Coming of Age คือการเติบโตก้าวผ่านช่วงวัยสำคัญของชีวิต จากเด็กสู่การเป็นผู้ใหญ่ มีการมองโลกที่เปลี่ยนไป มันเป็นช่วงเวลายากลำบากที่ทุกคนต้องเจอและผ่านมันไป ด้วยความมีมิติของการ Coming of Age นี่เอง จึงมีการหยิบยกเหตุการณ์นี้มาเล่าผ่านสื่อต่าง ๆ มากมายไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ซีรีส์ หรือแม้กระทั่งหนังสือ วันนี้ UNLOCKMEN จึงอยากแนะนำหนังสือที่ว่าด้วยเรื่อง Coming of Age 5 เล่มที่ไม่ควรพลาดไม่ว่าคุณจะผ่านช่วงวัยนั้นมาแล้วหรือกำลังจะผ่านในอนาคตก็ตาม เพราะเชื่อเถอะว่าทั้ง 5 เล่มนี้จะให้อะไรบางอย่างที่จะตกผลึกในใจคุณไปตลอดแน่นอน The Catcher in the Rye Author: J. D. Salinger หนังสือมีชื่อไทยว่า ‘จะเป็นผู้คอยรับไว้ไม่ให้ใครร่วงหล่น’ หนึ่งในวรรณกรรมคลาสสิคระดับโลกที่ติดอยู่ในลิสต์ ‘หนังสือที่ควรอ่านก่อนตาย’ เสมอ เรื่องราวในหนังสือก็แสนเรียบง่าย เป็นเรื่องของเด็กหนุ่มหัวขบถนาม ‘Holden Caulfield’ ซึ่งโดนไล่ออกจากโรงเรียน แต่เขายังไม่พร้อมที่จะให้พ่อแม่เขารู้ความจริง เขาจึงไม่ยอมกลับบ้านและเที่ยวตระเวนอยู่ในเมืองนิวยอร์กบริเวณใกล้ ๆ กับบ้านของเขาเอง และตั้งใจไว้ว่าเมื่อถึงวันคริสมาสต์เมื่อไหร่จะบอกความจริงให้พ่อแม่รับรู้ เนื้อเรื่องมีเพียงเท่านี้ แต่สิ่งที่ทำให้หนังสือเล่มนี้ไม่ธรรมดา และได้รับการพูดถึงทั้ง ๆ
วาทะเด็ดประจำสัปดาห์ที่ผ่านมาเกี่ยวกับการเมืองของประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อดาราเจ้าของบทบาท Captian America อย่าง Chris Evans ได้ทวีตแสดงความเห็นถึงมุมมองถึงประธานาธิปดีตัวแสบ Donald Trump ที่คล้ายกันกับเฟรนไชส์ของ Avengers ในเรื่องความฝันแบบอเมริกันนั้นมีค่าเล็กน้อยกับความเกลียดชัง “ความพยายามของเขาในการลดจำนวนผู้ย้ายถิ่นฐานเป็นเรื่องที่ชัดเจน เขาสามารถขุดความกลัวและความโกรธในใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ สนับสนุนพวกหัวรุนแรง GOP ให้มีส่วนร่วม ช่างเป็นช่วงที่น่าเกลียดที่สุดในประวัติศาสตร์ และจะไม่มีใครลืม” His effort to dehumanize immigrants is appallingly clear. He stokes fear and anger effectively pandering to the bigoted and uninformed. The entire GOP is complicit in this pernicious reincarnation of history’s ugliest chapters. Their silence
กระแส Cyberpunk ที่กลับมาแรงแซงโค้งในวงการหนังอีกครั้งช่วงนี้ ชัดเจนสุด ๆ ก็ต้อง Blade Runner 2049 ที่แฟน ๆ แนว Sci-FI ต่างประทับใจและยกให้เป็นหนังขึ้นหิ้งในดวงใจกันเป็นแถบ (แม้หนังจะไม่ทำเงินก็ตาม) ทำให้เราได้กลับมาเห็นความ Sci-Fi ในแวดวงบันเทิงอีกครั้ง เมือง Dystopia ยานพาหนะหน้าตาสุดล้ำ โฮโลแกรม และไฟนีออนสีสันแสบตา จะกลับมาเล่าเรื่องราวสุดล้ำเกินจินตนาการ ให้หนุ่ม ๆ อย่างเราได้เติมเต็มความบันเทิงแบบอิงวิทยาศาสตร์กันอีกครั้ง UNLOCKMEN ชวนมาดูซีรีส์ Sci-Fi 5 เรื่องล้ำ ๆ ดูกันเพลิน ๆ สำหรับคนเวลาน้อยที่อยากจะเก็บสักวันละตอนสองตอน แต่อย่าเพลินจนลืมเวลานอนละหนุ่ม ๆ Altered Carbon พระเอกสุดเท่ของเรา เป็นยอดนักฆ่ามือฉกาจ ที่ถูกเศรษฐีปลุกขึ้นมาเพื่อให้สืบคดีฆาตกรรมคดีหนึ่ง ซึ่งก็คือของเขาเอง Action-Thriller ดูเพลิน ๆ มันส์ ๆ กับพล็อตเรื่องสุดล้ำ เรื่องราวของโลกอีกหลายร้อยปีข้างหน้า ที่เราจะเก็บความทรงจำ ความคิด Consciousness ของเรา เอาไว้ใน Platform แบบดิจิทัล
สิ่งที่ผู้ชายส่วนใหญ่คาดหวังกับชีวิตการงานคือการเจองานที่ชอบ เอ็นจอยกับงานที่ใช่ และได้รับการยอมรับในสังคมการทำงาน ทว่าการทำงานเก่งเพียงอย่างเดียวอาจไม่ไช่คำตอบของการถูกยอมรับก็ได้ มีบางคนเหมือนกันที่ทุ่มเทกับการทำงานอย่างหนักทุกวัน แต่ก็ยังถูกเพื่อนร่วมงานเบือนหน้าหนี แถมโดนผู้บริหารเพ่งเล็ง แบบนี้มันเป็นเพราะอะไร ? ถ้าเราทำงานอยู่ในบริษัทหรือองค์กรต่าง ๆ ที่ต้องร่วมงานกับผู้อื่น มันย่อมมีกฏกติการ่วมกัน มีความเป็นสังคม และมันเป็นสิ่งที่ทำให้เรากลายเป็นวิญญาณไร้ความหมาย ไร้คนเคารพได้หากชอบแตกแถว หรือวางตัวไม่เหมาะสม พอเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นเราก็จะรู้สึกขาดความสุขในการทำงาน แม้ว่าลักษณะงานและรายได้จะดีก็ตาม ชีวิตที่ออฟฟิศก็จะหมดสนุก ถ้าปล่อยไว้แบบนี้รับรองว่าเซ็งแย่ ไม่ก็ท้อแท้จนแค่ทำงานไปวัน ๆ ความมันส์ก็จะค่อย ๆ ลดลงไปจนเหลือศูนย์ แต่เราจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นแน่นอน UNLOCKMEN มีวิธีเหมาะ ๆ ที่จะช่วยให้คุณได้รับการยอมรับรอบด้านในที่ทำงานมาฝากกัน อย่าไปจริงจังมากเกิน ผู้ชายอย่างเรามักจะหมกมุ่นกับเรื่องงาน ราวกับว่างานตรงหน้าคือคู่เดท จนบางครั้งก็เหนื่อยมากเกินไป ถ้ารู้สึกรักงานขนาดนั้นก็อยากให้ลองเปรียบเทียบเรื่องงานกับเรื่องความรักไปเลย คุณต้องแสดงความชัดเจน นายจ้างของคุณก็ต้องเห็นความทุ่มเทของคุณเช่นกัน แต่ไม่ใช่ว่าโหมหนักมากเกินถึงค่ำมืดดึกดื่นไม่เว้นวันหยุด แบบนี้อาจเป็นความรักที่ไม่ค่อยรักตัวเองเท่าไหร่ บนโลกที่โหดร้ายแบบนี้โชคคงไม่ได้เข้าข้างเราเสมอไป ถ้าเราทุ่มเทกับอะไรมากเกินไปแบบไม่เตรียมใจ เกิดพลาดพลั้งขึ้นมาด้วยความซวย ก็ไม่รู้จะช่วยใจของตัวเองอย่างไรเหมือนกัน เพราะฉะนั้นลดความจริงจังเรื่องงานลงมาบ้าง ย้ำว่าลด “ความจริงจัง” ไม่ใช่ลด “ความตั้งใจ” บางคนอาจจะคิดว่าการทุ่มเทแบบไม่ลืมหูลืมตาจะเป็นเกราะป้องกันไม่ให้เขาตกงาน แบบนี้เป็นการสร้างความกดดันให้กับตัวเอง และถมความเหนื่อยเข้าไปอีก ทางที่ดีควรทำงานให้เต็มที่แบบไม่เกินตัว และหาแผนสำรองให้กับชีวิตบ้าง
ชาว UNLOCKMEN ที่เดินทางด้วยรถส่วนตัวเป็นประจำคงรู้กันดีว่าเวลาเดินทางเราต้องเติมน้ำมันหรือแก๊สให้พร้อมก่อนเดินทางเสมอเพื่อความชัวร์ และการเติมครบโปรตามปั๊มก็ทำให้เราได้ของแถมอย่าง “น้ำเปล่าบรรจุขวดพลาสติก” กันอยู่เป็นประจำ บ่อยครั้งพวกเราก็โยนมันไว้ที่เบาะด้านหลังรถอย่างไม่ใส่ใจ ถือเอาฤกษ์สะดวก อยากกินเมื่อไรก็ค่อยหยิบมาเปิดคลายกระหาย สำหรับหนุ่ม ๆ คนไหนที่เคยทำแบบนั้นลองสังเกตดูที่เบาะนั่งที่วางน้ำไว้ให้ดี เพราะบางทีคุณอาจจะได้เจอจุดไหม้บนเบาะสักจุดสองจุดเล็ก ๆ ก็ได้ และถ้ามันเกิดขึ้นแล้วอย่างทำเพิกเฉยต่อสิ่งที่เห็น เนื่องจากร่องรอยนี้เป็นสัญญาณอันตรายที่บอกว่า อนาคตมันอาจไม่หยุดแค่นี้ แต่ขยายเป็นการจุดไฟให้ลุกท่วมรถคันงามของพวกเรา เรื่องนี้เกิดจากหนุ่มเจ้าหน้าที่ซ่อมบำรุงแบตเตอรี่ที่บังเอิญเห็นควันลอยขึ้นมาใกล้ ๆ คอนโซลรถบรรทุกของตัวเองแล้วพบว่ามีต้นตอมาจาขวดน้ำพลาสติกที่อยู่ในรถ เหตุการณ์ภัยจากขวดน้ำพลาสติกไม่ได้มีเพียงหนุ่มคนที่เท่านั้นที่เคยพบ แต่ยังมีคลิปแจ้งเตือนกันแบบจริงจังจากหนุ่มนักดับเพลิงที่สาธิตให้เห็นอีกด้วย หลักการการเผาไหม้นี้เป็นแบบเดียวกับการทดลองใช้แว่นขยายจุดไฟในคาบเรียนวิทยาศาสตร์ แสงอาทิตย์จะรวมตัวกันผ่านขวดน้ำที่ทำหน้าที่ไม่ต่างจากเลนส์ ชี้ตรงไปที่จุดโฟกัสแล้วจุดติดจากควันสู่ประกายไฟลุกท่วมรถได้ทั้งคัน แม้อัตราอัคคีภัยจากการทิ้งขวดน้ำพลาสติกไว้ในรถจะไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นให้เห็นบ่อย ๆ แต่พวกเราคงไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้กับรถคันโปรดของเราแน่ ๆ เพราะอุบัติเหตุจากความประมาทไร้คู่กรณีแบบนี้คงไม่มีใครรับเคลมประกันอย่างแน่นอน หนุ่ม ๆ อย่าลืมนะ ถึงที่หมายอย่าทิ้ง “ขวดน้ำ” ไว้บนรถ หรือถ้าจำเป็นจริง ๆ ก็ย้ายไปใส่ไว้หลังรถแทนในที่ที่แสงส่องไม่ถึง ไปไหนจะได้ไม่ต้องพะวงและเสียใจภายหลัง SOURCE
ถ้าเราอยากรู้หรืออยากได้อะไร เด็กยุค 90 อย่างเราอาจจะเรียกหาพ่อแม่หรือครูไว้ก่อน แต่เดี๋ยวนี้เมื่อโลกเข้าสู่ยุคดิจิทัล Keyword ในการหาความช่วยเหลือกลับกลายเป็นคำว่า “Google” แทนเสียแล้ว แทบทุก Browser ของหนุ่มอย่างเราต้องวนเวียนกับ Google ไม่ตำ่กว่า 10 ครั้งต่อวันอย่างแน่นอน เหตุผลที่ทำให้ Google ครองใจคนทั่วโลกไม่เพียงแค่จุดขายของความเป็น Search Engine เท่านั้น แต่พี่เขายังขยายโปรดักส์พัฒนาด้านอื่นให้ครอบคลุมทั่วถึงชนิดเป็นทุกอย่างให้ผู้ชายอย่างเราแล้ว ทั้งด้านการทำงานอย่างการมี Google Drive ทำหน้าที่เป็นคลังอัปโหลดข้อมูลออนไลน์ หรือ Google assistant เลขาส่วนตัวที่สามารถสั่งการได้ด้วยเสียง ล่าสุดยังทำในสิ่งที่ตอบโจทย์การใช้งานอย่างเราคือแปลงกายเป็นไม้บรรทัดโดยพัฒนาต่อยอดมาจากโปรเจ็กต์ Tango มาอยู่ในแอปฯ ใหม่ที่เรียกว่า ARCore เราจะไม่ได้ต้องคอยพะวงมองหาตามโต๊ะอีกต่อไป ARCore เป็นแอปพลิเคชันที่เราสามารถใช้กล้องในการวัดขนาดของสิ่งต่าง ๆ ผ่านแอปฯ ได้ โดยปักตำแหน่งที่เราต้องการวัดจากจุดเริ่มต้นถึงจุดปลาย รวมทั้งยังสามารถยืดภาพที่ต้องการออกมาเป็นรูปแบบสามมิติได้ โดยจอจะแปลงตัวเลขตามจริงเพื่อให้เห็นว่าเมื่อขยายพื้นที่แล้ว ความกว้าง ความยาว และความสูงจะเป็นอย่างไร ใครที่อยากรู้ว่าใช้งานอย่างไรลองดูตัวอย่างจากในคลิปวิดีโอได้ หากสงสัยว่าสายวัดล่องหนนี้มีจะประโยชน์กับผู้ชายอย่างเราอย่างไร คงต้องบอกได้เลยว่าสะดวกเรื่องการพกพาโดยต้องพกอุปกรณ์หลายชิ้น ช่วยเราทำหน้าที่บันทึกขนาดเพื่อจดบันทึก และยังประยุกต์เป็นเครื่องมือใช้ในการศึกษาได้ด้วย (อย่างน้อยก็วิชาคณิตศาสตร์) ที่สำคัญยังมีทีเด็ดอยู่ที่การดึงภาพ 2 มิติออกมาเป็นรูป 3 มิติ เหมาะกับหนุ่มเมืองอย่างเราที่ต้องการรีโนเวตห้องในพื้นที่จำกัดแบบพอดิบพอดี
หนึ่งในเรื่องสำคัญที่ถูกยกมาเป็นประเด็นพูดถึงกันอยู่บ่อย ๆ สำหรับฟุตบอลโลก 2018 ครั้งนี้คือการนำเทคโนโลยี VAR และ Goal-Line Technology มาใช้ในศึกฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรก ถือว่าเป็นการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แห่งวงการฟุตบอล เพราะที่ผ่านมามีการถกเถียงเรื่องนี้กันมาตลอด ฝ่ายที่ต่อต้านให้เหตุผลว่ามันจะสูญเสียเสน่ห์ของฟุตบอลและเสียเวลาทำให้การแข่งขันไม่ต่อเนื่อง แต่เมื่อมีการนำมาใช้จริง ๆ ทุกคนคงจะเห็นผลลัพธ์กันแล้วว่ามันทำให้เกมมีความยุติธรรมมากขึ้น ผู้เล่นลดความรุนแรงในการเล่นลง และก็ไม่ได้เสียเวลามากมายอย่างที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งในฟุตบอลโลก 2018 นี้แม้จะเพิ่งเริ่มต้นมาไม่กี่นัดแต่ก็มีช็อตน่ากังขามากมายซึ่งถ้าไม่มี VAR และ Goal-Line Technology มาช่วยตัดสินแล้วล่ะก็คงเป็นประเด็นถกเถียงดราม่ากันไปทั่วทั้งโลกแน่ ต้องขอบคุณเทคโนโลยีทั้งสองที่ทำให้เกมฟุตบอลยุติธรรมและขาวสะอาดขึ้น ยิ่ง VAR และ Goal-Line Technology มีบทบาทในเกมการแข่งขันมากเท่าไร คนดูอย่างเราก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าย้อนเวลากลับไปตั้งแต่ฟุตบอลโลกครั้งแรกเมื่อปี 1930 ประวัติศาสตร์ของฟุตบอลโลกจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางไหนกันนะ? ทีมชาติอังกฤษอาจจะไปได้ไกลกว่าเดิมในฟุตบอลโลก 2010 ย้อนไปเมื่อ 8 ปีก่อน ฟุตบอลโลก 2010 รอบ 16 ทีมสุดท้าย ในเกมระหว่างทีมชาติเยอรมันและทีมชาติอังกฤษ ซึ่งเกมนี้ทีมอินทรีเหล็กออกนำไปก่อน 2-0 จากลูกยิงของ Miroslav Klose และ Lukas Podolski ก่อนที่อังกฤษจะตีตื้นขึ้นมาจากลูกโหม่งของ Matthew Upson การแข่งขันดำเนินมาถึงนาทีที่ 37 และแล้วจังหวะปัญหาก็เกิดขึ้น
ใช้ชีวิตตอนกลางวันมันก็ไม่เป็นอะไร ยังรู้สึกใช้ชีวิตได้แบบปกติ แต่พอพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าเมื่อไหร่ อาการแพ้กลางคืนคืบคลานเข้ามาหาทุกที ในคืนที่เหงา ๆ หันไปไม่เจอใครแบบนี้ อะไรจะดีไปกว่ามีเพลงที่เข้ากับบรรยากาศมาอยู่เป็นเพื่อน UNLOCKMEN ชวนมาฟัง 20 เพลงในคืนเหงาที่จะไม่ปล่อยให้เราเหงาเพียงคนเดียวอีกต่อไป แม้จะเหงามากเท่าไหร่ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องรีบไขว่คว้าใคร เอาไว้เราพร้อมที่จะมีใครสักคนจริง ๆ จะดีกว่าเลือกใครเข้ามาในชีวิตเพื่อคลายเหงา ให้เพลงอยู่เป็นเพื่อนเราดีกว่า เพราะอีกไม่นานก็จะเช้าแล้ว idealism – Wanna know มาเริ่มต้นกันด้วย Lo-Fi ลอย ๆ ที่ชวนให้เรารู้สึก Relax ไปกับเพลงนี้ ที่มีเนื้อเพลงมาจาก Do I Wanna Know – Arctic Monkeys ที่เราคุ้นเคยกันนั่นเอง ซึ่งความพิเศษของเพลงนี้คือ Ambient เสียงจากธรรมชาติ ที่ยิ่งทำให้เพลงนี้ชวนให้ Relax เข้าไปใหญ่ Bon Iver – Watch อีกผลงานดี ๆ จาก Bon Iver ที่จะอัลบั้มไหน ๆ ก็ยังแฝงความเหงาเอาไว้ในน้ำเสียงแทบทุกเพลง โดยเฉพาะเพลงนี้ที่ยิ่งทวีความเหงาให้เราได้ด้วย
เจอหน้าที่ไรก็ไม่อยากจะมอง เบื่อหน้าจนไม่รู้จะหันหนีไปทางไหนดี มีคนเกลียดขี้หน้าอยู่ใกล้ตัวแบบนี้ มีแต่ชวนให้อารมณ์ขึ้นทุกคร้ังที่นึกถึง หงุดหงิดไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา UNLOCKMEN ขอแนะนำทางออกดี ๆ เอาไว้ดีลกับคนที่ไม่ชอบขี้หน้า ทางออกแบบ Positive ไม่ชวนให้เสียอารมณ์ ไม่บั่นทอนสุขภาพจิต อย่าปล่อยให้ความเกลียดชังบั่นทอนคุณมากเกินไป เพราะมันอาจะเป็น Mind Game จากอีกฝั่งก็ได้ ที่ปั่นหัวให้คุณโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ มาลอยตัวอยู่เหนือปัญหาไปด้วยกันดีกว่า ฝึกการควบคุมความเกรี้ยวกราด ใครมันกระตุ้นต่อมเกรี้ยวกราดของเราได้ดีเท่าคนที่เราเกลียดขี้หน้าล่ะ นั่นหมายความว่า เรารู้ลิมิตความเกรี้ยวกราดของตัวเองได้จากศัตรูเนี่ยแหละ ว่าถ้าตัวเราเองเปิดโหมดฉุนเฉียวเมื่อไหร่ เราจะกลายร่างเป็นปีศาจร้ายได้ถึงเลเวลไหน หรืออาจจะเป็นแค่ความฉุนเฉียวเพียงเล็กน้อยก็ได้ มันขึ้นอยู่กับเรานี่แหละที่จะควบคุมมันได้มากแค่ไหน พอมันเป็นอย่างงั้นแล้ว ตรงนี้มันก็กลายเป็นจุดอ่อนของเราอยู่เหมือนกัน เพราะถ้าศัตรูรู้ว่าทำให้เราเดือดได้ อาจจะยิ่งสุมไฟให้เราเป็นบ้า เพื่อให้เราเสียศูนย์ในการคุมอารมณ์ไปเลย ลองเปลี่ยนจากความฉุนเฉียวเมื่อเจอหน้า ให้เป็นบททดสอบการควบคุมอารมณ์ของเรา ยังไม่ได้ต้องลดลงปุบปับก็ได้ แค่ให้เราไม่บ้าจี้ไปตามเกมที่ฝั่งนู้นปั่นหัวเราก็พอ กระตุ้นให้เราอยากก้าวผ่านคำดูถูก คนเกลียดขี้หน้ากัน คงไม่ได้มีคำชมออกจากปากถึงกันอยู่บ่อย ๆ หรอก การได้ยิน Hate Speech จากคนที่ไม่ถูกกัน มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แม้จะชวนหงุดหงิดไปบ้าง ก็อย่าเก็บเอามาคิดในแง่ลบให้มันบั่นทอนตัวเอง ลองเปลี่ยนเป็นพลังเอาไว้ลบคำสบประมาทดูสิ หากเราโดนสบประสาทเรื่องความสามารถ หรือปมด้อยใด ๆ เป็นโอกาสดีด้วยซ้ำที่เราจะได้เห็นจุดบอดของตัวเอง แล้วเอามันมาพัฒนาตัวเองเพื่อเป็นการตอกกลับฝ่ายนั้นว่าเราเปลี่ยนได้ ง่าย
แม้ว่าวัฒนธรรมกราฟิตี้จะไม่ได้อยู่ในกระแสสังคมหลักของบ้านเรา แต่ถ้าหากสังเกตออกไปรอบ ๆ ในปัจจุบัน แทบจะเป็นเรื่องธรรมดาที่สามารถมองเห็นลวดลายศิลปะเหล่านี้อยู่มากมายเต็มไปหมด ซึ่งหลายคนต่างถกเถียงเกี่ยวกับศิลปะแขนงนี้ว่ามันเป็นเพียงการพ่นสีเล่นของเด็ก ๆ ทั่วไป ทว่าในต่างประเทศศิลปะกราฟิตี้ล้วนได้รับการยอมรับ และจัดเป็นบ่อเกิดแห่งศิลปะสมัยใหม่ จนมีการศึกษาพัฒนางานกันอย่างจริงจัง ตัวอย่างเช่นกลุ่มคนที่เรากำลังจะมาพูดถึงในวันนี้สำหรับ 1UP Crew แก๊งกราฟิตี้ชื่อดังจากเมืองเบอร์ลินที่ตระเวน สร้างงานศิลปะไปทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย และกำลังโด่งดังเป็นเบอร์ต้น ๆ ของโลกในขณะนี้ 1UP Crew (One United Power) คือกลุ่มกราฟิตี้ที่รวมตัวกันเพื่อสร้างผลงานของตนเอง ซึ่งพวกเขาสร้างสรรค์งานได้อย่างไร้ขอบเขต พร้อมเปิดเผยสไตล์งานศิลปะของตัวเองอย่างชัดเจน โดยความโดนเด่นของชิ้นงานไม่ได้ถูกจำกัดเพียงแค่ในบ้านเกิดเมืองนอน (เยอรมนี) เท่านั้น เพราะสิ่งที่เป็นตัวช่วยขับเคลื่อนผลักดันให้ 1UP Crew กลายเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย คือการที่พวกเขานำภาพขณะกำลังสร้างงานศิลปะไปแชร์ต่อบนช่องทาง YouTube จากนั้นพวกเขาก็ได้รับความนิยมในวงกว้างอย่างรวดเร็ว 1UP Crew มีความบ้าดีเดือดและฮาร์ดคอร์ด ด้วยลักษณะการทำงานแบบ Bombing หรือการพ่นทับงานเก่าไปเลยด้วยสัญลักษณ์ของตัวเองแบบเด่นชัด และเลือกจุดที่อยู่เป้าสายตา เนื่องมาจากคำขวัญประจำกลุ่มคือ Higher Farther Faster แปลว่าผลงานของพวกเขาจะต้องเจ๋งชนิดไร้ที่ติ กลุ่ม 1UP Crew เริ่มต้นปล่อยผลงานตั้งแต่ปี 2003 และยังคงเดินหน้า Bomb กราฟิตี้ของพวกเขาไปทั่วโลก พร้อมยังทำเป็น DVD วางจำหน่ายอย่างจริงจัง แถมมีงานแสดงผลงานของตัวเองต่อสาธารณชนในอาร์ตแกลลอรี่อีกด้วย