ได้แสดง ก็เพียงพอแล้ว

แต่บทบาทที่ทำให้คนดูหนังตราตรึง กลับหาใช่บทตัวร้ายที่เขาพยายามมาโดยตลอดไม่ แต่กลับเป็น Rambo ชายกระจอกไร้บ้าน รับจ้างล้างรถที่มาจอดแลกเศษเงิน เป็นทั้งลูกพี่และลูกกระจ๊อกของหลิวเต๋อหัวในคราวเดียวกัน ในหนังที่สร้างชื่อให้หลิวเต๋อหัวได้เป็นขวัญใจนักดูหนังชาวไทย นั่นก็คือ “ผู้หญิงข้า…ใครอย่าแตะ” นั่นเอง

บทบาทนักเลงปลายแถวสุดกระจอก อวดดี และอยากเป็นนักเลงโตของอู๋ม่งต๊ะ ฉายภาพของคนจรไร้รากได้ทั้งน่าหมั่นไส้และน่าสงสารในคราวเดียวกัน ยิ่งซีนสุดท้ายที่พัฒนาจากคนอวดดีที่น่าขัน ให้กลายเป้นมนุษย์ผู้เสียสละได้อย่างน่ายกย่องและนองน้ำตา จนทำให้เขาสามารถคว้ารางวัลเกียรติยศของนักแสดงนั่นคือ รางวัลตุ๊กตาทองฮ่องกงครั้งที่ 10 ไปอย่างภาคภูมิใจ

หลังจากนั้นอู๋ม่งต๊ะก็รู้แล้วว่าการแสดงบทสมทบนั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน ไม่ใช่เพียงเล่นให้มันจบ ๆ ไป แต่ถ้าเขาใส่ความลึกในตัวละครได้ บทบาทนั้นก็เป็นที่จดจำของคนดูตราบนานเท่านาน

*สามารถรับชมได้ที่ AIS Play


All for the Winner (1991) – คนตัดเซียน ปฐมบทของคู่หูคู่ฮา โจวซิงฉือ – อู๋ม่งต๊ะ

และจุดสูงสุดในฐานะนักแสดงทำเงินก็ฉายแววให้กับอู๋ม่งต๊ะ เมื่อเขาถูกชะตากับนักแสดงที่เริ่มต้นจากการเป็นตัวประกอบเช่นเดียวกันกับเขา จนฉายแววกลายเป็นนักแสดงสายฮาที่มีบุคลิกไม่เหมือนใคร นั่นก็คือ โจวซิงฉือ จากที่เคยพบกันจากซีรีส์จีนกำลังภายใน The Final Combat ก็ถึงเวลาที่ทั้ง 2 จะแจ้งเกิดบนจอภาพยนตร์เสียที

คนตัดเซียน (All For The Winner) คือเรื่องราวของหนุ่มเนิร์ดจากจีนแผ่นดินใหญ่ผู้แสนซื่อ รับบทโดยโจวซิงฉือ มีลุงจอมเฟอะฟะอย่างลุงต๊า ค้นพบความสามารถพิเศษในตัวหลานชายคนนี้ จึงผลักดันเพื่อให้เขาเป็นที่สุดแห่งโคตรเซียนพนันที่เต็มไปด้วยชั้นเชิงและความฮา การรับส่งมุกกันอย่างมหัศจรรย์ทำให้ทั้ง 2 กลายเป็นคู่ซี้ที่มีผลงานการแสดงร่วมกันนับสิบ ๆ เรื่องในช่วงทศวรรษที่ 90s

อู๋ม่งต๊ะ ใช้คาแรคเตอร์ Loser ของเขาได้เกิดประโยชน์จากหนังเรื่องนี้ในบทบาทคนเทา ๆ โผงผาง บ้าบิ่น แต่จริงใจได้เป็นอย่างดี จนทำให้คนตัดเซียน เป็นหนังทำเงินอันดับ 1 บนเกาะฮ่องกงในยุคนั้น แถมยังผลักดันให้ทั้ง 2 ได้เข้าชิงรางวัลตุ๊กตาทองฮ่องกงอีกด้วย

ซึ่งในช่วงเวลานั้นกระแสหนังโคตรเซียนนั้นฮิตมากสุด ๆ ในวงการภาพยนตร์ และทำให้ทั้ง 2 ได้โลดแล่นในหนังแนวนี้ไปอีกหลายต่อหลายเรื่อง


Justice, My Foot! (1992) – คนเล็กสะท้านยุทธจักร ที่สุดของบทบาทฮาของอู๋ม่งต๊ะ จอมขโมยซีน

มีศัพท์หนึ่งที่เรียกหนังตลกของโจวซิงฉือกับอู๋ม่งต๊ะว่า “เหม่าหลีโถ่ว” ที่มีรากศัพท์มาจากคำว่าไร้สาระ ซึ่งทั้ง 2 ยึดหัวหาดหนังแนวนี้มาตลอดทศวรรษที่ 90s หนังตลกส่วนใหญ่นั้นจะทำเพื่อเอาใจคนดู จึงสนแค่เงินไม่เอากล่อง

แต่ท่ามกลางหนังตลกไร้สาระมากมายนั้น ยังมีหนังที่โชว์กึ๋นการแสดงระดับยอดเยี่ยมของโจวซิงฉือไว้ นั่นก็คือ Justice, My Foot! ที่รับบทเป็นทนายสุดฉลาดผู้ชำนาญการว่าความในสมัยราชวงศ์โดยไม่สนผิดถูก ได้เปิดโอกาสให้โจวซิงฉือได้โชว์ทักษะการแสดงขั้นเทพ จนสามารถคว้ารางวัลนำชายยอดเยี่ยมจากหนังเรื่องนี้ได้ในระดับเอเชีย

ส่วนอู๋ม่งต๊ะ แม้บทบาทจะไม่ต่างจากเรื่องอื่น ๆ แถมเรื่องนี้ยังเล่นน้อยกว่าด้วยซ้ำ แต่กลับขโมยซีนได้ถึงแก่น ในฐานะผุ้พิพากษาที่มีปัญหาเรื่องลำไส้ ที่ปรากฏตัวเมื่อไหร่ก็ได้ฮาหงายท้องเมื่อนั้น

*สามารถรับชมได้ที่ Netflix


Shaolin Soccer (2001) – นักเตะเสี้ยวลิ้มยี่ การร่วมงานกันครั้งสุดท้าย ของคู่หูคู่ฮา

ทุกงานเลี้ยง ย่อมมีวันเลิกรา แต่ไม่คิดว่าการสร้างเสียงหัวเราะมาอย่างยาวนานของโจวซิงฉือและอู๋ม่งต๊ะ จะจบลงอย่างไม่ทันตั้งตัวแบบนี้

ในหนังที่โจวซิงฉือรับหน้าที่ทั้งแสดงและกำกับ เขาได้กำกับบทบาทของพี่ใหญ่ร่วมสาบานได้อย่างยอดเยี่ยม ในบทบาทนักเตะแข้งทองในอดีต ที่ต้องกลายเป็นคนพิการเพราะตัดสินใจล้มบอล ทำให้ชีวิตรุ่งโรจน์กลับรุ่งริ่ง ก่อนเหล่านักเตะเสี้ยวลิ้มยี่จะปลุกความเป็นนักสู้ของอู๋ม่งต๊ะให้กลับคืนมาอีกครั้งในฐานะโค้ช

หนังสะท้อนตัวตนของอู๋ม่งต๊ะในฐานะนักแสดงที่เคยมีงานล้นมือ แต่ก็ทำลายโอกาสไป ก่อนได้รับโอกาสใหม่อีกครั้ง และสหายผู้น้องก็มองออกอย่างถ่องแท้ จนสามารถดึงจิตวิญญาณของการแสดงในระดับพรีเมียมของอู๋ม่งต๊ะให้เห็นทั้งด้านฮาและน่าสงสาร

แม้บทบาทเรื่องนี้ของอู๋ม่งต๊ะ จะไม่ได้รับการยอมรับในด้านรางวัล แต่สำหรับคนดูหนังแล้ว นี่คือ 1 ในบทบาทที่ดีที่สุดในชีวิตของอู๋ม่งต๊ะเลยทีเดียว

แต่น่าเสียดายที่ดาวทั้งสองดวงค่อย ๆ แยกออกจากกันมากขึ้นตั้งแต่ภาพยนตร์เรื่องนี้

กราฟชีวิตของโจวซิงฉือค่อย ๆ สูงขึ้นในฐานะนักแสดงที่ผันตัวไปเป็นผู้กำกับ แต่ขณะเดียวกันโรคร้ายกลับค่อย ๆ รุมเร้าอู๋ม่งต๊ะ ทำให้เขาพลาดโอกาสดี ๆ ที่สหายผู้น้องได้หยิบยื่นให้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น Kung Fu Hustle หรือ CJ7 ที่โจวซิงฉือตั้งใจให้เขามารับบทพระเอก แต่แล้ว Shaolin Soccer กลับเป็นหนังเรื่องสุดท้ายที่ทั้ง 2 ได้พบกันอย่างน่าเสียดาย


The Wandering Earth – (2019) – ปฏิบัติการฝ่าสุริยะ การทิ้งทวนบทบาท ก่อนลาจากตลอดกาล

ช่วงทศวรรษที่ 2000s – 2010s ชื่อของอู๋ม่งต๊ะค่อยๆจางหายไปในความรู้สึกของคนดูหนัง หลายคนมองว่าเพราะความบาดหมางระหว่างเขาและโจวซิงฉือ ซึ่งมันไม่เป็นความจริง ความเป็นจริงคือปัญหาสุขภาพจากการทำงานหนักและดื่มสุราของตัวอู๋ม่งต๊ะเอง จนมีข่าวว่าเขาช็อคจากภาวะหัวใจวายในปี 2014 รวมถึงข่าวลือว่าเขาได้จากโลกนี้ไปแล้ว แต่โชคยังดีที่ตอนนั้นเขารอดและกลับมาดูแลสุขภาพของตัวเอง จนกลับมาแสดงหนังได้ดังเดิมอีกครั้ง

แม้ระยะหลัง ๆ ผลงานของอู๋ม่งต๊ะจะไม่พีคมากเท่ายุครุ่งเรือง ซึ่งเป็นไปตามกราฟเดียวกันกับหนังฮ่องกงที่ไม่เปรี้ยงเหมือนยุค 90s แต่หนังจีนแผ่นดินใหญ่ก็พยายามฟื้นฟู ทั้งเงินทุนและเทคนิค จนเราได้เห็นการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้งของอู๋ม่งต๊ะ ที่มารับบทบาทในหนังอวกาศสุดไฮเทคอย่างเหลือเชื่อ

เรื่องราวในอนาคตเมื่อพระอาทิตย์ค่อย ๆ เสื่อมสภาพ เหล่ามวลมนุษยชาติต่างต้องหาดาวเร่ร่อนดวงอื่นมาแทนที่โลกที่ค่อย ๆ สูญหายไป

อู๋ม่งต๊ะ รับบทปู่ของพระเอกที่เก็บงำความลับของครอบครัวไว้ แม้จะไม่ค่อยชินนักกับการต้องเล่นท่ามกลางกรีนสกรีนในแบบการถ่ายทำแบบยุคใหม่ แถมยังต้องแบกชุดอวกาศอันหนักอึ้งทั้งที่สภาพร่างกายของตนไม่สู้ดีนัก แต่ไม่มีอะไรมาบดบังความเก๋าและเจนจัดในการแสดงของเขาได้ จนทำให้อู๋ม่งต๊ะได้รับการเสนอชื่อเข้าขิงในสาขานักแสดงสมทบชายในหลายสถาบัน และนับเป็นการกลับมาอย่างสมศักดิ์ศรีที่ทุกคนรอคอ

*สามารถรับชมได้ที่ Netflix


น่าเสียดายที่แสงไฟชื่อ อู๋ม่งต๊ะ กลับต้องมาดับเอาเสียดื้อ ๆ เมื่อมะเร็งตับได้คร่าชีวิตเขาไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ ทิ้งทวนบทบาทนักแสดงสมทบจอมเก๋าที่คนดูต่างหลังรักมาตลอด 30 ปี ไว้เป็นเพียงความทรงจำอันงดงาม

UNLOCKMEN ขอขอบคุณจากใจในฐานะผู้สร้างรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความใจสู้ที่ไม่มีวันย่อท้อจะถูกกล่าวขานเป็นตำนานต่อไปตราบนานเท่านาน

 

Chaipohn
WRITER: Chaipohn
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line