Music

#ArtistRoom : ‘ตูน-Three Man Down’ นักแต่งเพลงสายฟาร์ม ผู้อัพเวลตัวเองผ่านการทำงานร่วมกับคนอื่น

By: GEESUCH August 27, 2023

เอาจริง ๆ บทความนี้เหมือนว่าไม่ต้องมี intro เลยก็ได้นะ ทุกคนที่เข้ามาอ่านน่าจะเห็นชื่อบทความกันแล้ว กับคำว่า Three Man Down ที่หมายถึงวงดนตรีของเด็กหนุ่ม 4 คน กิต-กฤตย์ จีรพัฒนานุวงศ์ (ร้องนำ) / ตูน-พีรพล เอี่ยมจำรัส (กีตาร์) / เต-เตธนันท์ วงศ์ปรีชาโชค (กลอง) / เส็ง-วิศรุต ปฐมศิริไพศาล (คีย์บอร์ด) ไม่ต้องการคำอธิบายอะไรเพิ่มเติมอีก เพราะไม่มีใครไม่รู้จักเพลงอย่าง ถ้าเธอรักฉันจริง / ฝนตกไหม / ฝันถึงแฟนเก่า / น้อง / ข้างกัน / ไม่อยากให้เธอไม่สบาย และอีกหลาย ๆ เพลงทั้งจากอัลบั้มแรก This City Won’t Be Lonely Anymore ปี 2021 และอัลบั้ม 28 ปี 2023 

และชาวเมืองทุกคนก็รู้ดีว่า ‘ตูน’ ในตำแหน่งมือกีตาร์ของวง เป็นคนที่เขียนเพลงเกือบทั้งหมด พร้อมกับเป็นโปรดิวเซอร์ทำดนตรีของ Three Man Down ด้วย แต่เราเชื่อว่ามีเรื่องเกี่ยวกับตูนที่ชาวเมืองเองก็ยังไม่รู้อยู่ล่ะ

คอลัมน์ Artist Room ตอนล่าสุดเกิดขึ้นจากความเอาแต่ใจของเราเอง ชาวเมืองอีกคนที่มีคำถามอยู่ในหัวตั้งแต่ปี 2019 ทันทีที่เพลงทีมรอเธอถูกปล่อยออกมา “ตูนแต่งเพลงโดยใช้คำแปลกขนาดนั้นเข้าไปในเพลงได้ยังไงอะ?” เราติดต่อขอคุยกับตูนเพื่อดูดวิชา เอ้ย ! เพื่อไขข้อข้องใจให้กับคำถามเมื่อ 4 ปีก่อน คุยกันย้อนไปไกลถึงวันแรกที่เขาเริ่มเล่นดนตรี วันดี ๆ ที่เหมาะกับการทำงาน วันที่ฟาร์มเพลงและอัพเวลผ่านปรมาจารย์ทางดนตรี คุยกันไปไกลถึงอนาคตที่ตูนอยากทำเพลงออเครสตา และเรื่องอื่น ๆ ที่เราเชื่อว่าเมื่ออ่านบทสัมภาษณ์นี้จบแล้ว ชาวเมืองของทั้งตูนและวง Three Man Down จะฟังเพลงของพวกเขาอย่างมีความหมายและสนุกขึ้นอีกไม่น้อยเลยล่ะ : )

พิมพ์ไปพิมพ์มากลายเป็น intro เฉย .. 


10/08/2023 เวลา 10:06 (9 วันก่อนคอนเสิร์ต Three Man Down Live At Impact Arena 2023)

ULM: ย้อนกลับไปในวันที่ไกลในวันที่เป็นเพียง ‘ตูน’ ช่วงเวลาไหนที่ทำให้เริ่มชอบดนตรี

ตูน : ถ้าเป็นดนตรีก่อนเนี่ย ผมฟังมาตั้งแต่เด็กมาก ๆ เพราะว่าคุณพ่อจะเป็นคนชอบฟังเพลงแล้วก็เล่นกีตาร์ด้วย คุณพ่อจะมีกีตาร์โปร่งอยู่ที่บ้าน คุณพ่อจะชอบเล่นเพลงแบบเพื่อชีวิตมาก ๆ คาราวาน / คาราบาวแบบทุกวัน แล้วคุณพ่อเป็นคนที่ไปแคมป์ปิ้งกับเพื่อน ๆ เขาก็จะเอากีต้าร์ไปนั่งเล่นกัน คนนึงตีคอร์ด อีกคนนึงเล่น Picking ตั้งแต่ผมจำความได้เลยครับ โตมาก็คือมีเพลงให้ฟัง มีกีตาร์ให้ได้ยินผ่านคุณพ่อ

แต่ว่าถ้าเริ่มเล่นดนตรีจริง ๆ คือตอนประมาณป.6 ครับ จะเล่นกีตาร์โปร่งก่อน ตอนนั้นเป็นช่วงก่อนเข้ามัธยม ปิดเทอมของป.6 คุณพ่อเอากีตาร์ของตัวเองให้ผมเล่นช่วงที่ไปอยู่ต่างจังหวัด เวลาปิดเทอมคุณพ่อจะให้ผมไปอยู่ระยองเป็นบ้านคุณยาย พอไปอยู่บ้านคุณยายมันไม่มีอะไรทำ แล้วยุคนั้นอินเตอร์เน็ตมันยังเข้าไม่ถึง คุณพ่อก็ทิ้งกีตาร์ไว้ตัวนึงกับหนังสือเพลง

ULM: แล้วเปลี่ยนมาเล่นกีตาร์ไฟฟ้าตอนไหน

ตูน : ม.1 ปีเดียวจากวันนั้น 555 ผมว่าหลายคนจะเป็นแบบนี้ เริ่มเล่นกีตาร์โปร่งก่อนละรู้สึกว่ามันไม่ค่อยเท่ คือแบบยุคนั้นตอน ม.1 มันจะมีวง Retrospect / Sweet Mullet โอโห้มาแบบเดือดเลย ละกีตาร์โปร่งมันไม่ได้อะ ก็ขอพ่อซื้อเลย เป็น Ibanez กับตู้แอมป์ที่มีเสียงแตกในตัวด้วย ร็อก ๆ มาเลย หลังจากนั้นก็คือไม่เล่นกีตาร์โปร่งอีกเลย เน้นกีตาร์ไฟฟ้า เป็นคนชอบเล่นกีตาร์ไฟฟ้ามาก

ULM: แล้วกีตาร์โปร่งยังชอบอยู่มั้ย กลับไปเล่นบ้างรึเปล่า

ตูน : ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่

ULM: ทำให้ Three Man Down ก็เลยไม่ค่อยมีเพลงอัดด้วยกีตาร์โปร่งปะ

ตูน : ก็พอมีบ้างแต่น้อยมากครับ จริง ๆ ส่วนใหญ่จะเป็น synthesizers กับกีต้าร์ไฟฟ้า เพราะผมไม่ค่อยชอบเล่นกีตาร์โปร่งด้วย ก็อาจจะเกี่ยวกัน

ULM: เล่าให้เราฟังถึงเพลงแรกในชีวิตของตูนหน่อย

ตูน : จุดเริ่มต้นของการเขียนเพลงผมจำได้ดีเลย เพราะว่าเขียนเพลงแรกตอนเลิกกับแฟนคนแรก ตอน ม.5 ต้องเล่าย้อนไปว่ามันเป็นช่วงที่ประกวดฮอตเวฟ (Hot Wave Music Award) แล้วเราไปที่ห้องอัดห้องนึง ตอนนั้นมีผม เต โอม แล้วก็อีกสามคนที่ไม่ได้มาอยู่ Three Man Down เป็นวงชื่อ MuchMelo เราประกวดฮอตเวฟกันแต่ไม่ผ่านเข้ารอบ ละเหมือนที่ห้องอัดนั้นเขามีโปรเจคท์รวมทุกวงที่มาอัดฮอตเวฟที่ห้องอัดของเขาไปทำอัลบั้มกัน เขาก็เรียกมาถามว่าสนใจมั้ย ทำอัลบั้ม เขาออกเงินให้ อัดเสียงที่ห้องเขา ออกซีดีให้ด้วย ซึ่งมันต้องมีเพลงที่แต่งเอง ตอนนั้นก็มีผมกับเตสองคน เตก็แต่งเพลงนึง ผมก็แต่งอีกเพลงนึง ซึ่งเพลงที่ผมแต่งมันเป็นช่วงที่ผมเลิกกับแฟนคนนั้นพอดี ชื่อเพลงว่า ‘สุดทาง’ เป็นเพลงแรกที่แต่ง หลาย ๆ คนที่ชอบ Three Man Down อาจจะเคยฟังเพลงนี้ เป็นเพลงยุคแรก ๆ เลย

ULM : เขียนมาจากตัวเองใช่มั้ย

ตูน : ใช่ครับ ตอนนั้นแบบเศร้ามาก ดูเป็นเศร้าที่ยิ่งใหญมาก 555 แต่แบบเลิกกับแฟนแบบธรรมดา สมัยแบบเด็กมัธยมอะ ก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการแต่งเพลงเลยครับเพลงนั้น

ULM : เคยฟังสัมภาษณ์ว่าตูนจะเป็นคนที่แต่งเพลง base on จากจินตนาการของตัวเอง แล้วเพลงที่เขียนขึ้นจากชีวิตจริงนอกจากเพลงสุดทาง มันมีเพลงอื่นมั่งปะ หรือว่ามันเปลี่ยนผ่านจาก ‘ความจริง’ สู่ ‘จินตนาการ’ ช่วงไหน

ตูน : จากเพลงทั้งหมดที่ผมแต่งถ้าเป็นเพลงที่แต่งขึ้นจากชีวิตจริงจะมีน้อยมาก ถ้าให้นึกออกตอนนี้ก็จะมีเพลง ‘สุดทาง’ เลิกกับแฟนคนแรก / เพลง ‘ข้างกัน’ คือแต่งให้เบสท์ภรรยาผม เพลง ‘ไม่อยากให้เธอไม่สบาย’ แต่งให้นีโม่ อันนี้คือเรื่องจริง 3 เรื่อง แต่ว่าที่เหลือคือเรื่องของเพื่อนบ้าง เรื่องที่แบบคิดเอาเองบ้าง แบบจับนู่นจับนี่นั่นมาผสมกัน

ULM : อยากรู้ว่าทักษะอะไรที่ทำให้เราสามารถเขียนเพลงได้

ตูน : ทักษะที่ติดตัวผมมาจนส่งผลทำให้ผมแต่งเพลงได้ โห ผมว่ามันน่าจะเป็นทักษะที่ผมชอบสร้างสรรค์ เพราะว่าก่อนหน้าที่ผมจะมาเล่นดนตรี ผมชอบวาดการ์ตูน ชอบวาดรูป สมัยเด็ก ๆ ชอบวาดรูปมาก วาดแม่งทั้งวันเลย ผมจะชอบอ่านหนังสือการ์ตูน ยุคนั้นก็จะเป็นนารูโตะ โชเน็นอะ สไตล์นั้น วาดทั้งวัน ฝึกวาดการ์ตูน มีแต่งการ์ตูนเป็นของตัวเองด้วยนะ แต่จำไม่ได้ละว่ามันเป็นยังไง ก็นั่งตีช่องวาดเป็นการ์ตูนเป็นช่อง ๆ มัน รู้สึกอยากสร้างผลงานอะไรสักอย่างนึง

ULM: ชอบสร้างงานที่เป็นของตัวเอง

ตูน : ใช่ ผมจำได้ประมาณว่าตั้งแต่เด็กผมพยายามจะอยากทำไรสักอย่าง พอมาเล่นดนตรีเราก็รู้สึกว่าไม่อยากที่จะแกะเพลงคนอื่นอย่างเดียว เราอยากจะสร้างอะไรเป็นของตัวเอง ช่วงแรก ๆ ผมอาจจะไม่ได้ทำแค่เนื้อร้องทำนอง ผมจะทำเป็นสไตล์แบบเพลงกีตาร์ อันนี้ต้องเล่าย้อนกลับไปนิดนึง ถ้าใครรู้จักผมมาตั้งแต่ช่วงแรก จะรู้ว่าผมจะทำช่องโคฟเวอร์กีตาร์มาก่อน ทำตั้งแต่ม.1 เลยครับ ชื่อช่องว่า DNA Guitar Cover ตอนนั้นจะมีทั้งโคฟเวอร์กีตาร์ แล้วก็มีเปลี่ยนเพลงให้เป็นใช้กีตาร์ร้องเพลงแทนเนื้อร้อง ทำเมโลดี้แทนเนื้อร้อง น่าจะเป็นสกิลที่ทำให้แบบแต่งเพลงได้มั้งครับ

ULM : เหมือนมีเมโลดี้ฝังอยู่ในหัวทุกวัน

ตูน : เป็นเหมือนคนแบบชอบสร้างอะไรสักอย่างขึ้นมา ไม่ได้ชอบแบบตามคนอื่นขนาดนั้นครับ

ULM: ขอถามเชิงเทคนิคนิดนึง ในช่วงแรกของการแต่งเพลงความยากของมันคืออะไร

ตูน : มันยากมากตรงที่เราแต่งอะไรมันก็ดูโง่ไปหมด 555 ผมให้ช่วงฝึก 3 ปีแรกเลย แต่งอะไรก็ดูโง่ไปหมด ดูเล่าเรื่องไม่เป็น ดูไม่มีชั้นเชิง ใช้คำที่ซ้ำกับคนอื่นไปหมด ช่วงแรกคือยากมาก ผมจะถอดใจหลายรอบเลยกับการแต่งเพลงแรก ๆ ผมว่าอันนี้คือจุดปราบเซียนของนักแต่งเพลงเลย คือไม่สามารถก้าวผ่านช่วงแรกไปได้ จากที่คุยกับนักแต่งเพลงหลาย ๆ คนช่วงแรกของเขาก็ประมาณนี้กันหมดเลย เหมือนมันยังหาตัวตนของเราไม่เจอ แต่พอเราจับได้ผมว่ามันจะไปต่อได้

ULM: แล้วทีนี้มาจับเคล็ดได้ตอนไหน เพลงไหนที่เป็นเพลงแบบเจอจุดลงตัวละ

ตูน : ผมว่าน่าจะเป็นเพลงฝนตกไหม เพราะว่าก่อนหน้านั้นเราก็แต่งมาหลายเพลง ผ่านตา / ตอนไม่ได้เจอ / ไปเถอะเธอ / ทีมรอเธอ ผมก็ชอบเพลงที่ตัวเองแต่งแล้วนะ แต่ว่าเหมือนมันยังไม่มีเครื่องพิสูจน์ ว่าเพลงนี้มันเฟี้ยวจริง พอมีฝนตกไหมออกมามันเป็นเหมือนสิ่งยืนยันว่าเราทำสิ่งนี้ได้โอเคจากเสียงตอบรับของคนอื่น มันก็เลยเกิดเป็นความมั่นใจขึ้นมา จนเรารู้สึกว่าเนี่ยแหละคือสไตล์เรา แต่ผมรู้สึกว่าก่อนหน้าฝนตกไหมมันก็เป็นสไตล์นี้มาสักพักละ ฝนตกไหมเป็นเครื่องยืนยันว่าที่เราทำมาก่อนหน้ามันถูกต้อง คือเพลงที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเราเจอสไตล์ของตัวเอง

ULM: ตอนที่เจอจุดลงตัวแล้วความยากในการเขียนเพลงของช่วงเวลานั้นคืออะไร

ตูน : หลังจากที่เจอลายเซ็นต์แล้ว ความยากก็คือกดดัน ทุกคนก็จะคาดหวังใช่มะ ช่วยทำเพลงดังอีกได้มั้ย หรืออาจจะไม่ได้หวังแค่ดัง อย่างแฟนเขาก็จะบอกว่าอยากฟังเพลงแบบฝนตกไหมอีก ขอเพลงรักแบบข้างกัน เพิ่มอีกได้มั้ย มันก็จะมีความกดดันจากหลาย ๆ อย่าง มันไม่ได้กดดันขนาดนั้นนะ แต่ว่าเราก็รู้สึกกดดันอยู่ดีอะ หลัง ๆ ก็พยายามจะลืมมันไป เรากลับมาอยู่กับตัวเอง กลับมาอยู่ในสถานการณ์ที่เราทำสิ่งนั้นได้ คือตอนนั้นเราไม่ได้ทำเพื่อเซิร์ฟใคร เราแต่งเพลงฝนตกไหมเพื่อเซิร์ฟตัวเองกับวง ทำกันเพราะความชอบจริง ๆ เพราะงั้นเราไม่ควรทำเพลงบนความกดดันจากคนอื่น

ULM: ตูนกำลังจะบอกว่าเพลงของ Three Man Down จุดประสงค์คือการเขียนเพื่อตัวเอง ต้องการ Express ตัวเองออกมามากกว่าความดัง

ตูน : ใช่ พูดแบบนั้นได้เลยครับ อันนี้คือมันเป็นหลักฐานที่ชัดเจนมาก เพราะว่าก่อนหน้านั้นเราพยายามจะทำหลาย ๆ เพลงเพื่อไปเซิร์ฟคนฟัง ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้นวงปล่อยเพลงแรก ผ่านตา มันก็แบบไม่ได้ยอดวิวเยอะมาก เราเลยรู้สึกว่าเพลงหลังจากนั้นต้องพยายามทำเพลงให้มันแมส ทำให้มันดัง จนออกมาเป็นเพลง ทีมรอเธอ กับ ไปเถอะเธอ

ULM : อันนี้คือยุคที่ Three Man Down เข้าไปอยู่ Gene Lab แล้ว

ตูน : ใช่ คือเป็นช่วง 2 เพลงก่อนหน้าฝนตกไหม ซึ่ง 2 เพลงนี้เราลองทำดู สุดท้ายแม่งแย่กว่าเดิม แย่กว่าผ่านตาอีกอะ … ตอนนั้นมันเป็นช่วงสิ้นปีครับ ในมุมของค่ายเพลงช่วงสิ้นปีมันจะเป็นการปล่อยเพลงแบบที่ไม่ต้องคาดหวังมาก เพราะว่าสิ้นปีมันเหมือนเป็นแบบเพลงปิดท้าย ถ้ามันดังก็อาจจะไม่ข้ามปี เราก็เลยเลือกที่จะปล่อยเพลงที่แบบเซิร์ฟตัวเองก็คือเพลงฝนตกไหม ที่เราทำกันตอนนั้นคือไม่ได้คิดว่ามันจะดังเลยนะ เราทำเพื่ออยากมีเพลงแบบแปลก ๆ สักหนึ่งเพลง ในมุมเราฝนตกไหมมันคือเพลงที่แบบมันไม่น่าจะประสบความสำเร็จ เป็นเพลงแบบ Ambient กลอง Lo-fi ในมุมของผมคือไม่น่าจะดังได้ เราไม่ได้สนใจเลย เราแค่อยากจะมีเพลงฝนตกสักหนึ่งเพลง แล้วพอมัน success ก็โอเครู้ละ กูต้องทำสิ่งที่กูชอบนี่หว่า

ULM: นั่นคือการทำเพลง/แต่งเพลงในสิ่งที่ Three Man Down ชอบ 100%

ตูน : 100% แบบจริง ๆ เพราะก่อนหน้ามันมีตัวพรูฟว่าไม่ใช่เพลงแบบ Three Man Down ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ว่าฝนตกไหมเราจะทำแบบเต็มร้อยไปเลย พอทำปุ๊บมันก็สำเร็จพอดี

ULM: เมื่อกี้ตูนบอกว่าดนตรีของฝนตกไหมมีความแปลกมาก แล้วพาร์ทของเนื้อเพลงล่ะ เป็นตูนมากกว่าเพลงก่อน ๆ ด้วยมั้ย ถือว่าแปลกกว่าเพลงที่ผ่านมาที่ทำเซิร์ฟความแมสด้วยรึเปล่า

ตูน : ผมว่าไม่ได้แปลกขนาดนั้น ทุกอย่างที่แต่งออกมาจากตัวผมมันก็เป็นตัวผมแหละ แต่วัตถุประสงค์มันต่างกัน หมายถึงสารตั้งต้นตอนที่เราเริ่มเขียนเพลง mind set มันไม่เหมือนกัน มันก็เลยออกมาไม่เหมือนกัน เช่นเพลงไปเถอะเธอ ผมก็แต่งแบบที่ผมชอบนั่นแหละ แต่ว่าตอนที่เขียนผมคิดอยากให้มันแมส เราพยายามจะทำให้มันแมส ฝนตกไหมคือการที่เราแต่งเพื่อเซิร์ฟตัวเองแบบจริง ๆ

ULM: Mind Set ตั้งต้นตอนเขียนเพลงมีผลกับเพลงด้วย ?

ตูน : มีผลครับ แบบมาก ๆ เลย ผมให้ 50% เลยนะ

ULM : ถ้างั้นสมมุติว่าเอาเพลงผ่านตากับฝนตกไหมมาเปิดเทียบกัน ก็จะมีความไม่เหมือนกันเลย

ตูน : ใช่ครับ ผมรู้สึกว่ามันต่างกัน เป็นจุดนึงที่ผมพยายามจะบอกกับน้อง ๆ หลายคนที่พยายามจะแต่งเพลงหรือคนที่ผมทำงานด้วย ถ้าเราไปตั้ง mind set ว่าเราจะทำแต่เพลงดัง หรือตามคนอื่นมันจะออกมาไม่เป็นตัวเรา ทำเพลงให้เป็นตัวเราให้มากที่สุดก่อนแล้วค่อยไปคิดว่าจะขายยังไง ไม่ใช่คิดว่าจะเอาเพลงไปขายก่อนตั้งแต่แรก ทำเพลงให้ดีก่อน ผมว่ามันจะออกมาดีกว่า ด้วยยุคนี้ที่เพลงมันจะต้องมีคาแรคเตอร์ของมันด้วย แข่งกันเป็นตัวเอง มันไม่เหมือนยุคก่อนที่แข่งกันเป็นเพลงที่แมส แล้วมันจะอยู่ยาวกว่าด้วย

ULM : ถ้าให้ตูนนิยามการเป็นคนเขียนเพลงของตัวเอง เราจะเป็นคนเขียนเพลงประเภทไหน อะไรคือเพลงแบบ ‘ตูน-Three man down’ 

ตูน : ก็น่าจะเป็นคนแต่งเพลงที่ชอบแต่งจากจินตนาการ แล้วก็ชอบแต่งเพลงที่มันแปลกนิดนึง หมายถึงว่า .. ผมก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง ผมว่าสิ่งนี้มันต้องให้คนอื่นมานิยามมั้ย 555 เออแต่ว่าจากที่หลาย ๆ คนบอกก็คือผมชอบโกงเมโลดี้ ชอบใช้คำแปลก ๆ อย่างพี่โอม (โอม-Cocktail) จะบอกว่าผมมีภาษาที่แปลก

ULM : กำลังจะถามเรื่องนี้พอดีเลย เพลงของ Three Man Down มีการเลือกใช้คำที่ปกติแล้วจะไม่ค่อยได้ยินบ่อย ๆ อย่าง “แฟนเก่า” / “แม่ง” / “โคตร” / ไอเดียตรงนี้คืออะไร

ตูน : คือเวลาแต่งเพลงผมชอบอิมโพรไวส์ครับ ผมจะทำดนตรีขึ้นมาก่อนคร่าว ๆ แล้วผมจะนั่งอิมโพรไวส์เลย ผมจะไม่มีการแบบแต่งเมโลดี้ก่อนหรือว่าแต่งเนื้อร้องก่อน ผมจะนั่งฮัมไปเรื่อย ๆ ว่าดนตรีนี้มันควรจะร้องว่าอะไร แล้วผมก็จะเจอคำอย่าง “ชั้นแม่งโคตรจะซวย” (เนื้อเพลง ‘เมา’ จากอัลบั้ม 28) ผมก็เริ่มจากตรงนั้น แค่นั้นเลยครับ คือผมไม่ได้คิดว่าทำไมมันถึงต้องมีคำอย่าง ‘แม่ง’ หรือมีคำว่า ‘ซวย’ มีคำว่า ‘แฟนเก่า’ ผมไหลอะ มันนามธรรมสุด ๆ จะพูดว่าแรนด้อมก็ได้นะ พอเจอคำไหนที่มันโดนมันจะโดนเลย เหมือนคำว่าแฟนเก่าก็มั่วขึ้นมาแล้วมันโดน ผมก็เริ่มจากตรงนั้น ผมว่าเป็นทริคที่ดีนะเพราะว่ามันจะรู้สึกได้เลย ไอกิตมันจะบอกว่า ‘ต่อมทำงาน’ สมมุติว่าถ้ามันมีเพลงไหนที่มีคำที่ทำงาน ขนเราจะลุกเป็นเหมือนแบบ Spider Sense มันจะมีหลายเพลงที่ผมกับไอกิตขนลุกเหมือนกัน เราก็จะบอก “เพลงนี้แหละแม่งใช่” ซึ่งส่วนใหญ่มันก็ตรงกัน แต่บางอันก็มีไม่ตรงบ้าง 555

ULM: เวลาที่เจอคีย์เวิร์ดคำนึงขึ้นมาแล้ว สตอรี่ของเพลงก็จะมาจากคำนั้นด้วยรึเปล่า

ตูน : ใช่ ๆ มันเริ่มง่าย ๆ แค่นั้นเลย อย่างเช่นเพลงข้างกัน มันเริ่มแค่จากคำว่า ‘เมือง’ เลย ผมอยากแต่งเพลงที่มีคำว่าเมือง “ชั้นเคยเป็นอีกคนในเมืองแห่งความเหงาใจ” ผมมีคำว่าเมืองแห่งความเหงาใจอยู่ ผมก็เริ่มจากตรงนั้น แค่นั้นเลยครับ เออผมได้นิยามตัวเองละ ! เป็นคนที่แต่งเพลงแบบมั่ว ๆ ละก็ต่อยอด คือผมรู้สึกว่าในหนึ่งเพลงมันจะมีหนึ่งคำที่มันว้าว มันจะมีคำแปลก ๆ อยู่ในเพลง ๆ นั้น เพลงต่างประเทศก็เยอะแยะครับ sunflower หรือ imagine มันจะมีคำหลักของเพลงนั้น

เปรียบง่าย ๆ เลย มันเหมือนถ้าเราเล่นเกมแล้วเราฟาร์มของ จนมันมีสิ่งหนึ่งที่ดรอปมาแล้วเรารู้สึกพิเศษ เราจะรู้สึกได้ มันจะเหมือนมีขอบทอง 555 เหมือนแบบว่ามันเป็นคำวิเศษในคำนั้น ๆ มันจะเกิดแบบความสเปเชียลอะไรบางอย่างกับเพลงนั้นทันที ถ้าเพลงฝนตกไหมไม่มีคำว่า ‘ฝน’ เพลงนั้นก็คือเป็นเพลงที่ไม่มีความสเปเชียลอยู่ในนั้น ฝันถึงแฟนเก่าถ้าไม่มีคำว่า ‘แฟนเก่า’ ก็จะไม่สเปเชียล เราต้องหาคำนั้นให้เจอ เพลงนึงมันต้องมีแรร์ไอเทมอยู่ในเพลง ๆ นั้นหนึ่งคำ แล้วเพลงมันจะว้าวขึ้นมา แต่เราต้องเอาไปต่อยอดให้ถูกด้วยนะ

ULM: การต่อยอดให้ถูกต้องในวิธีการของตูนคือยังไง ฝันถึงแฟนเก่า ได้ ‘แฟนเก่า’ มาละ ไปแต่งเป็นสตอรี่บอร์ดต่อยังไง

ตูน : ผมก็มั่วอีกอะ 555 ผมจะฮัมไปเรื่อย ๆ ผมจะเป็นคนที่แต่งเพลงเป็นประโยคต่อประโยค ถ้าประโยคแรกโดน เราไปหาประโยคที่สองต่อ หาไปเรื่อย ๆๆๆ คือผมจะไม่ฟิกเลย อย่าง “ในกลางดึกคืนนึง ชั้นฝันถึงเธอ” (เนื้อเพลง ‘ฝันถึงแฟนเก่า’ อัลบั้ม 28) ก็อาจจะเคยเป็นคำแบบอื่นมาก่อน อาจจะเป็น “ทำไมชั้นยังลืมเธอไม่ได้” หรือ “ชั้นอยากจะตื่นได้แล้ว” ถ้ามันไม่เวิร์ค ก็จะหาไปเรื่อย ๆ บรรทัดที่หนึ่งได้แล้ว หาบรรทัดที่สองต่อ ต่อกันไปเรื่อย ๆ ครับจะพยามไม่ข้ามไปข้ามมา

ULM: ก็คือแต่งเพลงจาก 1 – 10 ไล่ไปจนจบ

ตูน : ใช่ ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีแต่ง Hook ก่อน Verse ส่วนใหญ่ผมจะเริ่มจากท่อน Verse ด้วย นี่วันก่อนเพิ่งคุยกับพี่ มอร์วสุ เขาถามว่าผมแต่งเพลงยังไงทำไมมันดูเป็นเรื่องจริงมากเลย ผมก็บอกเขาว่า “ผมแต่งจากจินตนาการเลย” เขาถามกลับว่าผมทำยังไง ผมก็เล่าให้ฟังว่าไล่คำไปเรื่อย ๆ ค่อย ๆ ปะติดปะต่อ เขาก็ถามต่ออีกว่าส่วนใหญ่แต่งจาก Hook ก่อนรึป่าว เพราะ Hook มันดูฮิตมาก แต่ว่าจริง ๆ แล้วผมแต่งเพลงจาก Verse ก่อนเป็นส่วนใหญ่ เพราะผมรู้สึกว่าเราต้องเซ็ทอัพ ‘โลก’ ขึ้นมาก่อน ถ้าเราเซ็ทอัพโลกในท่อน Verse ได้ดี ท่อน Hook เราจะพูดอะไรก็ได้ 

อย่างเพลงฝันถึงแฟนเก่าอะ มันเซ็ทอัพมาตั้งแต่ Verse แล้ว เราไม่ได้เอาคำว่าฝันถึงแฟนเก่าไปเป็น Hook อะครับ จริง ๆ ท่อน Hook ของเพลงนี้มันไม่ได้ว้าวถึงขนาดนั้น มันแค่พูดความรู้สึกอะไรบางอย่างเฉย ๆ และไม่มีคำวิเศษเลย แต่ว่าคำที่ว้าวมันอยู่ตรง Verse เพราะว่าฝันถึงแฟนเก่ามันก็พูดแค่แบบว่า “สงสัยถ้าวันนั้นฉันไม่ทำเธอเสียใจเราจะคบกันมั้ย” แล้วก็ความเซ็ทอัพโลกในท่อน Verse เลยทำให้เพลงมันพิเศษ

ULM: ที่ชวนกันคุยวันนี้เพราะเราสนใจ Process การทำเพลงของตูนมาก ๆ อยากรู้ว่าทำดนตรีขึ้นมาก่อนเขียนเนื้อร้องทุกครั้งเลยรึเปล่า

ตูน : ไม่เสมอไปครับ ผมจะให้หน้ำหนักเป็นการทำเพลงแบบที่ขึ้นดนตรีก่อนประมาณ 70% แบบเขียนเนื้อร้องก่อน 30% อย่างเพลงฝันถึงแฟนเก่าก็เป็นเนื้อร้องก่อน แต่ว่าฝนตกไหมก็เป็นดนตรีก่อน คละ ๆ กันไป แบบที่เริ่มด้วยเนื้อร้องก่อนผมจะชอบคิดได้ตอนกำลังขับรถ ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน ขับ ๆ รถอยู่คิดได้ ผมก็จะอัดใส่มือถือ ร้องทุเรศ ๆ แบบที่ผมชอบเปิดตอนไลฟ์ให้คนดูเห็นเดโม่แรกอะ มีเต็มเลยในมือถือ ที่ทุเรศสุดเลยน่าจะเป็นเพลงฝนตกไหม ถ้าเธอรักฉันจริง มันจะแบบทุเรศมากอะ แบบอยู่ข้างนอก เสียงรถดัง ๆ เดโม่มันเยอะมากเลยดูดิ เป็นร้อย ก็จะแบบเดิน ๆ อยู่ละเป็นเสียงขลุกขลัก ๆ ก็อัดไว้ก่อน บางทีเราอยู่กับคนอื่นเราต้องร้องเงียบ ๆ คือมันคิดออกมันต้องอัดไว้จริง ๆ ไม่งั้นลืม ส่วนใหญ่อัดใส้โทรศัพท์เอาเลยครับ แล้วมันจะได้ทั้งส่วน ทั้งเมโลดี้ ทั้งเนื้อร้องพร้อมกัน

ULM : ถามต่อ ๆ ปกติตูนใช้เครื่องดนตรีอะไรในการขึ้นเดโม่ต่อ  

ตูน : ส่วนใหญ่จะเล่นคีย์บอร์ด ไม่รู้ทำไมผมแทบไม่เคยแต่งเพลงได้จากกีตาร์เลย ทั้ง ๆ ที่เล่นกีตาร์ แปลกมาก ผมลองพิสูจน์แล้วว่าถ้าจับกีตาร์ปุ๊บผมคิดอะไรไม่ออก ที่ทำให้ผมคิดเพลงได้ก็จะมีบีทกับคีย์บอร์ด 

ULM : ผมอยากถามต่อถึง Process ทั้ง 2 แบบให้ละเอียดขึ้นอีกนิด เพลงที่แต่งจากการขึ้นเนื้อร้องทำนองมาก่อน มันมีส่วนช่วยซัพพอร์ตในการทำดนตรียังไงบ้าง

ตูน : ผมว่ามันจะไม่จำกัดคีย์ ไม่จำกัดกรูฟ มันจะแบบเปิดกว้างมาก แต่ว่าข้อเสียคือถ้าเราไม่ได้มีกรูฟในหัวเยอะ หรือว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนแพทเทิร์นของมันได้เยอะในหัว เราจะแต่งวนซ้ำ ๆ อยู่ในสิ่งเดิม ๆ มันเหมือนว่าไม่มีอะไรมาช่วยเรา

ULM: เรื่องที่เล่ามันก็จะไม่เดินไปไหนด้วยมั้ย

ตูน : ผมว่าก็เกี่ยว อย่างเช่นเราแต่ง Verse มาแล้ว แต่มาคิดไม่ออกตอนท่อน Hook โน้ตมันก็จะไม่มูฟไปไหน แต่ผมว่าข้อดีของมันก็คือทำให้อิสระมาก ๆ บางทีถ้าเราทำดนตรีก่อนมันอาจจะฟิกเกินไป แล้วอาจจะคิดไม่ออกเหมือนกัน 

ULM : แล้วในฝั่งที่ทำดนตรีมาก่อนเนื้อร้องทำนองล่ะ

ตูน : จริง ๆ ผมชอบฝั่งนี้มากกว่า เรียกว่าถ้าทำดนตรีก่อนเราสามารถไป feat กับใครก็ได้ ยุคนี้มันเป็นยุคของ sample เราดึง sample อะไรมาก็ได้ ผมสามารถดึงบีท Hip Hop มาลงใส่กับกีต้าร์โปร่ง แบบในเพลงถ้าเธอรักฉันจริง นี่ความว้าวของมันเลย หรือเราจะดึง sample ที่เป็นแนว Pop Punk เข้ามา แล้วเราก็แต่งเพลงแบบนั้นได้เลยมันเร็วมาก ทำให้ความคิดเราไปได้หลายแนว มันไม่จำกัดแบบแค่คิดเพลงจากการนั่งเล่นกีตาร์โปร่งกดคีย์บอร์ดคิดคอร์ดเอง เราสามารถต่อยอดจาก sample นั้น ๆ ที่ดึงมา มันเหมือนกับว่าเรามีโปรดิวเซอร์ทุกคนบนโลกมาช่วย ด้วยความที่แบบผมอาจจะไม่มีความรู้ทางด้านดนตรีเยอะขนาดนั้น ยกตัวอย่างผมอาจจะเล่นกลองไม่เก่ง แต่ว่ามันมีมือกลองในเว็บไซต์ช่วยเราอยู่ ทำเราให้คิดออกหลาย ๆ อย่าง 

ULM : แล้วมันมีข้อเสียมั้ยสำหรับวิธีนี้

ตูน : ถ้าเราไม่เจอดนตรีที่ใช่เราก็จะคิดไม่ออก ก็ต้องเสียเวลานั่งหากัน เหมือนการฟาร์มไอเทมแหละ เราก็หา เพลงนี้ไม่เวิร์คว่ะ แต่งแล้วเมโลดี้มันไม่ไหลเลย ลบทิ้ง หาใหม่ อันนี้ก็คือข้อเสียเหมือนกัน ถ้าเราไม่เจอดนตรีที่ใช่สักทีมันก็เสียเวลา 

อย่างที่บอกว่าเนื้อเพลงของท่อน Verse มันคือการสร้างโลกใช่มะ แต่ว่าดนตรีมันคือการปูสี สมมุติดนตรีนี้มันทำให้เรารู้สึกว่าเรากำลังอยู่ในห้องมืด ๆ มันก็เหมือนดนตรีวาร์ปเราไปอยู่ตรงนั้น แล้วเราค่อยสร้างโลกขึ้นมาจากท่อน Verse ดนตรีที่ใช่มันก็จะทำให้เราไปอยู่ตรงนั้นแล้วคิดอะไรบางอย่างออก

เหมือนตอนเด็ก ๆ เราฟังเพลงต่างประเทศแล้วพ่อแม่หรือเพื่อน ๆ จะถามว่า “ฟังออกหรอ” ผมก็บอก “ฟังไม่ออกหรอก” 555 แต่มันรู้สึก การที่เราเป็นคนไทยเราไม่ได้ฟังเพลงเนื้อร้องภาษาอังกฤษออกแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ขนาดนั้น จนถึงทุกวันนี้ผมก็ยังฟังไม่ออกร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ว่าเวลาฟังมันรู้สึกได้ แสดงว่าดนตรีมันทำอะไรบางอย่างกับสมองเรา แล้วเราก็รู้สึกไปในเพลงนั้นด้วย ผมว่าดนตรีมีผลเยอะกับการที่จะทำให้เราแต่งเพลงได้

ULM: ปกติตูนไฟนอลเนื้อเพลงจบคนเดียวเลยมั้ย หรือมีส่งให้เพื่อนเกลาต่อหรือปรับคำเพิ่มรึเปล่า

ตูน : ไฟนอลเองคนเดียวเลยครับ แต่ว่าให้เพื่อนช่วยกันดู วิธีการทำเพลงของ Three Man Down คือการทำแบบ 200 เพลง แล้วก็ส่งเข้าประกวด วงจะคัดกัน แต่จะไม่มีการแก้เนื้อร้อง ส่วนใหญ่จะแก้ดนตรี ผมรู้สึกว่าถ้าแต่งออกมาละไม่ใช่ก็โละทิ้ง ไม่ค่อยแก้ ไม่ค่อยต่อยอดเท่าไหร่ แต่ละคนก็วิธีการจะไม่เหมือนกันเนาะ อย่าง Tilly Bird วงเพื่อนเราที่แบบเป็นขั้วตรงข้ามกันสุด ๆ Tilly Bird เพลงนึงแม่งมีแบบ 10 ดราฟท์อะ แก้ไปเรื่อย ๆ แต่ของ Three Man Down เพลงไหนไม่ใช่ผมก็เลือกที่จะทิ้งไป เนื้อร้องกับทำนองส่วนใหญ่จึงจะมีแค่ดราฟท์เดียว มีเอามาแก้แค่นิดหน่อย ปรับเมโลดี้ให้กิตร้องเข้าปาก จริง ๆ ผมว่ามันทำได้หมดทุก มันไม่มีวิธีที่ถูกต้อง อยู่ที่ว่าคุณจะเจอวิธีที่เหมาะกับคุณรึเปล่าแค่นั้นเลย

ULM : ละทีนี้จะรู้ได้ไงว่ามันเป็นเนื้อเพลงที่ใช่ มันต้องรู้สึกยังไง

ตูน : ต่อมจะทำงาน 555 เออมันบอกไม่ถูกอีกแล้ว อย่างที่บอกพอมันมีมาตรวัดว่าเพลงประมาณนี้เราทำแล้วคนชอบ แล้วเราก็จะพอเดาของตัวเองได้ ใช้ความรู้สึกเลยครับ แต่ว่าก็มีเพื่อนช่วยกันโหวตด้วยนี่แหละ

ULM: สำหรับ Three Man Down คอมเมนต์ของเพื่อนในวงเวลาบอกว่าเจอเพลงที่ใช่แล้วจะเป็นแบบไหน 

ตูน : ก็จะประมาณว่า “ดีสัส” ส่งเข้าไปในกลุ่มแล้วแบบ “เชี่ย ดีจัดเลยว่ะ” มันจะไฮป์ขึ้นมา ไอกิตก็จะบอกประมาณว่า “กูเห็นภาพ MV แล้วว่ะ” มันจะมีเพลงนึงของอัลบั้ม 28 ที่ชอบแต่ว่ามันไม่ได้แมสมากก็คือเพลงเมา จริง ๆ มันเป็นเพลงแรกเลยที่ส่งไปแล้วไอเตกับไอกิตโทรมาพร้อมกันแล้วบอกว่า “เชี่ย! เพลงนี้แหละ อัลบั้มสอง” เมาคือเพลงที่เราทำเสร็จกันแรก ๆ แต่เอาไว้หลัง ๆ เพราะว่าคนไม่ค่อยเก็ตเท่าไหร่ แต่มันคือเพลงที่จุดประกายความเป็นอัลบั้มสองเลย โครงสร้างของเพลงมีความอินเตอร์ มันจะเหมือนเพลง Hip-Hop มีแร็พนิดนึงสไตล์แบบต่างชาติ เรารู้สึกว่ามันน่าสนใจ

ULM: เออแต่เพลงนี้ผมฟังละแบบใส่ genre ให้ไม่ถูกเลย

ตูน : ใช่มะครับ

ULM : ไม่แน่ใจว่าจะเรียกว่าแนวดนตรีอะไรดี มันจะมีความเป็น Hip Hop แต่มันก็ยังอยู่ในพื้นฐานของ Rock อยู่

ตูน : Pop-Rock ใช่ แต่ช่วงที่ทำอัลบั้มสองเราลองหาแนวใหม่ ๆ กัน เพราะว่า Three Man Down อัลบั้มแรก This City Won’t Be Lonely Anymore (2021) ทุกคนก็จะรู้ว่าเพลงเป็น Pop-Rock จนเพลงมาเจอเพลงเมาที่มันคือเพลงซึ่งทุกคนเห็นตรงกันว่า “เชี่ย ! ลุย แนวนี้แหละ” ก็เลยตั้งต้นจากตรงนั้น จนถัดมาก็จะมีปล่อยให้เวลา / น้อง / ไหนบอกเลิกแล้ว 

ULM: พอพูดถึงอัลบั้ม 28 มันชัดเจนมากว่าเพลงของ Three Man Down มีความแตกต่างจากชุดแรกเยอะ การเลือกใส่แนวดนตรีใหม่ ๆ อย่าง Hip Hop เข้ามาในเพลง มีการเลือกใช้บุคลากร Specialist ช่วยในการอัดเสียง จนดนตรีเปลี่ยนไปมากเหมือนกัน เหล่านี้มีผลต่อเนื้อร้องมากมั้ย ทั้งในด้านเนื้อหาและการใช้คำกับเมโลดี้

ตูน : มีผลมาก ๆ และผมชอบด้วยนะ คือผมรู้สึกว่ามันทำให้คิดอะไรใหม่ ๆ ออกได้เยอะ โคตรสะใจเลย เป็นอัลบั้มที่เป็นโลกใหม่เลยครับ เหมือนผมกลายเป็นอีกคนไปเลย จนแบบว่าหลังทำอัลบั้มเสร็จละผมต้องไปทำงานกับศิลปินคนอื่น นี่ต้องจูนตัวเองกลับมาอีกทีนึง แล้วก็ที่อัลบั้มนี้ต้องใช้คนเยอะ ๆ เป็นคำแนะนำของพี่โอม Cocktail ที่บอกว่าอยากให้อัลบั้มนี้ผมไปทำงานกับคนอื่นให้เยอะที่สุด เพื่อให้ผมซึมซับหลาย ๆ อย่างกลับมาเปิดโลกผมมากขึ้น อย่างที่บอก ผมไม่ได้เก่งเรื่องดนตรีขนาดนั้น การที่ได้ไปเจอคนอื่นแม่งแบบสนุกมาก

ULM: จาก 100% อัลบั้มนี้ตามใจตัวเองแค่ไหน

ตูน : ร้อยเปอร์เซ็นต์เลย 555 สองร้อยเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ

ULM : วิธีการเขียนเนื้อเพลงล่ะ ตูนยังคงอิมโพรไวส์เหมือนเดิมเลยมั้ย

ตูน : อัลบั้มนี้ไม่ได้เปลี่ยนอะไรครับ เปลี่ยนแค่ดนตรี วิธีการแต่งเพลงก็คว้าอากาศเหมือนเดิม

ULM : อันนี้อยากรู้ส่วนตัวจากสมการความเป็นเพลงของ Three Man Down ทั้งหมดที่คุยมา ตูน input อะไรเข้าไปในตัว เสพย์อะไรเพื่อใช้ในการเขียนเพลง มังงะ ภาพยนตร์ เกม

ตูน : ส่วนใหญ่จะเป็นหนังครับ ชอบดูหนัง / ซีรีส์ ส่วนใหญ่จะเป็นหนังเลยทำให้คิดออก

ULM: เป็นหนังแนวไหนแล้วเอามาใช้ยังไงบ้าง

ตูน : จริง ๆ อะไรก็ได้เลยครับ แต่ว่าต้องเป็นหนังที่ผมอิน ยกตัวอย่างเราดูหนังรัก เราก็จะกลับมารู้สึกแบบนึง หรือว่าบางทีเราไปดูหนังไซ-ไฟ เราก็จะได้ไอเดียอะไรบางอย่างมาที่แบบแม่งไม่เกี่ยวกันหรอก แต่มันรู้สึกบางอย่าง อย่างแบบเพลงเมาผมจำได้ว่าผมดู Tenet มา 555 เออไม่เกี่ยวอะไรเลย ผมรู้สึกประมาณว่าถ้าเราเอาเพลงเมาไปประกอบ Tenet ฉากที่ตัวละครมันวิ่ง ๆ อยู่ในโอเปร่า ฟีลแบบเร่ง ๆ ตัดเร็ว ๆ มันน่าจะดีนะ 

บางทีเราก็ฟังเพลงของคนอื่นแล้วอินสไปร์ของตัวเอง ก็คล้าย ๆ กันเลย มันไม่เกี่ยวข้องกัน เขาพูดถึงเรื่องอะไรสักอย่าง แต่เรารู้สึกต่อไปเป็นอีกเรื่อง อย่างบางทีผมฟังเพลงญี่ปุ่นที่ฟังไม่ออกว่าร้องว่าอะไร ก็รู้สึกอะไรบางอย่างเหมือนกัน หลัง ๆ ก็มีเอาแผ่นไวนิลมาเปิดฟัง เพราะตอนที่แผ่นหมุนมันให้ความรู้สึกอะไรบางอย่าง 555 เรื่องนี้ผมแบบโดนเพื่อนบูลลี่เลย มึงจะฟังไวนิลทำไม มึงมีลำโพง Genelec ผมก็บอก “ตอนแผ่นมันหมุนกูรู้สึกอะไรบางอย่างว่ะ 555” มันไม่ตายตัวและอะไรก็ได้จริง ๆ ครับ

ULM : แล้วเล่นเกมหรือดูการ์ตูนล่ะ

ตูน : เกมกับการ์ตูนเป็นอะไรที่ไม่เกี่ยวกับการคิดเพลง เหมือนเป็นอีกโลก เกมก็คือการไปเล่นเกม ก็ส่งผลนะ คือเล่นเกมก็ไม่ได้ทำเพลงไง 555 สำหรับผมนะเกมมันไม่รีเลทกับชีวิตจริง มันมีความเป็นการ์ตูน แต่หนังคือมันก็ยังมีความเป็นคนอยู่ในนั้น

ULM: วันที่เหมาะกับการทำงานของตูนต้องมีหน้าตาเป็นแบบไหน จะต้องเซ็ต mood มาก่อนมั้ย หรือต้องมีอะไรอยู่ในห้องบ้าง 

ตูน : ต้องเป็นวันที่ว่าง ๆ อยู่บ้าน ไม่มีภาระอะไรมาก เป็นวันที่หัวสมองโล่ง ต้องไม่เร่ง เป็นวันที่เราได้เปิดใจกับอะไรก็ได้ เป็นวันที่ได้สำรวจสิ่งต่าง ๆ ในสมอง คิดว่าเป็นวันประมาณนั้นครับ ผมรู้สึกว่าวันที่จะทำงานได้คือวันที่ต้องมีเวลาอย่างน้อยประมาณ 4 ชั่วโมงที่ว่าง ซึ่งก็น้อยมาก 555 เป็นฟรีไทม์ 4 ชั่วโมง ที่แบบว่าผมต้องทำภารกิจเสร็จด้วยนะ พานีโม่ไปเดินแล้ว กินข้าวอะไรเรียบร้อย ก็จะเข้ามา waste time ในนี้ วันที่ทำดนตรีต้องเป็นวันแบบนั้น ต้องมีเวลาเยอะ ๆ

ULM: แล้ววันที่เขียนเพลงจดจ่อกับพาร์ทเนื้อร้องล่ะ ต้องมีหน้าตาแบบเดียวกันด้วยมั้ย

ตูน : วันที่เขียนเพลงก็ .. อย่างที่ผมบอกว่าบางทีผมเดิน ๆ อยู่ก็คิดออก หรือบางทีอยู่บนเครื่องบินก็คิดออก แต่ว่าวันที่จะเขียนเพลงได้สำหรับผมคือต้องไม่เครียดนะ ไม่กดดัน ปล่อยใจไหล ๆ ฟังเพลงนู้นเพลงนี้หรือดูหนังเสร็จก็ลองเขียนสักหน่อย จะไม่มานั่งกดดันตัวเอง นั่งแต่งแม่งทั้งวันแบบนั้น 

ก็อาจจะแบบเปิดมาด้วยการเข้าห้องมา วางบีทเข้าไปหนึ่งที ถ้าเขียนแล้วไม่เวิร์คก็ไปทำดนตรีก่อน คือผมจะมีเพลงเยอะไง สมมุติว่าเพลงนี้เนื้อร้องทำนองมันได้ก็จะเก็บไว้ เดี๋ยวอีกวันเรามาแต่งใหม่ แต่งไม่ได้เราก็ย้อนไปทำเพลงที่แต่งไว้ก่อนหน้า แต่งเสร็จจนเป็นเดโม่โง่ ๆ ก็โยนเข้าไปในวง เพื่อนชอบก็ติ๊กไว้ ละเดี๋ยวค่อยกลับมาทำ เป็นคนดองเพลงนิดนึง 555

บางทีส่งไปให้ค่ายยังเป็นเวอร์ชั่นเดโม่ พี่โอมก็จะบ่น “มึงไม่ทำมาให้เต็มเพลง แม่งมาแค่แบบจบฮุคแรกจบแล้ว กูกำลังอินเลย” แต่แค่นั้นมันพอไงสำหรับผมอะ แรก ๆ ผมจะคิดแบบนี้ เพราะผมมีภาพในหัวเป็นของตัวเองแล้ว แต่ว่าส่งให้คนอื่นเค้ายังไม่เก็ทไง อัลบั้มสองก็เลยพยบายามแก้จุดนั้นพยายามทำเดโม่ให้มันเสร็จมากที่สุด

ULM: พูดถึงพาร์ทเนื้อร้องต่อหน่อย วันที่แต่งแล้วตัน มีวิธีการแก้ยังไงบ้าง

ตูน : อย่างที่บอกว่าจะต้องไม่เค้นมัน วิธีการรีสตาร์ทของผมคือไม่จมกับเพลงเดิม ถ้าเป็นเพลงตัวเองนะ ไม่เวิร์คก็ทิ้งแม่งไปเลย แต่เซฟไว้ละ เพราะว่าอะไรที่มันไม่เหมาะกับเรามันก็คือไม่เหมาะ เราก็ไปเริ่มใหม่กับสิ่งที่ใช่ดีกว่า เลยทำให้ผมแต่งเพลงได้เยอะเพราะว่าไม่ค่อยจมอยู่กับเพลงเดิม ๆ แต่มันก็จะมีแบบข้ามไปก่อนในวันข้างหน้าอาจจะเวิร์ค ซึ่งมันก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เพลงปล่อยให้เวลาเป็นเพลงที่แต่งไว้ตั้งแต่อัลบั้มแรก แต่ว่ามันไม่ฟิตกับอัลบั้มแรกก็ดองเอาไว้ จนมันมีเพลงเมาก็เลยเอามาใส่ในอัลบั้มสอง

ULM: ตอนไม่เวิร์คเป็นเพราะอะไร ละเอากลับมาแก้อะไรใหม่มั้ยตอนที่จะเอามาใช้อีกครั้ง

ตูน : ไม่ได้แก้เลยครับ ผมจำได้ด้วยว่าตอนที่ส่งปล่อยให้เวลาไป เพื่อน ๆ บอกว่าไม่ชอบท่อน Verse คอร์ดมันแปลก แล้วมีความเป็นไมเนอร์สูง (มืดหม่น) เพราะอัลบั้มแรกของ Three Man Down มันจะมีความเมเจอร์สดใสเยอะ ฟังง่าย ๆ ลื่นหู เราก็ดองเพลงนี้เอาไว้แล้วก็เอามาใช้อัลบั้มสอง จริง ๆ มีอีกหลายเพลงมาก ๆ ที่มันไม่เข้าทั้งอัลบั้มหนึ่งและอัลบั้มสอง มันอาจจะไปโผล่อัลบั้มสามก็ได้ ผมว่าอันนี้คือสไตล์ผม ผมเริ่มเจอนิยามของคำถามการเป็นนักแต่งเพลงอีกละ ! 555 เป็นนักแต่งเพลงสายฟาร์ม เน้นฟาร์ม ไม่เน้นอัพสกิล

ไอกิตบอกว่านิสัยอันนี้ของผมมันคือนิสัยจริง ๆ ที่ไม่ใช่กับแค่เรื่องแต่งเพลงแต่มันคือชีวิตผมเลย คือผมเคยเล่นเกมส์ชื่อว่า Infestation: Survivor Stories (WARZ) มันคือเกม survival ยุคแรก ๆ ซึ่งผมเล่นเกมนั้น 1 ปี ทั้งวันทั้งคืนไม่ลุกไปไหน 555 แล้วก็มีเกมอย่าง Ragnarok กับ Maple Story นิสัยผมคือเป็นคนที่ทำอะไรเป็นรูทีนมาก ๆ ตื่น 8 โมงเพื่อมาฟาร์ม เข้านอนตอน 4 ทุ่ม ไม่ว่าเพื่อนจะเล่นเวลาไหนดึกถึงตี 4 ตี 5 แต่ทุกคนจะเจอผมเวลาเดิมคือ 8 โมงเช้า ผมแบบเป็นคนบ้า ทำอะไรก็ทำแม่งทั้งวันทั้งคืนแต่เป็นรูทีน

ULM: เพลงแรกที่เขียนให้ Three Man Down คือเพลงอะไร

ตูน : สุดทางมันเป็นมรดกตกทอดมา คือเพลงสุดทางที่ผมบอกว่าแต่งตอนอยู่ ม.5 มันมีโปรเจคของห้องอัดตอนฮอตเวฟ แต่ว่าผมกับเตแต่งกันสองคน ซึ่งตอนนั้นเราเลือกเพลงที่เตแต่ง ชื่อว่ารักจะอยู่กับเรา เพลงสุดทางก็ไม่ได้ถูกใช้ จนถึงมหาลัยปี 2 ตอน Three Man Down ทำเพลงเดโม่ ซึ่งเพลงแรกจริง ๆ ของวงชื่อเพลงว่ากอดเถอะคืนนี้ แต่ว่าเพลงนั้น ไบรท์ (Yerm / T047) น้องชายเตเป็นคนแต่ง ส่วนเพลงที่สองก็คือสุดทางเพลงผมที่เอาให้กิตร้องอัดเป็น Live session

ULM: อยากรู้ว่าเนื้อร้องที่มีความเป็นตูนกับเนื้อร้องที่มีความเป็น Three Man Down มันถูกแยกออกจากกันมั้ย หรือว่าก็คือสิ่ง ๆ เดียวกัน

ตูน : ผมว่าเกือบจะเป็นสิ่งเดียวกันนะ เนื้อร้องของผมกับเนื้อร้องที่เป็น Three Man Down แต่ไม่ได้เป็นสิ่งเดียวกันทั้งหมด ผมให้เป็นวง 70% ละกัน เพราะว่าเพลงส่วนใหญ่ก็มาจากผมมันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นตัวผม แต่ว่าบางเพลงมันก็ไม่ได้เป็นผม 100% ยกตัวอย่างเพลงของ Three Man Down ที่เป็นผมร้อยเปอร์เซ็นต์คือเพลง Time Zone เพราะว่าเป็นเพลงที่ผมแต่งและปล่อยเองก่อน

ULM: มันเป็นตูนยังไง

ตูน : ผมก็อธิบายไม่ถูก แต่ว่าผมชอบสไตล์นั้น มันจะมีความยืด ๆ เป็นเพลงที่เนือยมาก ๆ ช้า ๆ มันคล้าย ๆ เพลงเด็กเกินไป ซึ่ง Time Zone คือผมร้อยเปอร์เซ็นต์ในทุกอย่างเลยครับ ดนตรีก็ด้วยนะ เพลงนี้คือแทบไม่ได้แก้อะไรจากตอนเดโม่ มีให้เส็งใส่เสียงซินธ์เพิ่มเข้ามา เอาให้กิตร้อง เป็นเพลงที่ผมทำคนเดียวก่อน พอมันมีอัลบั้ม This City Won’t Be Lonely Anymore (2021) แล้วเวิร์คก็ดึงมาใส่ในอัลบั้ม

ULM: แล้วมันมีเพลงที่เป็น Three Man Down มากกว่าเป็นตูนบ้างมั้ย มันคือเพลงไหน

ตูน : ผมว่าอัลบั้ม 28 จะมีเพลงประมาณนี้เยอะ ที่ผมไม่ได้คิดแค่ว่าจะทำเพลงสำหรับตัวเอง เช่น เพลงคนใหม่ทุกคนจะมีส่วนร่วมเยอะมาก ๆ แทบจะทำกันที่ห้องอัดเลย ผมแค่ขึ้นเนื้อร้อง ทำนอง แต่ว่าดนตรีเอาไปลุยกันที่ห้องอัด แต่เนื้อร้องทำนองก็เป็นผมอยู่ดีว่ะ 555 ผมว่าตัวเองไม่ค่อยได้คิดด้วยซ้ำว่าอันไหนแต่งให้ Three Man Down ผมก็มองว่ามันก็ยังเป็นผมอยู่ แต่ว่าอัลบั้มสองก็จะมีเพลงวิธีไม่เสียใจที่กิตแต่งท่อน Hook แล้วผมเอาไปต่อยอด 

แต่ผมก็มองว่าอัลบั้ม 28 มันมีความผมแต่งให้ Three Man Down มากขึ้นแต่ว่าผมก็ไม่ได้คิดอยู่ดี ที่ผมบอกว่า mind set ตอนแต่งมันสำคัญ ก็คืออันนี้แหละ “ผมไม่ได้คิด” ผมก็น่าจะตอบไม่ได้ว่าเพลงไหนคือ Three Man Down มากกว่า ซึ่งผมก็ไม่กล้าตอบเต็มปากอยู่ดีว่าเพลง Three Man Down คือเพลงผม เพราะว่าสุดท้ายแล้วผมก็อยู่ Three Man Down คือคนอื่นก็ส่งผลต่อเนื้อเพลง ด้วยคาแรคเตอร์ ด้วยไลฟ์สไตล์ชีวิต ด้วยการที่เราไปเล่นคอนเสิร์ตด้วยกัน ผมรู้ว่าเพลงแบบนี้มันจะเหมาะกับกิต “แต่ผมไม่ได้คิด” ด้วยจิตใต้สำนึกผมรู้สึกแบบนั้น ดนตรีแบบนี้เตมันต้องตีมันส์แน่เลย ผมรู้สึกว่าซาวด์ดีไซน์ของเส็งแม่งต้องเฟี้ยวแน่เลย มันอยู่ในจิตใต้สำนึกตอนแต่ง

ULM: แสดงว่าความสัมพันธ์ของเพื่อนในวงส่งผลต่อเนื้อร้อง ทำนอง ดนตรี มาก ๆ เลย

ตูน : ใช่ครับ ถ้าเพลงที่ผมแต่งมันไม่ได้ถูกเล่นด้วย Three Man Down มันอาจจะไม่ได้ดังแบบทุกวันนี้ก็ได้ เพราะว่าองค์ประกอบมันเยอะครับ ผมว่าเพลงคือสารตั้งต้นที่ดี แต่ว่าการที่มันจะแมสหรือว่าการที่มันจะ success มันอยู่ที่คนอื่นด้วยเยอะมาก ๆ อยู่ที่เสียงร้อง อยู่ที่กลอง อยู่ที่ไลฟ์สไตล์ อยู่ที่หน้าตาของนักดนตรี อยู่ในตอนที่เราออกไปเล่น เยอะมาก ๆ ผมว่าเพลงเป็นแค่แบบ 40% ของทั้งหมด

ULM : จากวันที่เริ่มเขียนเพลงวันแรกจนมาถึงอัลบั้ม 28 ตูนแบบเติบโตไปยังไงบ้างในการเป็นคนเขียนเพลง

ตูน : โอ้ว เติบโตเยอะมากเลยครับ จากวันแรกที่เขียนเพลงคนเดียวละก็ทำงานคนเดียวแบบร้อยเปอร์เซ็นต์มาจนถึงวันนี้ที่ได้ทำงานกับคนเยอะมาก ได้ลองทำอะไรใหม่ ๆ ผมเติบโตขึ้นทั้ง mind set แล้วก็สกิลเลย ผมว่าแต่งคนเดียวมันก็ได้ผลที่ดีในแบบนึง แต่มันมีจุดตันอยู่ถ้าเราไม่ได้แบบมีสารตั้งต้นเยอะขนาดนั้น 

อย่างผมไม่ได้เป็นคนที่ศึกษาดนตรีเยอะถึงขนาดว่าจะทำได้แม่งทุกย่างในคนเดียว ผมก็ต้องพึ่งพาคนอื่น ที่ผ่านมาคนที่สอนผมได้ดีมาก ๆ เลยก็คือไมโล Tilly Bird ผมได้ทำงานกับไมโลอยู่พักนึง คือไมโลไม่ได้สอนอะไรผมตรง ๆ หรอก แต่ว่าผมได้สกิลจากตอนไปทำงานร่วมกัน คือไมโลจะเป็นคนที่ชอบคิดเมโลดี้แปลก ๆ ได้ ผมก็ได้ลองแต่งเพลงจากเมโลดี้ดู ซึ่งปกติไม่ค่อยได้ทำแบบนั้น หลังจากได้ทำงานกับไมโล ได้เจอเมโลดี้ที่มันดี คือเปิดโลกมาก ต้องขอบคุณไมโลเลย อัลบั้ม 28 ได้ไมโลช่วยไว้เยอะ ไม่ได้มาช่วยนะ แต่ผมไปอยู่กับไมโลละมันทำให้ผมได้วิธีการทำงานใหม่ ๆ ออกมา อีกคนก็เป็นน้อต SpatChies ที่ช่วยผมไว้เยอะในอัลบั้มนี้ อย่างเพลงน้องก็คือน้อตเลย อะเรนจ์ทั้งหมดมาจากน้อต ตอนแรกเพลงน้องมันเป็นสไตล์ k-pop น้อตมันก็เอาไปทำเป็น Pop-Punk คือแบบสุดยอด ! 

ผมก็เรียนรู้เยอะมากจากวันนั้นจนถึงวันนี้ หลาย ๆ อย่างมันทำให้เรารู้ว่าต้องไม่มีอีโก้ เราต้องศึกษาเยอะขึ้น ต้องทำงานกับคนอื่นให้มากขึ้น อะไรที่ดีอยู่แล้วมันก็ดีขึ้นไปอีกได้ เราอย่าไปยึดติดว่าถ้ามันดีอยู่แล้วก็ทำแบบเดิม ถ้าเราได้ทำอะไรใหม่ ๆ มันก็จะได้อะไรใหม่ ๆ กลับมา 

ผมสลัดอีโก้ทิ้งไปเยอะมากในอัลบั้ม 28 ถ้าเทียบกับอัลบั้มแรก ยกตัวอย่างเช่นเพลงน้องมันจะมีท่อนกีตาร์อุดสาย ผมก็เล่นได้นะ แต่มันมีคนที่เล่นดีกว่าผม ทำไมผมต้องเล่นเอง เรื่องมันมีอยู่ว่า พี่ทอย-ดอกเบี้ยบานแบนด์ ผู้เป็นเหมือนที่ปรึกษาเรื่องกีตาร์ในอัลบั้ม 28 ของผม แต่ก่อนผมเป็นคนที่ไม่ค่อยใส่ใจเรื่องเอฟเฟกต์หรืออุปกรณ์ดนตรีอะไรมากมาย แต่ว่าอัลบั้มนี้ผมคุยกับพี่ทอยเยอะ ในวันที่อัดเพลงน้องเขาเอากีตาร์มาให้ผมลอง 3 ตัวที่ห้องอัด ผมก็ลองเล่น ๆ ละผมไม่ได้ถนัดแนว Rock ขนาดนั้น ผมก็เล่นแล้วแบบ “ซาวด์มันไม่ใช่สักทีว่ะพี่ พี่ทอยลองเล่นหน่อย” พอพี่ทอยเล่นเท่านั้นล่ะ แม่งโคตรพังก์เลย พี่ทอยเล่นเลย ผมก็ให้พี่ทอยอัดแล้วก็ใส่พี่ทอยไว้ในเครดิต เป็นกีตาร์ริทึ่ม left กับ right คือเป็นผมเล่นอยู่ทางขวา เป็นสไตล์แบบ Rock ยุคเก่า อันนี้คือตัวอย่างที่มันชัดเจนมากว่าในอัลบั้มนี้เราต้องไม่มีอีโก้

มีหลาย ๆ คนคิดว่า “อัลบั้มนี้พี่ให้ใครอัดบ้าง” กูให้อัดเพลงเดียว 555 กูอัดเอง มีแค่เพลงเดียวที่ให้พี่ทอยมาช่วย อย่างเพลงไหนบอกเลิกแล้วของไอเต ที่กลองแม่งต้อง gospel มาก ๆ เลยเอา โป้ง (มือกลองวี-วิโอเลต) มาอัดให้ โป้งแม่งบ้ามาก คือจริง ๆ ไอเตมันก็อัดได้นะ แต่ว่ามันอาจจะต้องใช้เวลาประมาณ 4 เดือนในการซ้อมลูกนั้น ก็ให้โป้งอัดไปดิ ละเตก็ตีให้ได้ จนวันนี้เตก็ตีได้แบบโป้งแล้ว

ULM: เหมือนว่าการทำงานกับคนอื่นก็มีผลต่อการเติบโตของตูนมาก

ตูน : มีผลมากครับ ผมว่าด้วยการที่ทำงานกับคนอื่นอัลบั้มนี้พวกผมเก่งขึ้นอีก 50% เลย อย่างไอกิตกับท่อนแรพที่อัตตาแต่งให้ แม่งฝึกอยู่ 3 เดือนกว่าจะร้องได้ คือด้วยความที่เราอยู่ในจุดที่แทบจะไม่มีเวลาซ้อมแล้ว เราก็ไม่สามารถแก้ไขอดีตได้อะครับ ถ้าผมย้อนเวลากลับไปได้อยากจะฝึกให้เยอะกว่านี้ เพราะเมื่อคุณอยู่ในจุดที่แบบแม่งไม่สามารถฝึกได้แล้วด้วยหน้าที่การงาน หรือต้องออกไปทัวร์ คุณจะรู้สึกแย่มากที่ไม่มีสารตั้งต้นที่ดี เราเลยแก้ไขโดยการเอาคนที่เก่งมาช่วยเราก่อน แล้วเราเล่นให้ได้ตามเขา คือแม่งไม่ต้องฝึกเองก็ได้ เราไปหาอาจารย์ให้เขาช่วยเราอัพเวลดีกว่า เออแม่งคือพ้อยท์หลักของอัลบั้มนี้เลย เราต้องเข้าหาอาจารย์ให้เยอะแล้วเราก็จะเก่งขึ้น

ULM: ตูนให้คนมาช่วยอัด แต่ว่าเราก็เป็นคนคิดเมโลดี้กับโน้ตต่าง ๆ เองใช่มั้ยครับ

ตูน : ใช่ มันคือเรื่องสำเนียงครับ คือดนตรีมันจะมีสำเนียงอยู่ นึกออกมะ กีตาร์ตัวเดียวกันแต่ว่าอีกคนแม่งเล่นดีชิบหายเลย ภาษาคนละภาษามันมีผลมาก แต่ก็ต้องเน้นย้ำอีกครั้งนึงว่า มีแค่เพลงเดียวนะที่คนอื่นมาอัดให้ 555 เหมือนอัลบั้มนี้เราอยากทำอะไรที่มันเจ๋งขึ้น มันก็ต้องมีเพลงที่ยอมสละอะไรบางอย่างให้ท่านอาจารย์มาเล่นให้ ถ้าเขียนว่า feat ได้เราก็เขียนไปแล้ว

ULM: มีเพลงในฝันที่อยากทำให้ได้ในสักวันแต่ตอนนี้ยังทำไม่ได้อยู่บ้างมั้ย

ตูน : เพลงที่อยากทำแต่ยังทำไม่ถึงใช่มะ ผมอยากทำเพลงแบบพวกออเคสตร้า หมายถึงเพลงที่แบบคล้าย ๆ Disney มันจะเป็นเพลงออเคสตร้าที่ร้องเมโลดี้ไม่ค่อยซ้ำ เมโลดี้ไหลไปเรื่อย ๆ เหมือนแบบเล่าเรื่องไปเรื่อย ๆ ไต่ระดับขึ้นลง รู้สึกว่าเรายังไม่สามารถทำสิ่งนั้นได้ ในอนาคตก็อยากทำ เพลงที่มันจะแบบคล้าย ๆ ละครเวที ผมอยากทำมานานละ แต่งได้นะแต่ว่ามันไม่น่าสนใจ เหมือนเพลงเจ้าหญิงคนต่อไป (Bliss Sonic) เพลงนั้นโคตรเจ๋งเลย

ULM: ในอนาคตตูนอยากเป็นคนเขียนเพลงที่อยู่ในจุดไหน

ตูน: อยากมีเวลาทำศิลปินท่านอื่นอีกเยอะ ๆ ครับ ผมรู้สึกว่าการได้เจอศิลปินคนอื่น เราได้ทำแนวใหม่ ๆ มันเบรคตัวเองมาก ๆ เลย ตอนนี้ยังมีอีกหลายแนวที่อยากทำแต่ว่ายังหาศิลปินไปทำด้วยไม่ได้ หลังจากที่ทำอัลบั้ม 28 รู้สึกว่าอยากทำแนวอื่นอีกเยอะ ๆ เพราะว่ารู้สึกว่ามันเหมือนเราฟาร์มไม้ตันแล้ว เราก็อยากเก็บเหล็ก อยากเก็บทองเพิ่ม ให้สลอตมันเต็ม เหมือนเราอัพ Strength แต่เรายังขาด Agi ขาด Luck คืออยากเป็นคนที่ทำได้หลาย ๆ แนว ตอนนี้ผมรู้สึกว่าแข็งแกร่งในแนวตัวเองละ แต่แนวอื่นผมยังไม่ได้กว้างมาก อยากเป็นแบบโปรดิวเซอร์ อยากเป็นนักแต่งเพลงที่ทำได้หลาย ๆ แนวมากขึ้น


Photographer : Krittapas Suttikittibuth

GEESUCH
WRITER: GEESUCH
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line