Entertainment

วงคือสินค้าชิ้นหนึ่ง ถ้าเหมือนกันคนจะเลือกเราทำไม? รู้จัก ‘แอร์ – THE MOUSSES’ ผ่านโหมดชีวิตและมุมมอง

By: Synthkid October 19, 2019

หากกล่าวถึง แอร์ พงศกร ลิ่มสกุล หรือ ‘แอร์ – The Mousses’ เชื่อว่าหลายคนคงจะนึกถึงลุคเท่ ๆ ทรงผมแหวกแนว และแฟชั่นจัดจ้านของผู้ชายคนนี้ ภาพจำของเขาคือนักร้องอินดี้ขวัญใจวัยรุ่น ผู้ฝากผลงานเพลงเพราะ ๆ มากมายเอาไว้ในใจแฟนเพลง หลายคนอาจจะคิดว่าผู้ชายคนนี้จะต้องมีความติสก์ หรือมีวิถีชีวิตสุดเหวี่ยงสมกับเป็นร็อกสตาร์ แต่หลังจากที่เรามีโอกาสได้สนทนากับเขา เรากลับค้นพบว่า ‘แอร์’ ยังมีหลายมุมที่ไม่สามารถตัดสินได้เพียงผิวเผิน

นอกจากความมุ่งมั่นอย่างที่ศิลปินคนหนึ่งพึงมีแล้ว แอร์ยังมีมุมมองที่แตกต่างเกี่ยวกับเรื่องวงดนตรี จัดสรรกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัวได้อย่างเป็นระบบระเบียบ อีกทั้งทุกลมหายใจของเขายังอุทิศให้สิ่งที่เรียกว่า ‘ครอบครัว’ อย่างไร้เงื่อนไข วันนี้ UNLOCKMEN จึงอยากจะพาคุณไปทำความรู้จักกับเขาให้มากขึ้น กับชีวิตหลายโหมดของผู้ชายคนนี้ ที่คุณอาจไม่เคยรู้

จำได้ไหมว่าอยู่ในวงการมากี่ปีแล้ว?

จริง ๆ เริ่มตั้งแต่ช่วงรอยต่อระหว่างขึ้นปี 4 สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ตอนนี้น่าจะขึ้นปีที่ 12 แล้วครับ

จุดเริ่มต้นของวง The Mousses

ต้องเท้าความก่อนว่าผมกับจ๊ะ (มือกีตาร์) เราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็ก ๆ สมัยประถมแล้วครับ พอมัธยมเราก็เล่นดนตรีมาด้วยกัน แล้วผมสองคนเป็นมือกีตาร์กันทั้งคู่ ตอนไปเรียนศิลปากรก็ยังเรียนกีตาร์ ตอนตัดสินใจจะทำวง ผมไม่ได้ตั้งใจเป็นนักร้อง เพราะผมรู้สึกว่าตัวเองร้องเพลงไม่ได้ พอมีคนเข้ามาสมัคร ผมยังไม่รู้สึกถูกใจใครเท่าไหร่  เหมือนจินตนาการแบบตั้งตุ๊กตาเอาไว้ว่านักร้องวงเราควรจะเป็นอย่างไรบ้าง แต่ดันหาคน ๆ นั้นไม่ได้

ตอนนั้นก็คิดว่าจะเล่นหรือจะเลิกดี ปรากฏเพื่อนให้คำปรึกษาว่า ‘ไม่มึงก็จ๊ะอ่ะ ร้องไปเลย ออกมาเป็นยังไงค่อยว่ากัน’ จ๊ะเขาก็ปฏิเสธเลยว่าร้องไม่ได้ เสียงเขาหนีบ (ฮา) เสียงผมก็ใช่ว่าจะได้ สุดท้ายเพื่อนก็ช่วยตัดสินว่าผมเนี่ยแหละร้องได้ ก็เลยลุยกันต่อ เริ่มจัดระเบียบกันในวง แล้วก็ไปชวนสมาชิกคนอื่น ๆ มารวมร่างกัน

แล้วอะไรที่ทำให้เกิดความสนใจในดนตรี

ช่วงมัธยมมีกลุ่มเพื่อน ๆ ในห้องผม เป็นแก๊งหลังห้องที่พกกีตาร์มาดีดที่โรงเรียน พอเห็นเพื่อนเล่นได้ เราก็อยากเล่นได้บ้าง เลยให้เพื่อนช่วยสอน แรก ๆ ผมอายที่จะบอกที่บ้านมากเลยนะว่าผมอยากเล่นกีตาร์ เพราะตระกูลผมมีแต่คนใช้ชีวิตปกติ เป็นพนักงานออฟฟิศ ไม่มีนักดนตรีโผล่มาเลยสักคน เกร็งมากตอนจะบอกว่าอยากเล่นดนตรี แต่พอตัดสินใจไปบอกจริง ๆ ปรากฏว่าพ่อไม่ว่า เขาพาไปซื้อเลย! พอขอไปเรียนพ่อก็ให้ไปเรียน ส่งไปเรียนเป็นปี ๆ จนผมรู้สึกว่าชอบมันจริง ๆ ก็เลยเรียนไปเรื่อย ๆ

พูดถึงการสอบเข้าคณะดุริยางคศิลป์หน่อย

อย่างที่บอกผมเรียนกีตาร์มาโดยตลอด ตอนนั้นผมเห็นว่าศิลปากรมีสอบคณะดุริยางคศิลป์ ผมเลยไปเช็กว่าเขาสอบอะไรกัน ปรากฏว่าเขาสอบดนตรีแนวคลาสสิกกับแจ๊ซ ซึ่งผมไม่มีความรู้เกี่ยวกับมันเลย ผมเลยต้องย้ายที่เรียนกีตาร์เพื่อติวเข้ามหาวิทยาลัย จริง ๆ ผมไปสอบก่อน แล้วค่อยไปชวนจ๊ะให้มาสอบบ้าง จะได้มาเรียนด้วยกัน

ศิลปินที่ชอบในช่วงนั้น

ยุคนั้นก็ต้อง Silly Fools อัลบั้ม Mint กับพี่แมว จิระศักดิ์ ประมาณนี้ครับ

แล้วช่วงนี้สนใจดนตรีแนวไหนอยู่

ช่วงนี้ผมชอบอ่านเนื้อเพลงของศิลปินต่างประเทศ ส่วนแนวดนตรีก็ไม่ตายตัว ฟังได้เรื่อยเปื่อย ผมจะเน้นไปที่การหาไอเดีย

ผมสงสัยว่า เฮ้ย ไอ้เพลงดัง ๆ เนี่ยเขาเขียนกันอย่างไร เขาเขียนเรื่องอะไร ทำไมเพลงนี้ถึงดัง พยายามไปวิเคราะห์เป็นเพลงต่อเพลงมากกว่า

สนใจเรื่องการเขียนเพลง?

ใช่ครับ ผมว่าเพลง ๆ หนึ่งต้องมีไอเดียที่จะทำให้คนชอบในระดับมหาชนได้ มันต้องมีอะไรคลิกสักอย่าง อาจจะมีประโยคทองหรืออะไรสักอย่าง ซึ่งผมกำลังศึกษาอยู่ จริง ๆ ตอนเรียนมันก็มีวิชา Songwriting นะ ที่เขาสอนเขียนเพลง ซึ่งมันก็เอามาประยุกต์ใช้ได้ ผมเองก็พยายามฝึกฝนตัวเองกับเรื่องนี้อยู่

จะเดินบนเส้นทางสายดนตรีไปอีกไกลแค่ไหน

ผมคงทำไปเรื่อย ๆ ครับ ผมโอเคนะกับการทำงานแบบนี้ มันตอบโจทย์ชีวิตผม มันอิสระ ผมชอบที่มัน…ถ้าทำก็ได้ (เงิน) ถ้าไม่ทำก็ไม่ได้ แต่บางครั้งคุณอาจจะได้เยอะเลยก็ได้นะ ก็แล้วแต่เป้าหมายที่แต่ละคนวางเอาไว้ แต่สำหรับผมคือเป็นแบบนี้

เวลาแฟนเพลงบ่นว่าอยากให้เพลงเป็นเหมือนเมื่อก่อน รู้สึกอย่างไร?

เหมือนยุคอินดี้ไรงี้เหรอ? เฮ้ย ผมโอเคนะ ใครชอบเพลงอะไรของเราในยุคไหนบ้าง เราโอเคหมด ถามว่าทุกวันนี้เราเปลี่ยนไปจากตอนแรกไหม เราก็บอกว่าเราเปลี่ยน คนเรามันเปลี่ยนเรื่อย ๆ คนในแต่ละช่วงอายุมันคิดไม่เหมือนกัน มีประสบการณ์ที่ต่างกันอยู่แล้ว ตอนผมอายุ 22 กับวันที่เราอายุ 33 มันคิดคนละแบบกันไปแล้ว

ถามว่าชอบเพลงเก่า ๆ ของวงไหม แน่นอน มันก็เป็นเพลงที่ดี เราทำมันขึ้นมาเอง เราภูมิใจกับมันทุกเพลง

อยากพัฒนาอะไรในงานเพลง

เรื่องไอเดียครับ อย่างที่ผมได้บอกไป นอกจากทักษะที่คุณต้องฝึกฝนมันเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว สไตล์ก็ต้องชัด

ความแตกต่างของ The Mousses คืออะไร? ถ้ามันเหมือนกันหมด ลูกค้าก็ไม่รู้จะเลือกซื้อเราไปทำไม

ผมคิดแบบนี้มาตลอดเลยนะ ผมขอเล่าแบบฮา ๆ เลยนะ ตอนผมรวมวงครั้งแรก ผมคิดเลยว่าใครไม่ใส่ขาเดฟกูไม่เอา จริง ๆ! ผมมองวงเป็นสินค้าชิ้นนึง ใครที่จะมาซื้อของ ๆ เรา เขาก็ต้องดู ต้องเห็น ถ้าใครไม่เข้ากับวงผมก็ไม่เอา ผมชอบฟังทั้งเสียง ชอบดูทั้งภาพ ผมชอบแพ็กเกจ ผมดูภาพรวม เหมือนเวลาผมชอบผู้หญิงสักคน ผมก็จะดูภาพรวม ๆ ว่าเขาดูโอเคไหม ก็เหมือนดนตรีแหละครับ (หัวเราะ)

เคยบังคับเรื่องการแต่งตัวกับคนในวงไหม?

ไม่ครับ ผมคัดมาแล้ว (หัวเราะ) ดูแล้วว่าคนนี้เขาไปกับเราได้ อย่างตอนนี้ผมทำอัลบั้มใหม่อยู่ เพิ่งปล่อยเพลงแรกออกไป มีสมาชิกเพิ่มเข้ามา ชื่อกั๊ปนะครับ เป็นมือเบส ตอนแรกวงเรามี 4 คน เพิ่มเป็น 5 คน แล้วก็เหลือ 3 คน ตอนนี้กลายเป็น 4 คนอีกแล้ว จะเข้าจะออกผมก็ดูใจกันนานครับตอนนี้ อย่างกั๊ป เขาก็เป็นมือเบสแบ็คอัปให้ผมมา 3 ปีแล้ว รู้นิสัยใจคอ และลุคได้ด้วยครับ

อธิบายแฟชั่นฉบับ แอร์ The Mousses’ หน่อย

พื้นฐานผมชอบหยิบนั่นหยิบนี่มาผสมกันครับ โดยเฉพาะการผสมสี ผมสังเกตตัวเองมานาน ผมเป็นแบบนี้จริง ๆ แบบคนอื่นใช้อะไร ผมจะไม่ใช้ ถ้ามีเสื้อแขวนสิบตัว ผมจะไม่หยิบตัวนั้น ผมจะเลือกใส่ตัวไหนก็ได้ที่เขาไม่ใส่ แต่ถ้าถามว่าชอบอะไรเป็นพิเศษ ผมย้อนกลับไปดูภาพตัวเองสิบปีที่แล้ว กางเกงยีนขาเดฟ รองเท้าหนังเนี่ย ผมยังใส่มันมายันปัจจุบัน

ผมไปอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง เขาบอกว่าถ้าคุณชอบอะไรเกินสี่เดือน แสดงว่าสิ่งนั้นเรียกว่าความรักแล้ว

ผมว่านี่ก็น่าจะเป็นหนึ่งในปัจจัยนั้นเหมือนกันครับ ต้องเท้าความว่าตอนผมรวมวงใหม่ ๆ ผมฟังแต่เพลงวงสาย ‘The’ ผมเลยไปชวนจ๊ะว่า เฮ้ย เรามาทำวงสาย The กันเหอะ! สไตล์ผู้ดีอังกฤษอะไรงี้ ซึ่งการแต่งตัวของพวกเขากลายเป็นไอดอลของเราในแง่เสื้อผ้าหน้าผม แล้วมันก็ยาวมาจนทุกวันนี้เลย เพราะทุกวันนี้เราก็ยังแต่งอย่างนั้นอยู่ ซึ่งการผสมสีมันก็ไม่มีผิดมีถูกนะ มันอยู่ที่ความชอบของคุณเท่านั้นเอง

เรื่องอื่น ๆ ท่องเที่ยวหรือกีฬาอะไรแบบนี้ชอบไหม?

ชอบครับ ชอบเตะบอลมาก ช่วงนี้ยุ่งมาก ไม่ได้เตะเลย

ถ้าให้เลือกระหว่างกีฬากับเที่ยว จะเลือกอะไร

เอากีฬาละกัน มันให้ความสุขกับผมนะ เวลาไปเจอเพื่อน ได้เตะบอลด้วยกัน มันผ่อนคลาย จะให้ชีวิตมานั่งทำงานตลอด มันเป็นไปไม่ได้

พ่อผมสอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตคือสุขภาพ ต่อให้มึงทำงานรวยเป็นร้อยล้าน แล้วนอนป่วยอยู่ที่บ้านก็ไม่มีประโยชน์ เหมือนทำงานหาเงินมาให้โรงพยาบาลหมด ผมถูกปลูกฝังแบบนี้มาตลอดตั้งแต่เด็ก

พ่อผมเป็นคนรักสุขภาพมาก ตื่นมาวิ่งทุกเช้าเลย คือสำหรับผม พ่อผมยังดูไม่แก่เลยถ้าเทียบกับคนอายุใกล้เคียงกัน กล้ามยังเป็นมัด ใหญ่กว่าผมอีก! เขาไม่ได้พูดมากหรอก แต่ทำให้ผมเห็นมากกว่า อายุตั้ง 60 แล้ว แต่หุ่นยังเป๊ะอยู่เลย

แล้วเป็นคนชอบเดินทางกับเขาไหม

ชอบครับ แต่การทัวร์คอนเสิร์ตสำหรับผมก็ถือว่าเป็นการเดินทางอยู่ตลอด

มีรถยนต์ในฝันไหม?

ผมยังไม่แต่งงาน ยังไม่มีลูก รถที่ผมยังอยากได้อยู่ตอนนี้ก็คือ Mercedes-Benz เนี่ยแหละครับ จริง ๆ ฐานะที่บ้านผมมันปานกลางมาตลอดเลย ไม่ได้มีเงินอะไรมากขนาดนั้น แต่แม่ผมเคยขายรถคันเก่าตอนผมเด็ก ๆ ไปดาวน์รถเบนซ์ ตอนแรกก็ไม่ได้สนใจอะไร แต่ขับมา 11 ปี ก่อนบ้านจะน้ำท่วม มันแทบจะไม่มีการพังเลย แทบจะไม่ได้ซ่อม ในขณะที่รถคนอื่นเขาซ่อมกันยับเลย มันเลยเกิดความประทับใจ แล้วก็รู้สึกปลอดภัยกับมัน

ไม่ได้สนใจรถเร็ว?

ไม่เลย ผมเป็นคนขับรถปกติเลย

แล้วคันที่ขับอยู่ใช้มานานหรือยัง

ใช้มานานหลายปีแล้วครับ แต่ยังผ่อนอยู่เลย (หัวเราะ)

ดูแลรถดีไหม

ผมเห็นรถสกปรกไม่ค่อยได้ ถ้าไม่ได้ล้างรถ ผมแทบจะไม่ขับออกมาจากบ้าน รู้สึกแบบอายเขา ช่วงนี้ฝนตกบ่อย ผมก็ชั่งใจอยู่จะล้างไม่ล้างดี เออแต่ไหน ๆ ก็ออกมาถ่ายรายการก็ถ่ายซะหน่อย ส่วนเรื่องตัวเครื่อง ผมเปลี่ยนน้ำมันเครื่องทุกหมื่นโลครับ เนี่ย เดี๋ยวก็ต้องเปลี่ยนอีกแล้ว

ได้ข่าวว่าในรถก็สะอาดมากเหมือนกัน!

ของผมส่วนใหญ่จะอยู่ท้ายรถหมดเลย จะมีทั้งเสื้อผ้า เป็นคนสแตนด์บายตลอดเวลา ทั้งสูท แจ็คเกต กางเกงยีนส์ รองเท้าผ้าใบ รองเท้าหนังอะไร ผมเตรียมไว้หมดแล้ว เผื่อเปลี่ยนกะทันหัน ผมออกจากบ้านได้เป็นอาทิตย์อ่ะ ไม่ต้องกลับบ้านก็ได้

ชีวิตมีหลายโหมดขนาดนี้ บาลานซ์อย่างไรให้ลงตัว

ผมจะจดทุกอย่างที่ต้องทำไว้ในมือถือครับ ถ้าเป็นแพลนระยะสั้น เพื่อเป็นการกันพลาด เพราะชีวิตเราก็ไม่ได้ทำงานอย่างเดียว เรายังมีครอบครัว มีกินข้าวกับแม่ ดูแลหมา ต้องไปเจอเพื่อน อะไรอีกมากมาย ต้องรู้จักจัดสรรมันครับ

เคยท้อไหม เวลาชีวิตไม่เป็นอย่างใจ

ก็มีนะ บางทีก็มีเหนื่อย ๆ ท้อ ๆ บ้าง เวลาผมรู้สึกแบบนี้ ผมเลือกจะนอนอยู่บ้าน อยู่กับพ่อแม่ เพราะพวกเขาเป็นที่พึ่งพาให้ผมได้ การเข้าหาเขา ใช้เวลาพูดคุยกับเขา มันเป็นอะไรที่ช่วยผมได้มาก

พักผ่อนไปแล้ว มีวิธีดึงตัวเองกลับมาอย่างไรบ้าง?

เมื่อผมหมดแรงเนี่ย ผมจะมีโหมดพิเศษของผมให้ชีวิตได้ขับเคลื่อนต่อไป ผมตั้งชื่อมันว่า Power Booster แล้วกัน ซึ่งมันจะเกิดจากที่ผมได้ทำอะไรสนุก ๆ อย่างเล่นคอนเสิร์ต เจอแฟนเพลง นั่งทำเพลงใหม่ เตะบอลกับเพื่อน ออกไปชอปปิง อะไรพวกนี้ มันเยี่ยมมาก ๆ เลยครับ

อยากบอกอะไรคนที่กำลังท้อ

จากประสบการณ์ส่วนตัว เวลาผมท้อ ผมจะนึกถึงคนข้างหลังผมเสมอ ถ้าพ่อแม่เรายังอยู่ ยังมีภาระอะไรบ้าง สิ่งเหล่านี้มันเป็นแรงผลักดันของผมในการทำงานเสมอ

ผมคิดเสมอว่าเราต้องเป็นลูกที่ดีของท่าน เพราะท่านเองก็สอนเสมอว่าต้องเป็นคนดี สำหรับผมคือสิ่งนี้ครับ

PHOTOGRAPHER: Krittapas Suttikittibuth

 

Synthkid
WRITER: Synthkid
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line