Entertainment
5 เรื่องไม่ลับของ “CALIFORNICATION” บทเพลงสุดยิ่งใหญ่ของ RED HOT CHILI PEPPERS
By: JEDDY February 20, 2022 211981
Red Hot Chili Peppers ชื่อนี้คงไม่มีใครกล้าปฏิเสธกับตำแหน่ง “วงร็อกระดับโลก” วงดนตรีที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานกว่าเกือบ 40 ปี ออกเดินทางตระเวนเล่นคอนเสิร์ตไปทั่วโลก มีลีลาการเล่นสดที่ถึงพริกถึงขิง สร้างเพลงฮิตด้วยสไตล์ฟังก์ร็อกสุดเท่มาประดับวงการไว้มากมาย และหนึ่งในเพลงที่จะต้องปรากฏในทุก ๆ เซตลิสต์ของทางวงนั่นคือ “Californication” ผลงานจากอัลบั้มที่ 7 ที่ใช้ชื่อเดียวกับเพลงนี้ ออกวางจำหน่ายเมื่อปี 1999
แน่นอนว่าแฟนเพลง RHCP หรือแฟนเพลงร็อกสากลย่อมรู้จักเพลงนี้เป็นอย่างดี แต่รู้หรือไม่ว่า กว่าเพลงนี้จะเสร็จสมบูรณ์จนกลายเป็นเพลงฮิตตลอดกาล เพลง “Californication” มันก็มีเรื่องราวมากมายซ่อนอยู่เบื้องหลังได้อย่างน่าสนใจ
ใครจะไปคาดคิดว่าจริง ๆ แล้วมันเกือบจะไม่มีเพลง “Californication” ออกมาให้ได้ฟังซะแล้ว เนื่องจากในตอนนั้นสมาชิกภายในวงกำลังมีปัญหาเรื่องการทำเพลงด้วยกันอย่างหนัก
ฃตอนแรกทาง Anthony Kiedis นักร้องนำของวงได้เขียนเพลงนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเขามั่นใจมาก ๆ ว่ามันคือเนื้อเพลงที่ดีที่สุดเท่าที่เคยเขียนมาเลย แต่สมาชิกในวงคนอื่น ๆ หาไอเดียการทำดนตรีเพื่อมาใส่เพลงนี้ไม่ถูก ส่งผลให้งานมันค้างอยู่แบบนั้นและมีท่าทีว่าจะเสร็จไม่ทันตามไทม์ไลน์ที่วางเอาไว้ ซึ่งมันหมายความว่าอัลบั้มใหม่ของ RHCP จะไม่มีเพลงนี้รวมอยู่ด้วยนั่นเอง
อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาที่คับขัน ทาง John Frusciante มือกีตาร์ของวงที่เพิ่งกลับมาร่วมวงรอบที่ 2 (แทน Dave Navarro) ก็กลายมาเป็นฮีโร่กอบกู้สถานการณ์ เขาเดินเข้ามาในสตูดิโอพร้อมกับหยิบกีตาร์มาเล่นเพลงนี้ตามจินตนาการที่เกิดขึ้นในหัว และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เพลงนี้ออกมาเสร็จสมบูรณ์ในที่สุด
ในเมือง California หากจะให้พูดถึงอุตสาหกรรมที่สร้างชื่อได้มากที่สุดคงหนีไม่พ้นวงการภาพยนตร์ Hollywood แม้ฉากด้านหน้ามันคือความสวยงาม เป็นสถานที่ชวนฝันและชวนหลงใหล เป็นสถานที่รวมตัวของบรรดานักแสดงชื่อดัง แต่แท้จริงแล้วฉากหลังนั้นเต็มไปด้วยเรื่องราวด้านมืดที่เก็บซ่อนเอาไว้ด้วยเช่นกัน
สิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นสะท้อนออกมาในเนื้อเพลง “Californication” เช่น Harcore Soft Porn หมายถึงวงการหนังโป๊ การทำหนังที่เน้นแต่ฉาก Sex หรือวงการที่มั่วกระจุยกระจาย, “Pay your surgeon very well to break the spell of aging” หมายถึงการจ่ายเงินศัลยกรรมเพื่อชลอวัย (ในยุคนั้นเรื่องนี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับเท่าในปัจจุบัน)
นอกจากนั้นตัวเพลงยังเริ่มต้นเดินเรื่องด้วยการกล่าวถึงเด็กผู้หญิงที่เดินทางมาจากสวีเดนเพื่อมาตามหาความฝันที่จะได้เป็นนักแสดงบนจอเงิน ซึ่งปรากฏในท่อน
“And little girls from Sweden dream of silver screen quotation”
ส่วนท่อนที่น่าจะสรุปทุกอย่างได้ดีคือท่อน “It’s understood that Hollywood sells Californication”
มันแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกของชาว California ว่าตัวตนของเมืองนี้ถูกกลืนกินโดย Hollywood ไปแล้วนั่นเอง
หากใครฟังและสังเกตดี ๆ เราจะได้ยินชื่อของ Kurt Cobain ฟรอนต์แมนของวง Nirvana ผู้ล่วงลับไปแล้วถูกพูดถึงในท่อนเวิร์ส 2 “And Cobain can you hear the spheres singing songs off Station To Station?” ในประโยคนี้ยังได้สอดแทรก David Bowie เข้ามาจากคำว่า “Station To Station” ซึ่งมันคือชื่อเพลงของ David นั่นเอง
ส่วนท่อนที่ต่อจากการพูดถึง Kurt Cobain “And Alderaan’s not far away, it’s Californication” คำว่า “Alderaan” มาจากชื่อดาวเคราะห์ที่อยู่ในภาพยนตร์เรื่อง Star War นอกจากนั้นแล้วยังมีรายละเอียดอื่น ๆ ที่สอดแทรกเข้ามา เช่นคำว่า “Celebrity Skin” มาจากชื่อเพลงของวง Hole (วงของ Courtney Love ภรรยา Kurt Cobain) และ “Good Vibration” มาจากชื่อเพลงของวง Beach Boy
MV เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จะสะท้อนตัวเพลงออกมาได้ดีที่สุด ในช่วงปี 2000 ยังคงเป็นยุคที่เกม Playstation 1 ครองตลาดอยู่ ทางวงกับ Jonathan Dayton และ Valerie Faris ผู้กำกับเลยจัดการหยิบคอนเซปต์การทำ MV นี้เป็นในรูปแบบเดียวกับวิดีโอเกมซะเลย ทำให้ใน MV เราจะได้เห็นสมาชิกวงกลายร่างเป็นตัวการ์ตูนโลดแล่นในเมือง California มีทั้งแอคชั่นแบบขับรถ, เล่นสเก็ตบอร์ด, ขี่แมลงปอ เพื่อผ่านเรื่องราวต่าง ๆ ตามที่เนื้อเพลงได้บรรยายเอาไว้ โดยมีการตัดสลับกับไลน์ซิงค์การเล่นดนตรีของวงด้วยเช่นกัน
ปัจจุบัน MV “Californication” มียอดวิวทางยูทูปใกล้จะครบ 1 พันล้านวิวเข้าไปทุกทีแล้ว
สิ่งที่บ่งบอกความสำเร็จของการทำเพลงได้ดีที่สุดต้องเป็นยอดขาย ด้วยความเพอร์เฟคของเพลง “Californication” กับจังหวะดนตรีที่ถูกออกแบบมาให้เป็นเพลงช้า เมื่อมาเจอกับเมโลดี้ที่ยอดเยี่ยม มันก็ส่งผลให้ตัวเพลงเข้าถึงคนฟังได้อย่างง่ายดาย
เพลงพุ่งขึ้นไปติดอันดับ 1 ในชาร์ตของเมนสตรีมร็อกบิลบอร์ด แถมมันยังทำยอดขายรวมกันทั่วโลกได้มากถึงประมาณ 6.3 ล้านก็อปปี้ เลยทีเดียว (ส่วนอัลบั้มขายได้เกิน 10 ล้านก็อปปี้) มาลองคำนวณเป็นตัวเลขดู บอกได้เลยว่ามูลค่ามหาศาล งานนี้ไม่รวยก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว