เพราะมนุษย์เกิดมาเพื่อมีชีวิตร่วมกันเป็นสังคม ไม่แปลกที่หลายครั้งเราเห็นการใช้ชีวิตของคนอื่น แล้วอดย้อนมามองดูตัวเองไม่ได้ โดยเฉพาะการทำงานที่ทำร่วมกันเป็นทีม แผนก หรือองค์กร ที่เราจะได้เห็นผลงาน เห็นความคืบหน้าของเพื่อนร่วมงานอยู่เสมอ ยิ่งช่วงหลัง Covid-19 และในสภาพเศรษฐกิจที่มีแต่ข่าวร้ายทุกวัน หลายคนต้องดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อเข็นโปรเจกต์ออกมาขาย เพื่อทลายขีดจำกัดการทำงานเดิม ๆ เราจึงยิ่งได้เห็นคนทำงานไปไกลกว่าศักยภาพเดิม ๆ ของพวกเขาอยู่ตลอด แต่ยิ่งเป็นแบบนั้น หลายคนก็ยิ่งหดหู่ เพราะในขณะที่เราเห็นผลงานใครต่อใครก้าวไปข้างหน้า แต่ทำไมเรายังดูเหมือนว่าไม่ได้ขยับไปไหน? แล้วในวันที่เราเหมือนย่ำอยู่กับที่ แต่ทุกคนกำลังไปได้ดี เราจะต้องทำอย่างไร? หยุดเปรียบเทียบอย่างเดียวอาจไม่พอ แต่ต้องมาวิเคราะห์ดูว่าเกิดอะไรขึ้น และเราทำอะไรได้บ้าง? “วิเคราะห์และประเมิน” เพราะสิ่งที่รู้สึก อาจไม่ใช่ข้อเท็จจริง กุญแจสำคัญของการก้าวข้ามการเปรียบเทียบ (และรู้สึกน้อยอกน้อยใจ) ไปได้ ไม่ใช่แค่การอยู่ ๆ ก็บอกตัวเองว่า เฮ้ย เราแย่ เราทำงานน้อย เราทำงานไม่ดี แล้วก็ตะบี้ตะบันโหมงานหนัก หรือทำตามคนอื่น ๆ เพื่อให้ทันเขา แต่เป็นการที่เราต้องรู้จักวิเคราะห์และประเมินสิ่งที่เรากำลังทำ ถ้าเรารู้สึกว่า โห คนรอบตัวเรา ทุกคนทำมากกว่าเราทั้งนั้น นั่นอาจเป็นสิ่งที่เรารู้สึกแต่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงเสมอไป เพราะมันไม่ได้มีมาตรวัดการทำงานที่ใช้วัดกับทุกคนได้ แต่สิ่งที่สำคัญคือเราสามารถประเมินและวิเคราะห์วิธีทำงานของตัวเราเองได้ ลองนึกภาพตัวเราเองนั่งอยู่ในห้องประชุมที่กำลังระดมไอเดียใหม่อย่างดุเดือด กระบวนการนี้กินเวลาทั้งวัน แต่ในช่วงเช้าระหว่างที่เรากำลังนั่งเงียบฟังอยู่นั้น
ประสบการณ์ที่เลวร้ายมักทำให้หลายคนเกิดอาการคิดมากจนเกินไปอยู่เสมอ เช่น บางคนไม่กล้าเปลี่ยนงานใหม่ เพราะกลัวว่าตัวเองจะหางานไม่ได้ หรือ ไม่เจองานที่ดีกว่า หรือ บางคนอาจเครียดเรื่องการเรียน เพราะกลัวว่าผลการศึกษาที่ไม่ดีจะทำให้ตัวเองกลายเป็นแรงงานที่ไร้คุณค่า เป็นต้น เรามักเรียกความกังวลที่เกิดขึ้นว่าเป็น Catastrophizing และถ้าเราไม่รู้จักวิธีการป้องกัน อาจทำให้เราเสียสุขภาพจิตได้ ความหมายของ Catastrophizing Catastrophizing คือ การจินตนาการถึงเหตุการณ์ที่เลวร้าย และเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นกับตัวเองอย่างแน่นอน โดยคนที่มีอาการนี้มักมองโลกในแง่ลบ และมองเห็นปัญหาที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่นั่นหนักหนาสาหัสเกินความเป็นจริง จนพวกเขารู้สึกสิ้นหวังและตกอยู่ในความเครียดตลอดเวลา ยกตัวอย่างเช่น ถ้าพวกเขากังวลกับการสอบตก พวกเขาจะคิดว่า การสอบตกทำให้ตัวเองกลายเป็นนักศึกษาที่ไม่ดี เรียนไม่จบ หรือ ไม่ได้รับใบปริญญา และไม่มีใครรับเข้าทำงาน สุดท้ายพวกเขาจึงด่วนสรุปไปเองว่า การสอบตกจะทำให้พวกเขาไม่มีความมั่นคงในชีวิต ซึ่งในเป็นความจริง คนที่ประสบความสำเร็จจำนวนมากก็เรียนหนังสือไม่จบ หรือ เคยสอบตกมาก่อน แต่คนที่ Catastrophizing มักไม่คิดถึงเรื่องนี้ และหมกหมุ่นกับความคิดอันเลวร้ายของตัวเองเป็นตุเป็นตะ จนได้รับความเสียหายทางจิตใจอย่างแสนสาหัส ยังไม่มีใครตอบได้ว่า Catastrophizing เกิดขึ้นได้อะไร แต่หลายคนคาดว่ามันเกิดขึ้นได้หลากสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น ได้รับข้อความที่มีความหมายกำกวมจนเราเกิดอาการคิดไปไกล เราให้ความสำคัญกับอะไรมากเกินไปจนคิดมาก หรือ เรากลัวอะไรบางอย่างมาเกินไป จนเรายิ่งคิดถึงผลลัพธ์แย่ ๆ ที่จะได้รับจากมัน
เวลาทำงานเราจำเป็นต้องพูดคุยกับใครหลายคน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมงาน บอส หรือ ลูกค้า ทักษะในการสื่อสารที่ดีจึงสำคัญต่อการทำงานร่วมกับคนอื่นอย่างมาก เพราะถ้าเราคุยกับคนอื่นได้ไม่ดี เราอาจสูญเสียความน่าเชื่อถือและประสบกับความล้มเหลวในการทำงานได้ UNLOCKMEN เลยอยากจะแนะนำ 5 ประโยคที่ไม่ควรพูดในที่ทำงาน โดยหวังว่ามันจะทำให้ทุกคนมีความสุขกับการทำงานมากขึ้น “เราทำแบบนี้มาตลอด” แม้คุณจะเป็นฝ่ายถูก แต่การพูดแบบนี้มักทำให้หัวหน้ารู้สึกว่า “คุณไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง” ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่แย่ของคนทำงาน เพราะการเปลี่ยนแปลงสามารถนำสิ่งที่ดีกว่ามาสู่องค์กร ดังนั้นจงจำไว้ว่า สิ่งที่ทำมาตลอดไม่ใช่ว่ามันจะดีที่สุดเสมอไป บางสิ่งมันก็ควรเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับยุคสมัยใหม่ เช่น การเปลี่ยนจากทำงานบนกระดาษมาเป็นทำงานเอกสารบนคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตแทน แทนที่เราจะพูดแบบนั้น เราควรถามฝ่ายตรงข้ามกลับไปว่า “อะไร คือ ประโยชน์ที่เราจะได้รับจากการลองวิธีใหม่” ถ้าวิธีการทำงานแบบใหม่ดีกว่าวิธีเก่าจริง พวกเขาก็ควรบอกได้ว่าทำไมมันถึงดีกว่า แต่ถ้ามันไม่ได้ดีกว่าเลย คุณก็ควรบอกเหตุผลว่าทำไมเราถึงควรใช้วิธีเก่ากันต่อไป “ผมจะลองดู” ถ้าเราใช้คำว่า “จะลองดู” หรือ “จะพยายามทำดู” นั่นหมายความว่า คุณไม่มีความมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองจะต้องทำ มันมีโอกาสที่จะล้มเหลวสูง ซึ่งความไม่มั่นใจและความกลัวไม่ใช่เรื่องดีสำหรับการทำงานเลย การทำให้หัวหน้าของคุณรู้สึกแบบนั้นจึงไม่ใช่เรื่องดีต่อตัวคุณเช่นกัน ดังนั้น แทนที่คุณจะพูดว่า “จะลองดู” ให้พูดว่า “จะทำให้อย่างสุดความสามารถดูครับ แล้วเดี๋ยวผมจะสรุปมาให้ว่ามีข้อดีข้อเสียอะไรเพื่อปรับปรุงได้บ้าง” แทน ซึ่งเป็นคำพูดที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพมากกว่า “ขอโทษครับ แต่….” เวลาที่คุณรู้สึกผิดกับความผิดพลาดของตัวเอง คำว่า
ที่นี่ไม่ใช่ “Cafe” แต่เป็น “Space” ของคนเสพติดเสียงเพลง และคาเฟอีน ที่เรียกว่า Record Cafe Space & Art ซึ่งต้องการเป็นพื้นที่กิจกรรมให้กับผู้คนที่ผ่านไปมา กาแฟ / แผ่นเสียง / เพลง Jazz / ธนู / Event และงานศิลปะ ทุกสิ่งที่กล่าวมานี้มีอยู่ใน Track Addict! Track Addict นั้นเดิมเป็นร้านขายแผ่นเสียง และกาแฟที่อยู่ในคอนเทนเนอร์หนึ่งหลัง ในพื้นที่ลานจอดรถที่เต็มไปด้วยผืนหญ้า และต้นไม้ใหญ่ที่ช่วยให้ร่มเงาความเขียวขจีสบายตาแก่ร้าน ทำให้ร้านออกมาใน Vibe ของการ Camping นั่งชิล ๆ กินลมชมวิว พร้อมกับมีเสียงเพลงอันไพเราะให้คุณได้ฟัง เมื่อเปิดไปได้สักพักเจ้าของร้านจึงเริ่มมองเห็นประโยชน์ของ Green Space ขนาดใหญ่แห่งนี้ ด้วยความตั้งใจที่อยากจะทำให้ Space แห่งนี้กลายเป็นพื้นที่กิจกรรมให้กับผู้คนที่ผ่านไปมา จึงเริ่มเชิญชวนเพื่อน ๆ มาทำกิจกรรมต่าง ๆ เริ่มจากการมีดนตรีสดในช่วงหน้าหนาว ชวนเพื่อน ๆ
“ผมเชื่อในมนุษย์ต่างดาว 100% ผมแน่ใจว่าทั้งจักรวาลเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ อีกมาก” Chris Martin นักร้องนำจากวง Coldplay คือหนึ่งในคนที่เชื่อ และหลงใหลกับเรื่องของมนุษย์ต่างดาว นั่นทำให้เราได้เห็นมนุษย์ต่างดาวเต็มไปหมดในผลงานของเขา ไม่ว่าจะเป็นเพลง U.F.O. เนื้อเพลงเปรียบเทียบการเดินทางของชีวิต ที่เหมือนกับ U.F.O. เพลง Aliens ที่เราจะได้เห็น Official Video ใน Theme มนุษย์ต่างดาว ภาพวาดมนุษย์ต่างดาวสุดจริงจังประกอบเรื่องราวมนุษย์ต่างดาวที่ศูนย์เสียบ้าน เดินทางอพยพไปยังสถานที่ต่าง ๆ ในจักรวาล เพื่อหวังว่าวันหนึ่งพวกเขาจะได้กลับบ้าน เป็นการเปรียบเทียบเรื่องราวของผู้อพยพที่ตกอยู่ในอันตรายในทะเล ซึ่งเขาทำเพลงนี้ขึ้นมาเพื่อตั้งใจที่จะนำรายได้ไปมอบให้กับมูลนิธิ MOAS ในการช่วยเหลือผู้อพยพในทะเลนั่นเอง Alien Radio โปรเจกต์เปิดตัวเพลง Higher Power ที่กลายเป็นปริศนาชวนสงสัย เมื่อ Coldplay ได้แชร์คลิปสั้น ๆ เป็นภาพสัญลักษณ์ลึกลับสีม่วง ท่ามกลางเสียงสัญญาณวิทยุ พร้อมกับเชิญชวนแฟน ๆ ให้ไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ AlienRadio.FM ที่ Coldplay ทำขึ้นมาโปรโมทอัลบั้ม Music of the
นี่คือรถในฝันของคนกล้าที่จะฝันจาก Porsche ที่ได้เปิดตัว Mission X โปรเจกต์ใหม่ที่ต้องการสร้างไฮเปอร์คาร์ไฟฟ้าเร็วที่สุดในโลก ให้สามารถใช้งานได้จริงบนท้องถนน เพื่อฉลองความยิ่งใหญ่ของ Porsche ในวันครบรอบ 75 ปี การเปิดตัว The 356 “No.1” Roadster รถยนต์คันแรกของ Porsche ในปี 1948 Mission X คือโปรเจกต์การคิดค้นเทคโนโลยีสำหรับรถสปอร์ตแห่งโลกอนาคต ที่เหนือชั้นกว่าที่เคย มันเปรียบเสมือนความสำเร็จอีกขั้นของรถสปอร์ตตัวท็อปในทศวรรษที่ผ่านมา เช่น 959, Carrera GT และ 918 Spyder ด้วยแนวคิดที่ว่า “ความกล้าที่จะฝัน และรถยนต์ในฝันเป็นเหรียญสองด้านสำหรับเรา ปอร์เช่ยังคงเป็นปอร์เช่ได้ทุกวันนี้ด้วยการสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง” โดยในด้านดีไซน์ของ Mission X นั้นก็หลุดโลกไม่แพ้แนวคิดของมัน ในรูปทรงโฉบเฉี่ยวพลิ้วไหว เป็นไฮเปอร์คาร์ที่ดูแปลกตากว่าที่เคยมีมา มาพร้อมกับหลังคาทรงโดมที่ทำจากกระจกคาร์บอนบางเบา ประตูแบบ Le Mans-style เพิ่มความเท่หรูหราไปอีกระดับ ไฟหน้าทรงสูงแนวตั้งที่มีหน้าตาล้ำยุคไม่ซ้ำใคร ตัวรถมีขนาดที่กะทัดรัดกว่า Carrera GT และ 918 Spyder
ZP Collection ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อฉลองชัยชนะ จากการแข่งขันของรถ E-Type ที่เกิดขึ้นหลังจากเปิดตัวในปี 1961 ได้เพียงเดือนเดียว ในโปรเจกต์การแข่งขันที่ชื่อว่า ZP โดย ‘ECD 400’ รถเปิดประทุนสี Indigo Blue คันที่ชนะ ขับโดย Graham Hill และ ‘BUY 1’ รถสี Pearl Grey ที่เข้าเส้นชัยอันดับสาม ขับโดย Roy Salvadori จึงทำให้ ZP Collection นี้มาเป็นคู่ประกอบด้วย Oulton Blue drophead coupe ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก ‘ECD 400’ รุ่นดั้งเดิม และ Crystal Grey fixed-head coupe ที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก ‘BUY 1’ โดยผลิตออกมาเพียง 7 คู่เท่านั้น สำหรับ Oulton
Digital Watch หน้าตาล้ำยุคราวกับหลุดมาจากโลกอนาคต Casquette 2.0 เกิดจากความตั้งใจของ Creative Director ของ Saint Laurent เขาเลือกที่จะประทับตรา Saint Laurent ลงบนนาฬิกาหรูอย่าง Girard-Perregaux ด้วยความต้องการที่จะสำรวจตลาดแปลกใหม่ต่อไป หลังจาก Saint Laurent ประสบความสำเร็จในการทดลองขายสินค้าแปลกใหม่มามากมายตั้งแต่ Happy Meal boxes ไปจนถึงจักรยาน ซึ่ง Casquette 2.0 นั้นอัปเกรดมาจากนาฬิการุ่น Casquette ของ Girard-Perregaux ซึ่งเป็นนาฬิกาในยุค 70 ที่มีหน้าตาล้ำยุคจน Disrupt วงการนาฬิกาในยุคนั้น ราวกับหลุดมาจากโลกอนาคต ด้วยรูปทรงสี่เหลี่ยมเหมือนกล่อง มีขนาดกะทัดรัด พร้อมหน้าจอ LED ขนาดเล็กที่ถูกดีไซน์ให้อยู่ด้านข้างซึ่งนี่คือความแปลกใหม่ที่ไม่มีใครเหมือน โดยดีไซน์ของ Casquette 2.0 ถูกอัปเกรดมาในตัวเรือนที่ทำจากเซรามิก และไททาเนียมเกรด 5 เคลือบ PVD สีดำ ตัวเรือนมีน้ำหนักเบา โค้งรับกับสรีระรอบข้อมือ มาพร้อมสายนาฬิกาเซรามิกที่ด้านในเป็นวัสดุยาง
วันนี้เราจะพาทุกคนไปดื่มกาแฟชื่อแปลก ในอาคารสีดำ และความทรงจำต่อสถาปนิกที่เสียชีวิตไปแล้ว! Modernism Café แห่งนี้คืออาคารสีดำที่สร้างด้วยไม้เผา ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจาก Modern Architecture และเหล่าสถาปนิกระดับปรมาจารย์ ตำนานที่ไร้ลมหายใจแต่เป็นแรงบันดาลใจให้กับใครอีกหลายคน จนชื่อของพวกเขากลายมาเป็นกิมมิคอยู่ในชื่อเมนูกาแฟ อีกทั้งแนวคิดของพวกเขายังเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบร้าน ที่เท่ และแฝงไปด้วยรายละเอียดอันน่าค้นหาแห่งนี้ ซึ่งเมนูชื่อแปลกที่ว่านั้นคือชื่อของสถาปนิกในตำนาน ที่ถูกนำชื่อมาดัดแปลงเป็นชื่อเป็นเมนูเครื่องดื่มซิกเนเจอร์ของที่ร้านอย่างเมนู Le Corbuccino เป็นกาแฟคาปูชิโน่ ที่มาจากชื่อของ Le Corbusier สถาปนิกชาวสวิส – ฝรั่งเศส ผู้บุกเบิกคนสำคัญของ Modern Architecture จึงมีการตกแต่งลวดลายบนแก้วกาแฟเป็นรูปแว่นตาของ Le Corbusier อันเป็นเอกลักษณ์ของเขา หรือเมนู Mocar Niemeyer เครื่องดื่ม Mocha Latte ที่มาจากชื่อของ Oscar Niemeyer สถาปนิกชาวบราซิลที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญในการพัฒนา Modern Architecture อีกทั้งภายในร้านยังมีการนำ Quote จากสถาปนิกชื่อดังมาติดไว้ตามที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นทางเข้าหน้าร้าน บันไดขึ้นสู่ชั้น 2 หรือแม้กระทั่งในห้องน้ำ เรียกได้ว่า Architect ที่ออกแบบที่นี่นั้น
น่าตื่นเต้นมาก ๆ สำหรับโลก AR/VR ในตอนนี้ หลังจาก Meta ชิงเปิดตัวแว่น VR Quest 3 ตัวใหม่ออกมา ตอนนี้ Apple ได้เปิดตัว Vision Pro AR ที่หลายคนรอคอยมานานออกตามมาติด ๆ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ในราคาแสนกว่าบาท ซึ่งแพงกว่า Quest 3 หลายเท่าตัว! และล้ำหน้ากว่าทุกเจ้าในตอนนี้ โดย Apple ได้เปิดเผยว่า เจ้า Vision Pro ตัวนี้นั้นใช้เวลาในการพัฒนานานถึง 7 ปี จุดขายของมันคือความล้ำของกล้อง 12 ตัว และเซ็นเซอร์ 5 ตัว ที่สามารถจับการเคลื่อนไหวของตา มือ และนิ้วของผู้ใช้ในการควบคุมได้อย่างแม่นยำ ทำให้เราสามารถควบคุมการทำงานด้วยสายตา หรือนิ้วมือได้ โดยที่ไม่ต้องถืออุปกรณ์ควบคุมอยู่ในมืออีกต่อไป นี่คือความล้ำอย่างเหนือชั้นในตอนนี้ ตามมาด้วยฟีเจอร์ FaceTime อีกหนึ่งจุดขายที่ล้ำหน้าเจ้าอื่น Vision Pro สามารถแสดงภาพคนขนาดเท่าตัวจริง