

Entertainment
“ยิ่งห้ามก็ยิ่งอยากอ่าน” รวม 6 หนังสือต้องห้ามที่ถูกแบนไม่ให้อ่าน
By: GEESUCH May 10, 2023 223939
ในวรรณกรรมดิสโทเปียชื่อ Fahrenheit 451 โดยนักเขียนชาวอเมริกัน Ray Bradbury นั้น เล่าเรื่องของโลกที่รัฐบาลลงมติว่า ‘หนังสือ’ คือสิ่งผิดกฎหมาย ประชาชนห้ามอ่านเด็ดขาด ถึงขนาดว่ามีหน่วยชื่อ Firemen คอยเผาหนังสือทุกที่ที่มีอยู่ในสังคมให้หมดไป Guy Montag ตัวเอกของเรื่องก็คือหนึ่งในหน่วยสุมเพลิงนั้น ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ ตั้งคำถามว่าสิ่งที่รัฐบาลบอกว่าผิด
ใครที่เป็นแฟนคลับตัวยงของมังงะโจรสลัด One Piece น่าจะรู้ถึงความโหดร้ายของรัฐบาลโลกในเรื่องดี ซึ่งหนึ่งในสิ่งชั่วร้ายที่รัฐบาลคอยทำมาตลอดตั้งแต่เล่มที่ 1 ของมังงะเรื่องนี้ คือการปิดบังข้อมูลกับประชาชน จากตัวอักษรโบราณที่ชื่อว่า ‘โพเนกรีฟ’ เพราะกลัวว่าประชาชนจะล่วงรู้ประวัติศาสตร์แห่งความว่างเปล่าหลายร้อยปีก่อนที่อาจจะมีศพซุกซ่อนอยู่ใต้พรหมที่ตัวเองซุกซ่อนเอาไว้ ถึงขนาดว่าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนที่อ่านตัวอักษรนี้ทิ้งไปเลย
เรื่องแต่งว่าด้วยการห้ามอ่านของหนังสือ 2 เล่มที่กล่าวไปในข้างต้น มีจุดเชื่อมโยงน่ากลัวร่วมกันอยู่ตรงที่ ‘พลังของตัวอักษร’ มีพลังสามารถเปลี่ยนความคิด ความรู้สึกคนอ่านแบบฉับพลันโดยใช้เวลาเพียงจบหน้ากระดาษ 100-300 หน้าเท่านั้น และการห้ามอ่านมันเกิดขึ้นในชีวิตจริงของพวกเราด้วย !
ในปี 1982 จำนวนหนังสือที่ถูกแบนจากห้องสมุดโรงเรียน และจากรัฐบางรัฐในอเมริกามีปริมาณที่สูงขึ้นมาก ถึงขนาดทำให้องค์กร Free-Speech หลายแห่งรวมตัวกันตั้ง ‘งานสัปดาห์หนังสือที่ถูกแบน (Banned Books Week)’ ครั้งที่ 1 ขึ้น เพื่อฉลองเสรีภาพในการอ่านของทุกคน และยังคงจัดต่อเนื่อมาจนถึงปี 2023
พูดถึงช่วงเวลา 2 ปีก่อนหน้านี้ในประเทศไทย ไม่มีสำนักพิมพ์ไหนที่จะถูกกล่าวถึงมากเท่ากับ สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน อีกแล้ว เพราะยอดขายที่ถล่มทลายของหนังสือชื่อ ‘ขุนศึกศักดินาฯ’ จากเหตุการณ์ที่ถูกรัฐบาลห้ามอ่านถึงขนาดว่าส่งเจ้าหน้าที่มาริบหนังสือถึงสำนักพิมพ์กันเลยทีเดียว สิ่งที่น่าสนใจคือ คำว่า “ตาสว่าง” ถูกใช้อย่างติดปากในกระแสสังคมช่วงเวลานั้น การห้ามอ่านทำให้ทุกคนหามาอ่าน และสร้างแรงกระเพื่อมเปลี่ยนความคิดของคนในสังครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของประเทศไทย …
“I can shake off everything as I write; my sorrows disappear, my courage is reborn.”
– Anne Frank
แน่นอนว่าหนังสือมีพลังมากมายถึงขนาดเปลี่ยนโลกได้ แต่การห้ามคนหนึ่งคนเพื่อจะรู้อะไรในหนังสือนั้นเป็นสิ่งที่ร้ายแรงยิ่งกว่ามาก UNLOCKMEN ขอรวบรวมหนังสือที่ถูกแบนในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แนะนำโดยสำนักพิมพ์ Penguin Random House (บางเล่มมีแปลลิขสิทธิ์ไทยด้วย) แต่ถึงจะขึ้นชื่อว่าถูกแบน คุณก็ไม่ควรปิดกั้นตัวเองจากสิ่งมากมายที่จะได้รับจากตัวอักษรเหล่านั้นอยู่ดี
หลายคนน่าจะคุ้นชื่อซีรีส์เรื่องนี้ดีจาก Hulu แต่อาจจะไม่รู้กันว่าต้นฉบับมาจากนิยายดิสโทเปียของ Magaret Atwood ที่เล่าเรื่องของโลกอนาคตปี 2195 ในประเทศสมมติที่มีชื่อว่า Gilead ซึ่งมีระบอบปกครองแบบแบ่งแยกหน้าที่และชนชั้น มอบคุณค่าและบทบาทของคนจากความสามารถในการอุทิศร่างกายให้แก่การผลิตทรัพยากรเพื่อผดุงการดำรงอยู่ของมวลมนุษยชาติ เราจะฟังเรื่องเล่าของโลกที่อิสรภาพไม่ได้เป็นของทุกคนผ่านตัวเอกชื่อ offred หญิงรับใช้คนหนึ่ง
ต้องบอกว่า The Handmaid’s Tale เป็นนิยายที่ถูกใช้คำว่าอื้อฉาวได้อย่างสิ้นเปลืองมาก ทั้งถูกวิพากษ์ว่าเป็นหนังสือที่ต่อต้านคริสเตียน อิสลาม ต่อต้านศาสนา ผ่านการแสดงออกทางเพศแบบรุนแรง ถูกจัดให้เป็นหนังสือที่ถูกเซนเซอร์โดย ‘สมาคมห้องสมุดอเมริกัน (American Library Association)’ และล่าสุดในปี 2023 ห้องสมุดของโรงเรียนมัธยมปลายใน Madison County ก็เพิ่งถอดหนังสือเล่มนี้ออกจากห้องสมุดไปเอง ซึ่งผู้เขียนอย่าง Magaret Atwood ก็ออกมาพูดถึงเรื่องนี้ และบอกว่าไม่สมเหตุสมผลเลย ทั้ง ๆ ที่แรงบันดาลใจจากนิยายของเธอได้มาจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ลด้วยซ้ำไป
จากนิยาย YA เล่มดังของโลกสู่ซีรีส์ออริจินอลที่สร้างชื่อให้กับ Netflix ในปี 2017 หนังสือเล่มนี้เล่าเรื่องของ Hannah Baker เด็กสาววัยมัธยมคนใหม่ของเมือง ที่ชีวิตของเธอเต็มไปด้วยการถูกบูลลี่จากโรงเรียน การที่ครอบครัวไม่เข้าใจ นำไปสู่การเลือกจบชีวิตของตัวเองในท้ายที่สุด .. แต่ทว่า Hannah เลือกที่จะแก้แค้นผู้คนที่ทำให้ชีวิตของเธอเป็นแบบนี้ ผ่านการบันทึกเทป 13 ม้วน ที่บันทึกเสียงของเธอเอาไว้ว่าพวกเขาทำอะไรกับเธอเอาไว้บ้าง
ทั้งฉบับซีรีส์และหนังสือ Thirteen Reasons Why ถูกยกย่องว่าพูดถึงปัญหาการ ‘ฆ่าตัวตายในวัยรุ่น’ แบบที่ตรงไปตรงมา และชี้ปัญหาได้ถูกจุดเอามาก ๆ แต่เพราะเหมือนว่าจะมีภาพของความรุนแรงมากเกินไป ทำให้ห้องสมุดในหลาย ๆ โรงเรียนของอเมริกาเลือกที่จะถอดหนังสือเล่มนี้ออกไป ส่วนหนึ่งมาจากความเห็นของผู้ปกครองที่ไม่เห็นด้วยว่าลูก ๆ ของพวกเขาจะสามารถอ่านรับความรุนแรงของเนื้อเรื่องได้
วันหนึ่ง Amy Arata สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ หยิบหนังสืออ่านฆ่าเวลาจากห้องสมุดในโรงเรียนของลูกชายวัย 17 ปี ของเธอเข้าห้องประชุมของพรรคด้วย สายตาของเหล่าสมาชิกที่มองเธอในวันนั้นทำให้ Amy รู้สึกไม่ดีเลย มันแสดงว่าเธอต้องออกตัวทำอะไรสักอย่างกับหนังสือฆ่าเวลาเล่มนี้แล้ว
ในปี 2019 ตัว Amy ให้สัมภาษณ์กับรายการข่าวท้องถิ่นในรัฐแมสซาชูเซตส์ถึงนิยายเล่มนี้ โดยใช้คำว่าลามกอนาจาร และใช้คำที่พูดถึงเรื่องเพศแบบชัดเจนเอามาก ๆ ซึ่งมันทำให้เธอไม่สบายใจเลย และเธอตัดสินใจว่าจะร่ากฎหมายเพื่อแบนหนังสือเล่มนี้ในรัฐบ้านเกิดของเธอและลูกชาย แต่ทว่า ร่างกฎหมายก็ถูกปัดตกไป
Kafka On The Shore เล่าเรื่องของเด็กชายอายุ 15 ปีคนหนึ่งที่หนีออกจากบ้าน แต่นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งในเรื่องราวเล็ก ๆ เท่านั้น เพราะถ้าคุณเคยกับการอ่านนิยายแฟนตาซีของมูราคามิดี จะรู้ว่าความไม่ปกติคือความปกติของงานเขียนของเขา
วรรณกรรมเล่มสำคัญของโลก โดย Mark Twain นักเขียนทาสแมว ตั้งแต่ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1885 นิยายเรื่อง The Adventures of Huckleberry Finn ซึ่งเล่าเรื่องของคนสองคนที่หลบหนีอะไรบางอย่างในชีวิตของตัวเอง (คนแรก-หลีกหนีจากพ่อผู้ทำร้ายร่างกาย / คนที่สอง-หลบหนีจากการเป็นทาส) ก็ถูกโจมตีอย่างหนักว่าเป็นหนังสือที่เหยียดเชื้อชาติ และบ้างก็บอกว่าขัดต่อค่านิยมอันดีงามของผู้คน
ต่อมาในปี 2019 Verlina Reynolds-Jackson และ Jamel Holley สส.จากรัฐนิวเจอร์ซีย์ได้เสนอให้เขตการศึกษาถอด The Adventures of Huckleberry Finn หนึ่งในวรรณกรรมอเมริกาที่ยิ่งใหญ่ออกจากหลักสูตรการสอน พร้อมให้เหตุผลประกอบว่า “นิยายเรื่องนี้ใช้ถ้อยคำเหยียดเชื้อชาติ และแสดงทัศนคติแบบเหยียดสีผิว ซึ่งจะส่งผลให้นักเรียนรู้สึกไม่สบายใจพร้อมสร้างบรรยากาศชวนอดอัดในห้องเรียนได้”
จากเหตุการณ์ครั้งนั้นเอง ทำใหเขตการศึกษาของรัฐ Pennsylvania, Virginia, Minnesota และ Mississippi ได้ถอดหนังสือเล่มนี้ออกจากหลักสูตรการสอน และเป็นที่ถกเถียงต่อไปอีกว่า ในการจัดพิมพ์หนังสือในฉบับใหม่ สำนักพิมพ์ควรเลือกใช้คำอื่นเข้ามาแทนคำว่า ‘ทาส’ อย่างตรงไปตรงมาแทน
“Graphic Novel เพียงเล่มเดียวในลิสต์นี้ และเป็นเล่มที่ได้ชื่อว่าถูกแบนมากที่สุดในโลกด้วย !”
Maus เป็นผลงานของ Art Spiegelman ซึ่งได้แรงบันดาลใจโดยตรงมาจากเหตุการณ์จริงของ Vladek Spiegelman พ่อของเขาเอง หนึ่งในมนุษย์คนหนึ่งที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในค่ายกักกันฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวของนาซี ซึ่งนี่คือมาสเตอร์พีซระดับที่ว่าเป็น Graphic Novel ของโลกที่ได้รับรางวัล Pulitzer Prize ในปี 1992 อีกด้วย
แต่ทว่า ในเดือนมกราคมของปี 2022 ที่ผ่านมา คณะกรรมการของโรงเรียนหนึ่งจากรัฐ Tennessee ตัดสินใจถอดหนังสือเล่มนี้ออกจากหลักสูตรของโรงเรียน ด้วยเหตุผลที่ว่ามีการใช้ภาษาที่หยาบคาย พร้อมกับมีภาพวาดของผู้หญิงเปลือย ทั้ง ๆ ที่ Maus เป็นหนังสือที่ถูกใช้สอนในโรงเรียนถึงภาพความโหดร้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2 ความอันตรายของการเหยียดเชื้อชาติ และการต่อต้านชาวยิวมาอย่างยาวนาน
“พวกเขาสนใจแต่คำหยาบที่อยู่ในหนังสือแบบที่ไม่ลืมหูลืมตา ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าแค่คำว่า ‘Damn’ จะทำให้หนังสือเล่มนี้ถูกโยนออกจากรั้วโรงเรียนไปทั้งอย่างนั้น”
– Art Spiegelman
ไม่น่าเชื่อว่าวรรณกรรมเยาวชนพ่อมด-แม่มดที่มีชื่อที่สุดในโลกอย่าง Harry Potter จะถูกแบนจากสังคมด้วย ! และเป็นระดับที่ว่าต้องโดนผู้เสกความตายใช้คำสาปพิฆาตอย่างเด็ดขาดอีกต่างหากล่ะ
ไม่แน่ใจว่า J. K. Rowling กังวลถึงเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหนตอนจรดปากกาเป็นคำในแต่ละบทของนิยาย ว่าหนังสือของเธอจะถูกเพ่งเล็งโดยเหล่าผู้คนที่เชื่อในมนตร์ดำ (black-magic believers) ทั่วโลก ว่าจะทำให้ลูก ๆ หลาน ๆ ของพวกเขาเสียคน … และสำหรับชาวคริสเตียนกลุ่มหนึ่ง หนังสือชุดนี้เปรียบได้กับ ‘ยาเบื่อหนูที่ผสมกับน้ำส้มโซดา’ และเป็นประตูที่จะนำเด็กนับล้านไปตกนรก จนทำให้ Harry Potter ตกเป็นเป้าของการถูกเผาทิ้งอย่างน้อย 6 ครั้งในอเมริกา
จากนั้นในปี 2019 โรงเรียนคาทอลิกชื่อ St Edward Catholic ใน Nashville ได้เอาหนังสือชุดนี้ออกจากห้องสมุดของโรงเรียน พร้อมกับส่งอีเมลล์หาพ่อแม่ของเด็ก ๆ ว่าเป็นหนังสือหลอกลวงอันชาญฉลาด เพราะว่าเหล่าคาถาและคำสาปในหนังสือมันคือของจริง เมื่อมนุษย์ธรรมดาอ่านก็เสี่ยงที่จะเสกวิญญาณชั่วร้ายให้ปรากฎออกมาได้ “อะวาดา เคดาฟรา !”