วันนี้ Kanye West แร็พเปอร์ฝีปากกล้า ได้ทำตามสัญญาที่ได้เคยให้ไว้กับแฟน ๆ ที่หลงใหลสตรีทแฟชั่นแล้ว ด้วยการทำให้สินค้า YEEZY ของเขาเองสามารถเข้าถึงทุกคนได้ เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่าที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นไอเทมหรือคอลเลกชั่นอะไรก็แล้วแต่ พอใส่คำว่า Design by Kanye West เท่านั้น ก็แทบจะเพิ่มมูลค่าก่อนออกจากร้านทันที 3-5 เท่าตัว จนคนธรรมดาแทบจะไม่มีโอกาสได้ใส่เลยทีเดียว กระทั่งล่าสุด Kanye West ได้สร้างเว็ปไซต์ yeezysupply เพื่อเป็นหนึ่งช่องทางสำหรับคนที่ชื่นชอบในผลงานของเขาจะได้มีสิทธิ์จับจองเป็นเจ้าของ เพราะแต่เดิมเว็บไซต์ yeezysupply จะจัดจำหน่ายเพียงเสื้อผ้าคอลเลกชั่น YEEZY จะไม่มีรองเท้าที่เรียกได้ว่าเป็นไอเทมสร้างชื่อของเขาเลย โดยนอกเหนือจากนี้ก็มีข่าวลือว่า Kanye West จะทยอยรีสต๊อกรองเท้ารุ่นเก่า ๆ ที่เคย Sold Out ไปแล้วทุกรุ่น อาทิ Yeezy Boost 350 “Pirate Black” , Yeezy Boost 750 “Light Grey” เป็นต้น เนื่องจากเขาได้ใส่ภาพรองเท้าทุกโมเดลที่เคยออกแบบไว้ในเว็บไซต์
ทรงผมถือเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเสริมสร้างบุคลิกภาพให้กับตัวเรา เป็นส่วนสำคัญที่สามารถทำให้ใบหน้าของคุณดูแย่ หรือดูดีได้ในเวลาเดียวกัน หากคุณเลือกทรงผมได้รับกับใบหน้าก็อาจจะแจ้งเกิดได้ไม่ยาก แถมยังเสริมความมั่นใจให้คุณได้อีกด้วย แต่จะให้เลือกทรงผมอย่างไรให้เข้ากับใบหน้า ขนาดตัวเองรูปหน้าแบบไหนยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ ไม่เป็นไรอย่าเพิ่งน้อยใจไป วันนี้ UNLOCKMEN มีคำตอบมาให้หนุ่ม ๆ ทุกคน กับวิธีการเลือกทรงผมให้เข้ากับใบหน้าของคุณ มาดูกันว่ารูปหน้าของคุณเข้ากับผมทรงไหนบ้าง 1. Oval Face Shape (หน้ารูปไข่) ว่ากันว่ารูปหน้าทรงนี้ จะเกิดขึ้นกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย แต่สำหรับหนุ่มที่มีใบหน้ารูปไข่นั้น ถือว่าโชคเข้าข้างคุณจริงๆ เพราะมันไม่ใช่แค่คุณจะใส่แว่นอะไรก็ได้เท่านั้นนะ แต่รวมไปถึงการทำทรงผมได้ทุกทรงอีกด้วย จะ undercut ผมยาว ผมบ๊อบ ผมเห็ด ก็ทำได้หมด ทรงไหนก็พร้อมมั่นใจได้ไม่หวั่น 2. Square Face Shape (หน้าเหลี่ยม) หน้าเหลี่ยม คือรูปหน้าที่ดูแข็งแรง เห็นกล้ามเนื้อหน้า มีกรอบหน้าชัดเจน เห็นกรามชัด และถือเป็นรูปหน้าที่บ่งบอกความเป็นผู้ชายอย่างแท้จริง สำหรับการตัดผมที่ให้เข้ากับรูปหน้าแบบนี้ เราแนะนำเป็นผมสั้นที่แสกข้าง ไม่เน้นจุดเด่นให้อยู่ที่กลางศีรษะ อย่างการไว้ผมแสกกลาง เพราะมันอาจทำให้ใบหน้าคุณดูเหลี่ยมมากขึ้น และการไว้ผมสั้นเนี่ยช่วยโชว์กล้ามเนื้อบนหน้าให้กับคุณด้วย เชื่อเถอะว่ามันดูเท่จริงๆ 3. Oblong Face Shape (หน้ายาว)
“เธอดีเกินไป” “ผู้หญิงชอบคนเลว” ประโยคสุดคลาสสิคที่อยู่คู่สังคมไทยมาอย่างยาวนานจนบางทีเราก็ละเลยและคิดว่ามันคือสัจธรรมแห่งความจริง แต่ถ้าเราลองมาวิเคราะห์ดูให้ถี่ถ้วนแล้วล่ะก็อาจเกิดคำถามว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงหรือ? ในความคิดของพวกเรา UNLOCKMEN คิดว่าทั้ง 2 ประโยคก็มีส่วนที่เป็นความจริงอยู่บ้าง เนื่องจากผู้ชายที่ดีเกินไปมักจะมาพร้อมกับความน่าเบื่อ ตรงกันข้ามกับผู้ชายลุคแบดบอยที่เจนจัดประสบการณ์ด้านความสัมพันธ์มากกว่าทำให้ในบทสนทนาหรือการกระทำต่าง ๆ นั้นพวกเขาจะมีลูกล่อลูกชนที่ดีกว่า จึงไม่แปลกที่ฝ่ายตรงข้ามจะตกหลุมเสน่ห์ได้ง่าย ๆ แต่หนุ่ม ๆ นิสัยดีอย่าเพิ่งท้อใจไป เพราะวันนี้เรามีเคล็ดลับที่จะทำให้คุณเป็นคนดีที่ไม่น่าเบื่อมาบอกต่อ! You Talk Too Much การเป็นคนช่างพูดช่างคุยเป็นสิ่งที่ดี แต่มันก็มีลิมิตของมันอยู่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องที่คุณต้องระมัดระวังอย่างมากเมื่ออยู่ในวงสนทนา จัดสมดุลระหว่างการเป็นผู้พูดและผู้ฟังให้ดี ทุกคนย่อมมีเรื่องของตัวเองที่อยากเล่าด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้นถ้าคุณเอาแต่เล่าเรื่องตัวเองอยู่ฝ่ายเดียวจนไม่เปิดโอกาสให้คู่สนทนาได้พูดเลยอีกฝ่ายอาจจะเบือนหน้าหนีได้ง่าย ๆ การสนทนาเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว คุณต้องพยายามสังเกตตัวเองและเก็บสิ่งที่คิดว่าไม่ดีมาเป็นประสบการณ์ You Don’t Read การไม่อ่านหนังสือในหัวข้อนี้ไม่ได้มีความหมายตรงตัวขนาดนั้น แต่หมายถึงการที่คุณไม่ค่อยเสพสื่อจนทำให้คุณกลายเป็นคนไม่ค่อยมีความรู้รอบตัว อาจดูเหมือนเรื่องเล็กแต่นี่คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้คุณขาดเสน่ห์ เพราะเมื่อคู่สนทนายกประเด็นสักอย่างขึ้นมาคุณจะไม่สามารถเสนอความคิดเห็นอะไรได้ ทำได้เพียงเออออห่อหมกตามไปเท่านั้น เช่นเดียวกันเมื่อคุณไม่ค่อยมีความรู้รอบตัวเรื่องที่คุณจะชวนคุยอีกฝ่ายได้ก็มีแต่เรื่องพื้น ๆ ทำให้บทสนทนาขาดความน่าสนใจและภาพลักษณ์ของคุณก็จะกลายเป็นคนจืดชืดไม่น่าคุยด้วย เพราะฉะนั้นเริ่มตั้งแต่วันนี้ พยายามติดตามสื่อรอบตัวให้มากที่สุด ความรู้อยู่ทุกที่ไม่ว่าจะหน้ากระดาษหรือหน้าจอ เก็บเกี่ยวมันมาเป็นวัตถุดิบให้มากที่สุด Your Voicetone ไม่ใช่เพียงหัวข้อบทสนทนาเท่านั้นที่สำคัญแต่น้ำเสียงของคุณก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะไม่ว่าเรื่องที่คุณยกมาเล่าจะสนุกตื่นเต้นขนาดไหนแต่มันก็สามารถกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อราวเทปธรรมะได้ถ้าน้ำเสียงคุณเป็นแบบโมโนโทน ดังนั้นเมื่อคุณเริ่มต้นพูดอะไรสักอย่างพยายามใส่อารมณ์ร่วมลงไปในเรื่องราวนั้นด้วย เรารู้ดีว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองในข้อนี้เนื่องจากอาจจะเป็นนิสัยติดตัวบางคนมาตั้งแต่เกิน แต่ถ้าคุณหมั่นสังเกตตัวเองเชื่อว่าไม่ยากเกินความพยายามหรอก Your
หลังจากหายหน้าหายตาจากโลกแฟชั่นไปสักพัก ในที่สุดก็กลับมาอีกครั้งสำหรับ Bum Bag , Fanny Pack หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า กระเป๋าสะพายข้าง แต่รอบนี้ดูเหมือนว่าจะเขย่าเงินในบัญชีของเหล่า fashionista ทั้งมือเก๋าและสมัครเล่นได้ไม่น้อย เมื่อมีการโดดเข้ามากินโต๊ะ ร่วมแจมจากแบรนด์ดังต่าง ๆ มากมาย โดยไม่ยอมปล่อยให้โอกาสทำเงินของตัวเองไปหลุดลอยไปสักราย ไม่ต้องแปลกใจสำหรับชื่อของมัน เพราะเป็นแค่เรื่องความแตกต่างของการใช้ภาษาเท่านั้น เพียงแค่ Bum Bag คือคำเรียกของทางฝั่งอังกฤษ ส่วน Fanny Pack เป็นของฝั่งอเมริกานั่นเอง โดยเดิมทีในยุค 90’s Bum Bag เป็นกระเป๋าซึ่งออกแบบมาสำหรับใส่ของมีค่าขนาดเล็ก และคาดไว้ช่วงเอว แต่ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พบว่าการคาดไว้ที่เอวมีผลกระทบต่อสะโพก ทำให้ความนิยมตกลงไป แต่เมื่อไม่นานมานี้พบว่ามันกำลังกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง โดยเกิดใหม่ในแฟชั่นระดับ Hi-end และเหมือนกระแสจะแรงขึ้นไปอีก ผลพวงจากที่ตัวพ่อในวงการแฟชั่นหลายคน ปรากฏตัวในลุคสตรีท พร้อมกับเจ้า Bum Bag เสมอ ไม่ว่าจะเป็น A$ap Rocky , Pharrell Williams ,
แม้คำว่า “ดิจิทัล” จะเกิดขึ้นในสังคมไทยมานานหลายปี แต่การเห็นหญิงสาวออกมาพูดเรื่องไอทีในระดับแนวหน้าผ่านสื่อกลับมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น พวกเธอสร้างความประทับใจจากความสามารถ ความสดใส มุกตลก เปลี่ยนเรื่องไอทีให้กลายเป็นเรื่องเข้าถึงง่ายและน่าชื่นใจ ทว่าน้อยคนนักที่จะรู้ว่าเบื้องหลังพลังงานอันเหลือล้นเหล่านี้มีที่มาอย่างไร วันนี้เป็นโอกาสดีที่เราชาว UNLOCKMEN จะได้พูดคุยกับเธอผู้ได้สมญา “นางฟ้าไอที” คนนี้ “เฟื่องลดา-สราณี สงวนเรือง” ตอนนี้เธอกำลังเติบโตขึ้นอีกขั้นจากการเปิดบริษัทและบริหารออนไลน์พับลิเชอร์ของตัวเอง “Flourish digital” ใครที่เป็นสาวกผู้คอยติดตามรอยยิ้มชวนให้ใจบางของเธออยู่ บอกได้เลยว่าไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง คุยกับเฟื่องเรื่องที่เราไม่เคยรู้ “เฟื่องลดา” คือชื่อของหญิงสาวสุดสดใสตรงหน้าของพวกเรา แต่จากบทสนทนาในวันนี้กลับทำให้เราได้รู้เรื่องราวหลายอย่างที่คาดไม่ถึง อย่างหนึ่งก็คือกว่าจะเป็นสาวน้อยพูดจาฉะฉาน เธอเป็นเด็กหญิงพูดน้อยรักการอยู่คนเดียว แต่ไม่ชอบอยู่หน้าแสงไฟ ไม่ชอบการด้นสด ติดจะเนิร์ดเสียด้วยซ้ำ แต่ทุกย่างก้าวในวันนี้ของเธอเกิดขึ้นได้เพราะแรงผลักดันจากใจที่สู้ไม่ถอยล้วน ๆ ฝัน “เฟื่อง” เธอสารภาพว่าเท่าที่จำความได้ ฝันของเธอไม่ใช่การเป็นพิธีกรอย่างที่ทำให้เธอโด่งดังอยู่ในตอนนี้ แต่ฝันของเธอคือการเป็นนักร้องบรอดเวย์ ซึ่งก็ขัดกันกับความเป็นคนขี้อายของตัวเธอเองอยู่ดี ทำให้เธอต้องใช้ความพยายามก้าวข้ามขีดจำกัดเพื่อตามความฝัน ก้าวแรกของเธอเริ่มต้นที่การเป็นนักร้องชมรม CU BAND สมัยเรียนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากนั้นจึงออกล่าฝันด้วยการร้องเพลงผ่านการประกวด AF อีกถึง 2 ครั้ง แม้ไม่ได้รับตำแหน่งกลับมา แต่ทั้งสองครั้งพลังเสียงที่มีก็ทำให้เธอผ่านเข้าสู่รอบ 50 คนทุกครั้งและเป็นการเพาะเมล็ดพันธุ์พิธีกรในตัวของเธออย่างเต็มเปี่ยม เนื่องจากผู้ใหญ่เห็นแววและให้โอกาสเรียกเธอเข้าไปแคสต์เพื่อรับบทบาทพิธีกรถึงสองครั้ง “ถ้าเราทำอะไรไม่ได้ แล้วเรารู้สึกว่าเรายังพยายามได้ไม่ดีพอ
หนุ่ม ๆ คนไหนที่ติดสมาร์ทโฟนหรือต้องจ้องอยู่หน้าคอมเป็นเวลานาน ๆ ควรอ่านข่าวนี้ไว้เตือนภัยตัวเอง เพราะเพิ่งจะมีผลวิจัยใหม่ล่าสุดที่บ่งชี้ว่า มันเป็นภัยต่อตัวคุณถึงขั้นทำให้ตาบอดได้เลยทีเดียว จากผลวิจัยดังกล่าวของมหาวิทยาลัย Toledo ในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องของจักษุวิทยา ซึ่งได้ตีพิมพ์ลงไปยัง Scientific Report ถึงการทำลายกระจกดวงตาที่มีผลมาจาก Smart Device ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ ส่งผลนำไปสู่โรคจุดภาพชัดที่จอตาเสื่อม (Macular Degeneration) หรืออาจเลวร้ายถึงขั้นตาบอดเลยก็เป็นได้ Dr. Ajith Karunathne ผู้ช่วยศาสตราจารย์ที่นำการศึกษาในเรื่องนี้ ได้พูดถึงสาเหตุนี้ไว้อย่างชัดเจนว่า กระจกตาและเนื้อเยื่อของลูกตาของมนุษย์เราไม่สามารถบล็อกแสงสีน้ำเงินที่ถูกส่งมาจากอุปกรณ์สื่อสารทั้งหลายได้ และล้วนเป็นอันตรายอย่างยิ่งเมื่อสัมผัสโดยตรง ซึ่งทุก ๆ ปีจะมีคนจำนวนไม่ต่ำกว่า 2 ล้านคนที่ประสบปัญหาจอตาเสื่อมก่อนวัยอันควร เพราะโดยปกติแล้วสำหรับคนธรรมดาทั่วไปที่ประสบปัญหาโรคจุดภาพชัดที่จอตาเสื่อม (Macular Degeneration) ควรจะมีอายุ 50 – 60 ปีขึ้นไป คนที่มีพฤติกรรมการใช้คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต ติดต่อกันเป็นเวลานานๆ จะทำให้ตาแห้ง และกะพริบตาน้อยลง เกิดการแสบตา การมองเห็นเริ่มผิดปกติ เห็นภาพซ้อน มองไม่ชัด
ความเร็ว ความตื่นเต้นเร้าใจสไตล์ Extreme สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ผู้ชายต่างหลงใหล มันเดือดพล่านอยู่ในสัญชาตญาณของหนุ่ม ๆ ทุกคน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เงินที่เก็บออมอย่างตั้งใจมาทั้งชีวิตจะทุ่มให้กับรถในฝันหรือบิ๊กไบค์คันงาม แต่สำหรับบางคนที่ไม่ใช่ขาซิ่งบนถนนหรือซิ่งมาจนเบื่อแล้วอยากเปลี่ยนบรรยากาศการท้าความเร็วจากพื้นยางมะตอยมาเป็นพื้นน้ำ เร่มาทางนี้เลย เพราะวันนี้ UNLOCKMEN มีเทคโนโลยียานยนต์เจ๋ง ๆ มาฝาก ชื่อของมันคือ ‘Narke’ ‘Narke’ หรือ ‘Narke Electrojet’ ถ้ามองจากภายนอกก็ดูไม่แตกต่างจากเจ็ทสกีที่เรารู้จักเท่าไรนัก แต่ความพิเศษของมันคือเป็นเจ็ทสกีลำแรกของโลกที่ขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าตามแนวคิดการอนุรักษ์และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งแนวคิดนี้ไม่ได้อยู่แค่ภายในระบบขับเคลื่อนเท่านั้น แต่รวมถึงการออกแบบภายนอก วัสดุที่นำมาใช้ล้วนแล้วแต่ยึดโยงกับแนวคิดนี้ ‘ถึงแม้ระบบขับเคลื่อนจะเปลี่ยนไป แต่ประสบการณ์บนผิวน้ำยังเหมือนเดิม’ นี่คือสิ่งที่ผู้ผลิตเจ้าเจ็ทสกีสัญชาติฮังการีบอก ไม่ว่าจะเป็นทะเลสาบขนาดย่อมหรือมหาสมุทรกว้างใหญ่ Narke ก็สามารถโลดแล่นได้ในทุกที่ คำว่า Narke มีที่มาจากชื่อของรังสีไฟฟ้าชนิดหนึ่งที่มีความซับซ้อนอย่างมาก สามารถพบคลื่นชิดนี้ได้ในแถบอินโด-แปซิฟิคและตอนใต้ของทวีปแอฟริกา ด้วยคอนเซ็ปต์การเคลื่อนที่ด้วยกระแสไฟฟ้า ผู้ผลิตจึงหยิบชื่อนี้มาตั้งให้กับเจ็ทสกีลำนี้ นอกจากรูปร่างภายนอกอันโฉบเฉี่ยวและระบบการทำงานด้วยไฟฟ้าแล้ว จุดเด่นอีกอย่างของ Narke ที่ทำให้แตกต่างจากเจ็ทสกีทั่วไปคือเสียงเครื่องยนต์ที่เงียบกว่ามาก เงียบจนเสียงคลื่นกลบหมด ทำให้คุณเข้าถึงความสุนทรีย์แห่งการโลดแล่นโบยบินในท้องทะเลอย่างแท้จริง รายละเอียดการทำงานอื่น ๆ ของ Narke Electrojet ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 55 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีมอเตอร์ระบายความร้อนถึง 3 ตัวด้วยกัน
ถ้าพูดถึงการ์ตูนยอดนิยมยุคนี้ไม่ว่าจะเป็น One Piece, My Hero Academia, The Promised Neverland และเรื่องอื่น ๆ อีกหลายเรื่อง แม้ว่าการ์ตูนเหล่านี้จะมีพล็อตแตกต่างกัน แต่เกือบทุกเรื่องมีคอนเซ็ปต์ที่คล้ายกันคือการผจญภัยโดยมีฉากหลังเป็นพลังมิตรภาพ ในขณะที่การ์ตูนแนวลูกผู้ชายกล้ามโตที่ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมากนอกจากการต่อสู้แบบบ้าพลังแทบจะหายไปจากตลาดเลยก็ว่าได้ ซึ่งแตกต่างจากเมื่อ 20-30 ปีก่อนที่เป็นยุครุ่งเรืองของการ์ตูนแนวนี้ หลายเรื่องขึ้นหิ้งกลายเป็นตำนานที่ยังถูกพูดถึงมาจนปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น ฤทธิ์หมัดดาวเหนือ, ซามูไรพเนจร, จอเกบูลส์ รวมถึงเรื่องที่เราจะพูดถึงกันในวันนี้อย่าง ‘บากิ’ ย้อนความหลัง สำรวจเรื่องราว ‘Baki the Grappler’ หรือที่คนไทยเรียกสั้น ๆ ว่า ‘บากิ’ คือผลงานมังงะจากปลายปากกาของ Keisuke Itagaki ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 1991 ลงในนิตยสาร Weekly Shōnen Champion ซึ่งถ้านับถึงตอนนี้มังงะเรื่องนี้ก็มีอายุกว่า 28 ปีเข้าไปแล้ว ฉบับรวมเล่มมีทั้งหมด 132 เล่ม โดยแบ่งเป็น 4 ภาค ซึ่งนี่ยังไม่นับรวมภาคย่อยที่มีอีกไม่น้อย บากิเป็นการ์ตูนที่เล่าเรื่องย่อได้ง่ายที่สุด เพราะทั้งเรื่องแทบจะไม่มีแก่นเรื่องใด ๆ เลยนอกจากการต่อสู้ ว่าด้วยเรื่องราวของเด็กหนุ่มมัธยมปลายนาม ‘ฮันมะ บากิ’ ภายนอกเขาก็ดูไม่แตกต่างจากเด็กวัยเดียวกันคนอื่น
ในช่วงนี้ใคร ๆ ก็หันมาทำวิดีโอคอนเทนต์กันทั้งนั้น ตั้งแต่เพลง หนัง ไลฟ์สไตล์ สารพัดอย่างในชีวิตล้วนแต่หันมาตีตลาดวิดีโอกันหมด การดูวิดีโอในสมาร์ทโฟนจึงเป็นสิ่งที่หลายคนคุ้นเคยกันดี จริง ๆ ไม่ใช่แค่วิดีโอคอนเทนต์ เดี๋ยวนี้การดูหนังในสมาร์ทโฟนก็สะดวกสบายกว่าแต่ก่อนมาก ทำให้เราพร้อมดูหนังได้ทุกที่ทุกเวลา ยิ่งเทคโนโลยีพัฒนาไปไกลเท่าไหร่ เรายิ่งทิ้งอะไรเก่า ๆ ไว้ข้างหลังจนแทบจะไม่ได้หันกลับไปมอง UNLOCKMEN อยากชวนให้เรากลับมาสัมผัสอะไรเก๋า ๆ อย่างการดูวิดีโอจากโทรศัพท์ผ่านทีวีรูปทรงวินเทจอย่าง SMARTPHONE MAGNIFIER ที่จะมาเปลี่ยนบรรยากาศการดูวิดีโอของเราให้คลาสสิกยิ่งขึ้น รับรองว่าถูกใจหนุ่มสายวินเทจอย่างแน่นอน SMARTPHONE MAGNIFIER มันไม่ใช่ทีวีจริง ๆ หรอก (ดูก็รู้แล้ว!) แต่มันคือเครื่องฉายจากสมาร์ทโฟนของเรา แต่เปลี่ยนจากฉายขึ้นผนังแบบที่เคยเห็นกัน แต่เป็นฉายขึ้นจอทีวีทรงวินเทจ ที่จะมาสร้างบรรยากาศเก่า ๆ ที่เราคิดถึง ด้วยดีไซน์สุดเจ๋งบนจอขนาด 9 นิ้ว กว้าง 7.4 นิ้ว สูง 4.8 นิ้ว วัสดุจาก Cardboard น้ำหนักเบา เคลื่อนย้ายง่าย อยากจะย้ายไปดูที่ห้องนอน ห้องนั่งเล่น หรือแม้แต่สวนหลังบ้านก็ทำได้ นอกจากจะสามารถใช้งานได้จริงแล้ว ยังสามารถเป็นของตกแต่งห้องได้แบบเท่
ทุกการเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งต้องต่อสู้กับนิสัยเดิม ๆ ต่อสู้กับความเคยชินของตัวเอง เสียงวิจารณ์ของคนรอบข้าง และอย่างอื่นอีกมากที่จะมาเป็นแบบทดสอบให้เราก้าวข้ามไป UNLOCKMEN จะพามาดูว่า กว่าเราจะเปลี่ยนนิสัยของเราได้นั้น เราจะต้องเจอกับสภาวะ 6 ขั้นตอน มาดูกันว่าเราเข้าใกล้ความสำเร็จไปถึงขั้นไหนแล้ว อาจจะทำให้เราท้อ สับสน แต่เราอยากให้รู้ว่าจริง ๆ แล้วมันเป็นปกติของการเปลี่ยนแปลง Stage 1: ทบทวนเรื่องที่ผ่านมาและสิ่งที่กำลังจะทำ ขั้นตอนนี้ต่างคนอาจจะใช้เวลาในช่วงนี้ต่างกัน เพราะมันเป็นช่วงที่เราต้องใช้ความคิด ทบทวนว่าก่อนหน้านี้เราทำอะไรมาบ้าง อะไรที่เป็นจุดผิดพลาดที่จะต้องจัดการ อาจจะเป็นช่วงที่เราละล้าละลัง เอาอดีตมาชั่งน้ำหนักกับปัจจุบัน และนึกถึงอนาคตว่าถ้าต้องเปลี่ยนไปจริง ๆ เราจะทำมันได้มั้ย เราจะยอมรับผลของมันได้มากน้อยแค่ไหน แม้ขั้นนี้จะดูเป็นนามธรรม อยู่ในขั้นตอนของความคิด แต่นั่นก็ช่วยทำให้เราตระหนักว่าการเปลี่ยนแปลงกำลังจะเกิดขึ้นไว ๆ นี้แล้ว Stage 2: วางแผน เป็นขั้นตอนต่อจากขั้นที่แล้วแบบชัดเจน หลังจากไตร่ตรองเรื่องที่ผ่านมาจนถึงจุดอิ่มตัวแล้ว พอเห็นภาพรวมทุกอย่างว่าเรากำลังจะทำอะไร ทีนี้ดึงมันออกมาเป็นก้อนใหญ่ แตกแขนงออกมาว่าเราจะแก้ยังไง วิธีไหน ทำให้เราเห็นภาพรวมว่าเราต้องก้าวไปจุดไหนบ้าง และจะจัดการทุกอย่างง่ายขึ้นเยอะ แม้จะฟังดูง่าย ๆ แต่ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่พบว่าคนเรามักจะผัดวันประกันพรุ่งมากที่สุด เพราะมันถึงเวลาที่เราต้องลงสนามจริง ๆ แล้ว ต้องลงมือวางแผนแล้วว่าเราต้องเล่นเกมยังไง เคล็ดลับที่จะทำให้ขั้นตอนนี้ผ่านไปได้อย่างราบรื่นคือ