Entertainment

เพราะสถิติมีไว้ทำลาย AVATAR ฝ่ากระแส COVID กลับมาทวงบัลลังก์แชมป์หนังทำเงิน

By: Chaipohn March 17, 2021

เรียกได้ว่าฉลองชัยในการเป็นแชมป์หนังทำเงินตลอดกาลทั่วโลกได้เพียงไม่กี่ปี ในที่สุดบทสรุปหนังรวมดาวจักรวาลมาร์เวลเฟสสาม Avengers: End Game ที่สร้างสถิติหนังทำเงินตลอดกาลในปี 2018 ก็ถูกทำลายลง ซึ่งหนังที่มาเบียดตำแหน่งจนเหล่าซูเปอร์ฮีโรหล่นตุ้บลงไปอยู่อันดับ 2 ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน อดีตแชมป์ที่เคยถูกโค่นจนร่วงหล่นมาอันดับ 2 อย่างหนัง Avatar นั่นเอง

ได้รับการยืนยันจากตาราง Box Office อย่างเป็นทางการแล้วว่า Avatar ที่นำกลับมาฉายใหม่ที่ประเทศจีนในสุดสัปดาห์ที่ 12 มีนาคม 2021 ที่ผ่านมานั้นทำรายได้รวม 21 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 127 ล้านหยวนของจีน ซึ่งตัวเลขนั้นเองไม่ได้มากมายนัก แต่ก็มากพอที่จะพาตัวเองกลับเข้ามาครองบัลลังก์หนังทำเงินสูงสุดในโลกอันดับ 1 ได้อีกหนด้วยรายได้รวม 2,810 ล้านเหรียญสหรัฐ

ปรากฎการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้อย่างไรในยุคสมัยที่ภาพยนตร์และธุรกิจโรงหนังนั้นกำลังอยู่ในภาวะซบเซาจากวิกฤตไวรัสระบาด Unlockmen ขอทำการถอดรหัสความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ครั้งนี้ไปด้วยกัน


จริงอยู่ว่าในช่วง Lockdown ที่ผ่านมา เรามีโอกาสได้ดูหนังเก่ามากมายเพราะสตูดิโอค่ายยักษ์ใหญ่ต่างพากันเลื่อนฉายหนังใหญ่ของตนไปอย่างไม่มีกำหนด ไม่ว่าจะเป็น No Time to Die / Black Widow / The Fast and the Furious 9 ที่เขยิบออกไปจนกว่าประชากรในประเทศนั้น ๆ จะได้รับวัคซีนกันอย่างทั่วถึง

บ้างก็อดรนทนไม่ไหวออกฉายทั้งบนจอใหญ่และสตรีมมิ่ง ไม่ว่าจะเป็นขาใหญ่อย่าง Christopher Nolan ที่เอา Tenet เข้าฉาย หรือ Wonder Woman 1984 และ Mulan ไปจนถึง Godzilla VS Kong ที่เลือกฉายในสตรีมมิ่ง และฉายโรงใหญ่ในบางประเทศ ซึ่งผลลัพธ์ทางรายได้จากการขายตั๋วก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นการกลับคืนสู่สภาวะปกติอย่างสมศักดิ์ศรี

โรงหนังและค่ายหนังจึงงัดกลยุทธ์ขุดหนังเก่ามาฉายเพื่อไม่ให้จอหนังว่างเปล่าและพยุงสภาวะเศรษฐกิจกันฝืดเคืองได้ ไม่ว่าจะเป็น The Dark Knight Trilogy / The Lord of the Rings: Extended Version แต่ก็เป็นเพียงการฉายเพื่อให้โรงหนังมีสีสันเท่านั้น ซึ่งแตกต่างกับ Avatar ที่ดูเหมือนโปรแกรมใหม่ที่มาฉายอย่างเป็นกิจลักษณะ

โดย Jon Landau ผู้อำนวยการสร้าง Avatar กล่าวถึงปรากฏการณ์นี้ว่า

“เราภูมิใจที่ก้าวมาเข้าสู่ความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่นี้ จิม (James Cameron) และผมตื่นเต้นอย่างมากที่หนังเรื่องนี้ได้กลับมาฉายในโรงภาพยนตร์จนเกิดเป็นปรากฏการณ์ เราอยากขอบคุณแฟน ๆ ชาวจีน ที่ให้การสนับสนุน เราจะทำงานอย่างหนักในภาพยนตร์ Avatar ภาคต่อไปและหวังว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างต่อเนื่องกับเรื่องราวมหากาพย์นี้ในอีกหลายปีข้างหน้า”


 

แม้หนังหลายเรื่องกลับมาเข้าฉาย แต่จะมีหนังเรื่องไหนที่ทุ่มงบโปรโมทในแบบจัดเต็มขนาดนี้ โดยทีมการตลาดทุ่มงบโปรโมทหนังเรื่องนี้สูงถึง 58 ล้านหยวน (8.9 ล้านเหรียญสหรัฐ) รวมไปถึงการทุ่มทุนด้วยทำคีย์อาร์ตและสแตนดี้ใหม่ จนเหมือนกับการฉายครั้งแรก พร้อมทั้งทุ่มงบในการซื้อสื่อทั้งสื่อโซเชี่ยลและสื่อทีวีเพื่อกระตุ้นความอยากดู จน Avatar เป็นหนังต่างประเทศเรื่องแรกของปีนี้ที่ทะยานขึ้นสู่อันดับ 1

ไม่ใช่ครั้งแรกที่การทุ่มโปรโมทหนังเก่าจะได้รับผลตอบรับที่ดีเกินคาดแบบนี้ โดยเฉพาะหนังของ James Cameron ก็ถือเป็นเจ้าแห่งการนำหนังกลับมาฉายใหม่ หนังชู้รักเรือล่ม Titanic ก็เคยทำการกลับมาฉายใหม่ถึง 2 ครั้ง ได้แก่ปี 2012 และ 2017 เพื่อตอบรับกับกระแส 3 มิติที่กำลังฮิตในช่วงนั้น หรือ Terminator 2: Judgment Day เองก็กลับมาฉายใหม่ในปี 2017 ในเวอร์ชั่น 3 มิติเช่นกัน

ซึ่งการทุ่มงบโปรโมทของ Avatar นั้นทำให้คนดูไม่รู้สึกว่ามันคือหนังเก่าเข้ามาฉายใหม่ ยิ่งวางหนังตัวอย่างในช่วงเวลาที่ผู้คนเข้าโรงหนังเยอะที่สุดอย่างช่วงตรุษจีนยิ่งกระตุ้นความอยากดูให้กับคนดูหนังอย่างมหาศาลไปในตัว


ในยุคที่คุณสามารถหาดูหนังเก่าๆได้เพียงปลายนิ้วสัมผัสจากสตรีมมิ่ง และนับวันที่ขนาดจอ ความคมชัด และระบบเสียงจากจอทีวี จะใกล้เคียงโรงภาพยนตร์เข้าไปทุกที แน่นอนว่า Avatar เองก็มีอยู่ในจอทีวีบ้านคุณ แต่เหตุผลที่ทุกคนออกจากบ้านแห่มาชมกันในโรงเพราะ Avatar ให้ประสบการณ์ที่จอทีวีบ้านคุณให้ไม่ได้ นั่นคือฉายในระบบ IMAX 3-D นั่นเอง

โดยผู้กำกับ James Cameron กล่าวถึงประสบการณ์อันน่าตื่นเต้นนี้ว่า “ผมมีความสุขที่ Avatar ได้ออกฉายบนจอ 3 มิติประมาณ 20,000 จอในประเทศจีน ซึ่งกว่า 700 จอนั้น เป็นจอ IMAX หนังเรื่องนี้ไม่เพียงสร้างความตื่นตาตื่นใจ แก่ผู้ที่เคยได้สัมผัสได้กลับมาดูซ้ำ แต่ยังเปิดโอกาสให้ผู้ที่ไม่เคยได้ชมในรูปแบบ 3 มิติได้รับชมเป็นครั้งแรกได้ได้สัมผัสอรรถรสบนจอขนาดใหญ่ในรูปแบบ 3 มิติที่เต็มอิ่มเต็มตา ซึ่งเมื่อเทียบกับการฉายครั้งแรกนั้น ประเทศจีนมีโรง IMAX เพียง 14 โรงแค่นั้นเอง”

แน่นอนว่าการกระตุ้นความอยากดูได้สัมผัสรสชาติความแตกต่างจากจอทีวีที่บ้านนั้นไม่เพียงทำให้หนัง Avatar ทำเงินเป็นกอบเป็นกำเท่านั้น แต่โรงหนังยังคึกคักคราคร่ำไปด้วยคนดูหนังที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์อันยิ่งใหญ่นี้ด้วย

ดังนั้นการสร้างความแตกต่างจึงเป็น 1 ในกลไกสำคัญที่ไม่ว่า Product นั้นจะเป็นอะไรก็ตามย่อมสร้างความได้เปรียบและเหนือกว่าคู่แข่งรายอื่นๆอย่างแน่นอน


ระยะเวลา 11 ปี ของ Avatar นับตั้งแต่การฉายครั้งแรกในช่วงปลายปี 2009 ดูจะเป็นช่วงเวลาที่พอดิบพอดีในการกลับมาฉายใหม่ โดยเฉพาะช่วงเวลาที่ปัญหาสิ่งแวดล้อมนั้นยังคงคุกกรุ่น

“ปัญหาของ Climax Change จากการตัดไม้ทำลายป่า นับวันมีจะเข้าขั้นวิกฤตไปทุกที และ Avatar ก็เกี่ยวโยงกับปัญหาสิ่งเหล่านั้น ซึ่งปัญหาเหล่านี้ยังเป็นปัญหาสากลจวบจนปัจจุบัน” 

James Cameron กล่าวถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม ที่ทำให้หนัง Avatar กลายเป็นหนังที่ยังร่วมสมัยและไม่มีวันเก่านั่นเอง

เวลาที่เหมาะสมจึงเป็นอีก 1 ปัจจัยสำคัญในการสร้างความสำเร็จ Avatar จึงไม่ต่างกับไวน์ชั้นดีที่หมักบ่มได้ที่จนละมุนลิ้น หรือเสื้อทัวร์ปีลึกที่ถึงเวลาพอเหมาะในการปล่อย จึงถือเป็นหนังที่มีทั้งความคลาสสิคและความร่วมสมัยในตัว ไม่เก่าจนคนยุคนี้รับไม่ได้ และไม่ใหม่เกินไปจนคนรู้สึกว่าเพิ่งดู

แน่นอนว่า 21 ล้านหยวน นั้นเป็นเพียงตัวเลขในการฉายเพียง 3 วัน อย่างน้อยที่สุดหนังเรื่องนี้ก็อยู่ยืนโรงนานเป็นเดือนซึ่งตัวเลขรวมก็อาจจะทิ้งห่างไปไกลจากอันดับ 2 อีกหลายช่วงตัวแม้จะหลุดโปรแกรมไป แต่ในอนาคตที่หนัง Avatar จะกลับคืนสู่โรงได้อีกครั้งก็ยังมีโอกาส เพราะในขณะนี้ James Cameron กำลังซุ่มทำ Avatar 2-3-4-5 ที่ประเทศนิวซีแลนด์ โดยมีกำหนดฉายคร่าวๆดังต่อไปนี้

Avatar 2 ในวันที่ 16 ธันวาคม 2022
Avatar 3 วันที่ 20 ธันวาคม 2024
Avatar 4 วันที่ 18 ธันวาคม 2026
และ Avatar 5 ในวันที่ 22 ธันวาคม 2028

ซึ่งหมายความว่า มีโอกาสในการสร้างสถิติใหม่ๆเขยิบตัวเลขไปอีก และกระแสความแรงจากจีนนั้น อาจจะผลักดันให้หนังไปสร้างสถิติใหม่ที่ประเทศอื่นได้ในอนาคตอีกด้วย

สิ่งเหล่านี้คือปัจจัยแห่งความสำเร็จที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า Avatar และ James Cameron นั้นได้สร้างปรากฏการณ์ยิ่งใหญ่และทำให้ประสบการณ์แห่งการดูหนังในโรงใหญ่ได้กลับมาอีกครั้ง แต่ที่น่าจะจุดพลุฉลองที่สุดก็น่าจะเป็นสตูดิโออย่าง Disney เพราะ Avatar ก่อนหน้านี้เป็นลิขสิทธิ์ของ Fox แต่ตอนนี้ถูกควบรวมจนเหลือ Disney เจ้าเดียว ดังนั้นใน Top 10 ของหนังทำเงินสูงสุดทั่วโลกตลอดกาล จึงมีหนังของสตูดิโอ Disney ขึ้นแท่นถึง 8 เรื่องด้วยกัน

1. Avatar (2009) – $2,810,779,794*
2. Avengers: Endgame (2019) $2,797,501,328*
3. Titanic (1997) $2,471,754,307*
4. Star Wars: Episode VII – The Force Awakens (2015) $2,068,455,919*
5. Avengers: Infinity War (2018) $2,048,359,754*
6. Jurassic World (2015) $1,670,516,444
7. The Lion King (2019) $1,657,870,986*
8. The Avengers (2012) $1,518,815,515*
9. Furious 7 (2015) $1,515,255,622
10. Frozen II (2019) $1,450,026,933*

หมายเหตุ *เป็นหนังของ Disney Studio
ตัวเลขรายได้ถึงวันที่ 14 มีนาคม 2021

Chaipohn
WRITER: Chaipohn
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line