DESIGN

VINTAGE ROLEX EDITION : The Rolex Submariner 1680 “Red Sub”

By: unlockmen April 17, 2025

บนหน้าปัดดำสนิทของนาฬิกาดำน้ำที่กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความเท่เหนือยุคสมัย มีตัวอักษรสีแดงเพียงหนึ่งบรรทัด ที่บอกชัดเจนว่าเรือนเวลานี้ไม่เหมือนใครในโลก มันเขียนว่า “SUBMARINER” และเพียงแค่โลโก้สีแดงหนึ่งบรรทัด… ก็สามารถสร้างตำนานให้เรือนเวลาได้

Rolex เปิดตัว Submariner Ref. 1680 ในปี 1967 Submariner รุ่นแรกที่เพิ่ม ฟังก์ชันวันที่ พร้อมเลนส์ Cyclops และที่สำคัญที่สุดคือ รุ่นพิเศษที่โลกจดจำในชื่อว่า “Red Sub” มันไม่ใช่แค่ Submariner ธรรมดาที่ใส่ตัวหนังสือแดง แต่มันคือสัญลักษณ์ของ ช่วงเปลี่ยนผ่านทางเทคนิคและดีไซน์ ของ Rolex ที่สำคัญมาก

  •  เป็น Submariner รุ่นเดียวที่เคยใช้ตัวอักษรแดง
  • เป็น Submariner รุ่นแรกที่มีวันที่พร้อมเลนส์ Cyclops (Sea-Dweller เป็น Dive watch รุ่นแรกที่มี date window แต่ไม่มี Cyclops)
  • เป็น Submariner Date รุ่นเดียวที่ใช้กระจก Acrylic box-shaped พร้อม Cyclops lens ก่อนจะเปลี่ยนไปใช้ Sapphire flat crystal ทั้งหมด
  • ติดตั้งเครื่อง Caliber 1575 ที่เพิ่มโมดูลวันที่เข้าไปในพื้นฐานของ Cal. 1570 แต่จะยังแสตมป์เลข 1570 บนเครื่อง
  • เป็น Submariner รุ่นเดียวที่ขอบหมุนแบบสองทิศทาง (bidirectional)
  • ใช้ขอบ “Fat Font” ตัวเลขหนา (หายากมากในปัจจุบัน)
  • ผลิตตั้งแต่ปี 1967–1975 เท่านั้น หลังจากนั้น Rolex เปลี่ยนไปใช้หน้าปัดตัวอักษรสีขาวทั้งหมด และทำให้ Red Sub กลายเป็นของล้ำค่าแบบถาวร

อีกหนึ่งในเสน่ห์ของ Red Sub คือ “Mark Dial” ทั้ง 6–7 รูปแบบ + Service Dial เรืองแสง Luminova แทนที่สารเรืองแสง Tritium ซึ่งจะไม่มีคำว่า “Swiss-T<25” ใต้หลักหกนาฬิกา แต่ใช้คำว่า “SWISS” แทน (ถ้านับรวมหน้าปัดตัวอักษรสีขาวจะมี 8 Dials)

โดย Mark I – III: Meters First หน้าปัดพิมพ์เมตรก่อนฟุต และ Mark IV – VI: Feet First ใช้หน่วยฟุตนำหน้า ซึ่งก็มีรายละเอียดแตกย่อยลงไปอีกเยอะมาก เช่น open 6 and closed 6, รายละเอียดของตัว f ในคำว่า ft

  • MK1: จุดเริ่มต้นของตำนาน หน้าปัด MK1 ถือเป็นรุ่นแรกสุดของ Red Sub ที่พิมพ์แบบ Meters First คือเรียงค่าความลึกโดยใช้ “200m = 660ft”คำว่า “SUBMARINER” สีแดง ถูกพิมพ์ ทับบนอักษรสีขาว เลข 6 ใช้แบบ Closed Sixes (เลขหกที่ปิดหัวกลม) ตัว f ในคำว่า “ft” จะ โค้งขึ้นเหนือ t อย่างมีเสน่ห์เฉพาะตัว นี่คือหน้าปัดที่หายากระดับ Holy Grail และมีเสน่ห์สุดคลาสสิกอย่างไม่ต้องสงสัย
  • MK2: ผลิตช่วงปี 1969-70 หน้าปัด MK2 ยังคงใช้ระบบ Meters First เหมือน MK1 และพิมพ์แดงทับขาวเช่นกัน เลข 6 กลายเป็น Open Sixes — ช่องว่างในเลขหกเปิดออก ตัว f ใน “ft” สั้นลง ไม่ยกหัวขึ้นเท่า MK1
  • MK3: สีแดงแบบลงผิวหน้าปัด MK3 แทบจะเหมือน MK2 แทบทุกกระเบียด ไม่ว่าจะเป็น Meters First หรือ Open Sixes ตัว “SUBMARINER” สีแดงของ MK3 พิมพ์ลงตรงๆ บนหน้าปัด (ไม่พิมพ์ทับขาว) ตัว f ใน “ft” จะสั้นและชิดยิ่งขึ้นไปอีก
  • MK4 เป็นหน้าปัดแรกที่เปลี่ยนระบบมาใช้ Feet First คือ “660ft = 200m” ตามมาตรฐานใหม่ ยังคงพิมพ์คำว่า “SUBMARINER” สีแดงทับขาว เลข 6 แบบ Open Sixes ที่เปิดกว้างอย่างชัดเจน
  • MK5 ยังคงใช้ Feet First และ Open Sixes เหมือน MK4 แต่ “SUBMARINER” สีแดง พิมพ์ลงบนหน้าปัดโดยตรง (ไม่ทับขาวแล้ว) Open Sixes ของ MK5 จะ แคบลงกว่าของ MK4 เล็กน้อย
  • MK6 MK6 คือหน้าปัดแดงสุดท้ายที่ Rolex ผลิตก่อนเปลี่ยนเป็นหน้าปัดขาว มันคือรุ่นที่ใช้ระบบ Feet First เช่นเดียวกับ MK4-5 “SUBMARINER” สีแดง พิมพ์ตรงลงบนผิวหน้าปัด ใช้เลข 6 แบบ Closed Sixes ตัว “S” ในคำว่า “Superlative” มี เส้นโค้งนุ่มลึก สไตล์คลาสสิก
  • Service Dial (MK8): แดงจากอนาคต แม้ Rolex จะหยุดผลิต Red Sub ในปี 1975 แต่หน้าปัด “แดง” กลับมาในรูปแบบ Service Dial ที่เกิดขึ้นในยุค 90s เมื่อ Rolex เริ่มใช้สารเรืองแสง Luminova แทน Tritium ไม่มีคำว่า “Swiss – T<25” ใต้เลขหก แทนด้วยคำว่า “SWISS” ที่บ่งบอกถึง Luminova ยังคงใช้ตัวหนังสือ “SUBMARINER” สีแดง แต่ จัดพิมพ์ใหม่ทั้งหมด ถือว่าเป็นของแรร์ในกลุ่ม “Service Vintage” ที่นักเล่นหลายคนยังไม่รู้ว่ามีอยู่จริง

และสำหรับนักสะสม ถ้าพูดถึง Mark ที่ถือเป็น Holy Grail ที่สุดของ Red Rolex Submariner 1680 ต้องยกให้กับ Mark I “Meters First, Closed Sixes” — The OG ที่เป็นจุดเริ่มต้นของตำนาน ผลิตแค่ในช่วงปี ’67–’69 ต้น ๆ เท่านั้น พิมพ์ “SUBMARINER” สีแดงทับบนอักษรขาว พร้อมค่าความลึกแบบ Meters First (200m = 660ft) และฟอนต์ Closed Sixes ที่เลข 6 ตัวอักษร “f” ในคำว่า “ft” โค้งขึ้นเหนือ “t” เล็กน้อย เป็น detail เล็ก ๆ ที่นักเล่นตัวจริงเท่านั้นที่รู้ว่านี่แหละของแท้ OG

unlockmen
WRITER: unlockmen
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line