เป็นประจำหลักจากจบทุกไตรมาสที่เว็บไซต์ StockX จะรวบรวมรองเท้าสุดแพงที่ได้มีการขายต่อ (resell) กันในตลาดสูงสุด 10 อันดับ ซึ่งถ้าเกิดถามว่าทุกวันนี้ผู้ชายอย่างเรา ๆ นั้นซีเรียสกับราคารองเท้าที่ดีดพุ่งขึ้นไปสูงไม่ เราก็คงคิดว่าไม่ขนาดนั้น เพราะหากมันเป็นคู่ที่หมายปองราคาสูงเท่าไหร่ก็พร้อมทุ่มหมดหน้าตัก เพียงแต่การที่เรานำข้อมูลเหล่านี้มาเปิดเผยก็เพื่อให้ทุกคนได้ทราบราคาตลาดของบรรดารองเท้ารุ่นฮิตต่าง ๆ ว่าแท้จริงแล้วเราจะควรเสียเงินกับมันไปในราคาเท่าไหร่ แม้ในบ้านเราราคา resell รองเท้าจัดว่าถูกกว่าชาวบ้านมาก แต่บางครั้งก็มีพวกหัวหมอลักไก่เอามาขายแพงกว่าราคาปกติ จึงอยากให้ข้อมูลนี้เป็นประโยชน์สำหรับคนที่สะสมรองเท้า ทีนี้ก็มาดู 10 อันดับรองเท้าที่แพงที่สุดในช่วง First Quarter 2018 (1 Jan 2018 – 31 March 2018) อันดับที่ 1 Virgil Abloh x Nike Air Jordan 1 “White” Virgil’s European-exclusive ตามที่คาดการณ์ไว้สำหรับรองเท้า Virgil Abloh x Air Jordan 1 จะกลายเป็นรองเท้าที่แพงสุดในไตรมาสแรก เพราะว่าด้วยชื่อชั้นดีไซน์เนอร์และความหายากของรองเท้าคู่นี้ ทำให้เหล่าสาวกสนีกเกอร์ถึงกับคลั่ง
ถือเป็นครั้งที่ 4 แล้วสำหรับการร่วมงานกันระหว่างศิลปินสตรีทอาร์ทชื่อก้องโลกอย่าง KAWS กับมินิมอลฟาสต์แฟชั่นสุดฮิปจากประเทศญี่ปุ่นอย่าง Uniqo ที่ก่อนหน้านี้ปล่อยคอลเลคชั่น Peanut ออกมาขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เปิดฐานกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ให้กับแบรนด์อย่างน่าเหลือเชื่อ และจากความสำเร็จดังกล่าว น่าจะทำให้ทั้งคู่มองเห็นถึงศักยภาพในการขยับขยายฐานแฟนต่อไป จึงเกิดเป็นคอลเลคชั่น ที่กำลังจะวางจำหน่ายในเร็ววันนี้ นั่นคือ KAWS x Uniqo “Sesame Street” รายการสำหรับเด็กที่โด่งดังมีอายุมากกว่า 40 ปี และผ่านการรับรางวัลมานับไม่ถ้วน เอาใจสาวกการ์ตูนอเมริกันที่หนุ่ม ๆ น่าจะคุ้นเคยกันดี ซึ่งเราจะได้พบกับตัวละครที่คุ้นเคยไม่ว่าจะเป็น Oscar the Grouch, Ernie และ Elmo บนเสื้อยืด UT สีสันสดใสผ่านการดีไซน์ใหม่ใส่ความสตรีทคัลเจอร์ลงไปของ KAWS จึงนับว่าเป็นอีกหนึ่งไอเทมที่หนุ่ม ๆ ไม่ควรพลาดไปเลยทีเดียว ส่วนกำหนดการวางจำหน่ายตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลปิดเผยอย่างเป็นทางการ แต่เชื่อว่าไม่นานเกินรออย่างแน่นอนสำหรับคอลเลคชั่น KAWS x Uniqo “Sesame Street” Fact : KAWS หรือชื่อเต็ม ๆ ว่า Brian
สุภาษิต “รวมกันเราอยู่ แยกหมู่เราตาย” น่าจะเป็นคำพูดที่ใช้บอกเล่าเรื่องที่เรากำลังจะนำเสนอนี้ได้อย่างดีที่สุด เพราะหากใครเป็นนักสเก็ตบอร์ดรุ่นเก่าหน่อยน่าจะเคยได้ยินแบรนด์เสื้อผ้าที่ชื่อว่า Alphanumeric Brand ที่มีสัญลักษณ์ย่อเป็น A# ซึ่งโลดแล่นขายเสื้อผ้าสำหรับไลฟ์สไตล์แบบเอ็กซ์ตรีมไม่ว่าจะเป็น สเก็ตบอร์ด เซิร์ฟ สโนว์บอร์ด และดนตรี ที่ใช้แคมเปญเกี่ยวกับการศึกษามาเป็นคอนเซ็ปต์แบรนด์ในการสื่อสารกับผู้บริโภคช่วงปลายยุค 90s ทว่าทำไปทำมา ช่วงกลางยุคมิลลิเนี่ยม Alphanumeric ก็หยุดการผลิตไปเสียดื้อ ๆ ทำให้หลายคนที่เป็นแฟนของแบรนด์ต่างงงว่าพวกเขาหายไปไหน โดยหลาย ๆ ฝ่ายต่างสันนิษฐานว่าอาจจะเป็นเพราะยอดขายที่ไม่เข้าเป้า บวกกับกระแสแฟชั่นที่สเก็ตบอร์ดไม่ได้ฮิตเปรี้ยงป้างเหมือนเคย ทำให้ A# ต้องปิดตัวลงอย่างน่าเสียดาย แต่แล้วก็มีบริษัทกีฬายักษ์ใหญ่จากอเมริกาอย่าง New Balance ที่ยังคงมองเห็นศักยภาพ พร้อมต้องการเพิ่มไลน์สินค้าใหม่ของตัวเอง โดยใช้ฐานแฟนเดิมของแบรนด์ A# เลยทำการชุบชีวิตแบรนด์นี้ขึ้นมา พร้อมเปลี่ยนชื่อไลน์สินค้านี้ใหม่เป็น “New Balance Numeric” (ปี2013) ที่เจ๋งคือพวกเขาเลือกใช้แต่ผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะตัวแทนจำหน่ายอย่าง Black Box Distribution ที่มีเจ้าของเป็นอดีตนักสเก็ตบอร์ดชื่อดังอย่าง Jamie Thomas ในการกระจายต่อสินค้าและเป็นพันธมิตรกัน ทาง New Balance Numeric (NB#) ยังเลือก Sebastian Palmer อดีตนักสเก็ตเจ้าของแบรนด์ eS มานั่งแท่น
ยังคงอยู่กับควันหลงของงานพระราชพิธีอภิเษกสมรสของเจ้าชายแฮร์รี่และเมแกน มาร์เคิล แม้ทุกสายตาทั่วโลกจะจับจ้องไปที่คู่รักข้าวใหม่ปลามัน หรือบ้างก็ไปโฟกัสที่ David Beckham ชายผู้ขโมยซีนงานแต่งงานนี้ด้วยความหล่อเนี้ยบบนชุด Morning Dress พร้อมรอยสักสุดเท่ ที่ฉีกขนบธรรมเนียมแบบเดิม ๆ ของราชวงค์อังกฤษไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้เขาเป็นแขกเพียงคนเดียวในงานที่มีรอยสักในงานพระราชพิธีนี้ ทว่า UNLOCKMEN กลับอยากเจาะประเด็นเรื่องสไตล์การแต่งตัวของรุ่นใหญ่อย่างเจ้าฟ้าชายชาลส์ พระราชบิดาของเจ้าชายแฮร์รี่ เสียมากกว่า ที่เราเชื่อว่าหนุ่ม ๆ รุ่นใหม่หลายคนอาจจะไม่ค่อยได้เห็นหน้าคาดตากันสักเท่าไหร่ แต่หากไปสืบค้นรูปภาพเก่า ๆ ของท่าน จะพบว่า เนี่ยหละคือต้นแบบของ British Gentleman ตัวจริงเสียงจริงเลยก็ว่าได้ เพราะเสื้อผ้าที่ท่านเลือกสวมใส่ไม่ว่าจะเป็น Formal look หรือ Casual look ล้วนโดดเด่นสง่างามสมกับฐานะของท่านเสียเหลือเกิน ถึงขั้นสื่อหลาย ๆ แห่งต่างยกให้ท่านเป็น No.1 British Style Icon เลยทีเดียว ช่วงราว ๆ ยุค 60-70 เจ้าฟ้าชายแห่งเวลส์ มักจะสวมใส่ที่สะท้อนความร่วมสมัย แม้แต่ Christopher Bailey ครีเอทีฟของห้องเสื้อ
ย้อนกลับเมื่อปีที่ผ่านมา Nike ได้ปล่อยเทคโนโลยีใหม่เนื่องในวัน Air Max Day นั่นคือ Full-length Air sole หรือชุดพื้น Air Unit แบบเต็มแผ่นที่หน้าตาประหลาดกว่า Air Max รุ่นที่ผ่าน ๆ มา จนกระทั่งออกมาเป็น Nike Vapormax สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับวงการรองเท้าอย่างมาก ดีไซน์ของ Nike Vapormax ถือว่ามีการผสมผสานที่ลงตัวลงตัวระหว่างรองเท้า lifestyle & performance จึงไม่น่าแปลกใจหากว่าโมเดลนี้จะถูกนำไปใช้ในเชิงแฟชั่นอย่างคอลเลคชั่นของ Rei Kawakubo จาก COMMÉ des GARÇONS หรืองาน collaboration ระหว่าง Nike และ Virgil Abloh ก็ยังมีรองเท้า Vapormax อยู่ด้วย แถมขายดีชนิด sold out ตลอดอีกด้วย ซึ่งแม้แต่เราเองก็ยังรู้สึกชื่นชอบรองเท้าโมเดลนี้เช่นกัน เพราะมันสามารถนำมามิกซ์แอนด์แมทช์กับทุกลุคได้อย่างลงตัวไม่ว่าจะเป็น sport, casual
เราเชื่อว่าเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา Facebook แต่ละคน คงจะเต็มไปด้วยฟีดข่าวงานอภิเษกสมรสของรัชทายาทลำดับที่ 6 แห่งราชวงค์วินเซอร์อังกฤษ ระหว่าง เจ้าชายแฮร์รี่ และ เมแกน มาร์เคิล ซึ่งทั้งสองได้รับบรรดาศักดิ์พระราชทาน ให้เป็นดยุกและดัชเชสแห่งซัสเส็กซ์หลังจากเสร็จพิธียิ่งใหญ่นี้ ท่ามกลางการติดตามจากผู้คนหลายล้านคนทั่วโลก ประเด็นที่น่าสนใจซึ่ง UNLOCKMEN จะหยิบยกมาพูดถึงในวันนี้ คือเรื่องเครื่องแต่งกายที่บรรดาแขกผู้ชายทั้งหลายนำมาใส่ร่วมพระราชพิธีช่วงเช้า ซึ่งเราเชื่อว่าน่าจะเป็นเครื่องแบบที่ไม่ได้เห็นบ่อยนัก สำหรับเครื่องแบบที่บรรดาแขกคนดังในงานล้วนนำมาสวมใส่นั่นเรียกว่า “Morning Dress” ถูกจัดเป็นเครื่องแบบสำคัญ ที่จะถูกใช้ในงานสำคัญราชวงค์ หรือวันพิเศษของหนุ่ม ๆ เมืองผู้ดี ซึ่งจากชื่อก็น่าจะทำให้เราพอเดาได้ว่า เวลาไหนถึงเหมาะจะสวมใส่เครื่องแต่งกายนี้ ทว่า Morning Dress ยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจอีกเพียบ ประวัติของ Morning Dress ถือว่ามีมายาวนานพอสมควร ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 (ค.ศ.1801 – ค.ศ. 1900) ซึ่งมันเป็นเครื่องแบบให้หนุ่ม ๆ ใช้ขี่ม้า ส่วนมากจะทำมาจากขนสัตว์ มักเป็นเสื้อกระดุมแถวเดียว ปกเป็นมุมแหลม ชายเสื้อด้านหน้าตัดเป็นแนวโค้งเรียวไล่ไปยังหลังเข่า ต้องใส่แบบ Full Dress ร่วมกับเสื้อกั๊กและกางเกงขายาวลายทางในเวลากลางวัน สำหรับคนที่จะมีโอกาสได้สวมใส่ Morning Dress ล้วนต้องมีหน้าที่การงานที่ได้รับการเคารพนับถือ อย่างเช่น ทนายความ
เป็นฤดูกาลที่สามสำหรับการทำงานร่วมกันระหว่าง adidas Originals และ Alexander Wang เพื่อสร้างสรรค์คอลเลคชันเสื้อผ้าและรองเท้า ซึ่งจะมีวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคมนี้เป็นต้นไป ในบูติกแฟลกชิพของ Alexander Wang และ adidas Originals และทางเว็บไซต์ของทั้งสองแบรนด์ โดยคอลเลคชันนี้ Alexander Wang หยิบแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากข้อผิดพลาดในขั้นตอนของการผลิต และความไม่ต่อเนื่องสอดคล้องกันในกระบวนการผลิตของโรงงานมาใช้ โดยหยิบเอาข้อผิดพลาดเหล่านี้มาเป็นจุดเริ่มต้นในการทำงานออกแบบสำหรับคอลเลคชันนี้ ลายกราฟิกพิกเซล ลายพิมพ์ที่ไม่สม่ำเสมอ และผ้าที่มีความยับย่น ซึ่งมักจะเป็นเหตุผลของการถูกคัดแยกออกไป กลายเป็นความสมบูรณ์แบบชนิดใหม่ที่น่าสนใจยิ่งกว่าที่เคย สำหรับ Drop 2 ของคอลเลคชันนำแรงบันดาลใจจากงานเวิร์คแวร์มาสร้างสรรค์เสื้อผ้าที่สวมใส่ง่ายทว่ามีรายละเอียดที่น่าตื่นเต้น เช่น การใส่ลวดลายพิกเซลที่จริง ๆ แล้วเป็นคำอธิบายวิธีใช้ เช่น “หมายเหตุ: โปรดอย่าดึงออก” ทั้งในภาษาอังกฤษและภาษาเยอรมัน คำอธิบายเหล่านี้ถูกพิมพ์ไว้อย่างไม่เป็นระเบียบทั้งบนกางเกง เสื้อยืด และแจ็คเก็ต เสื้อ AW Crew และกางเกง AW Joggers ชุดสปอร์ตแวร์ถูกนำเสนอด้วยเนื้อผ้าพีเคสีดำสนิท ใส่ดีเทลทำให้ดูมีความร่วมสมัย เสื้อแจ็คเก็ต AW Crop TT
อาดิดาส รันนิ่ง เปิดตัวรองเท้าวิ่งรุ่นใหม่ล่าสุด “โซลาร์บูสท์ (SolarBOOST)” สำหรับผู้ที่ต้องการประสิทธิภาพในการใช้งาน ความนุ่มสบาย และการคืนพลังในขณะวิ่งได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โซลาร์บูสท์ คือรองเท้าวิ่งที่สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อการใช้งานเป็นหลัก โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากวิศวกรรมศาสตร์ของนาซ่า และเทคโนโลยีที่ดีที่สุดของอาดิดาส จึงทำให้ โซลาร์บูสท์ เป็นรองเท้าวิ่งที่มีความเบา มีการใช้เทคโนโลยี Tailored Fibre Placement ในการจัดวางเส้นใย ซึ่งเป็นวัสดุจากพาร์ลี่ย์ (Parley) อีกทั้งยังมีการตัดเย็บและนำมาประกอบอย่างสมบูรณ์แบบในทุกตารางมิลลิเมตร จนได้ออกมาเป็นรองเท้าที่มีทั้งความนุ่มสบาย ความกระชับ และการซัพพอร์ตที่เหนือกว่า แถมยังมีน้ำหนักเบา ทำให้นักวิ่งสามารถเคลื่อนตัวได้อย่างมั่นใจ ไม่ว่าจะใช้ความเร็วในการวิ่งหรือวิ่งในระยะทางในระดับไหนก็ตาม ความมั่นใจถือเป็นเบื้องหลังในการสร้างสรรค์รองเท้าวิ่งรุ่นใหม่ เนื่องจากนักวิ่งโดยส่วนมากมักจะออกไปวิ่งเพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นในตัวเองในหลายๆ ด้านของชีวิต ด้วยเหตุนี้ โซลาร์บูสท์ จึงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเติมเต็มความมั่นใจให้กับนักวิ่งด้วยการใช้เทคโนโลยีสุดล้ำสมัย ถูกออกแบบตามหลักการเดียวกับการสร้างกระสวยอวกาศที่องค์ประกอบแต่ละส่วนล้วนมีความสำคัญในตัวของมันเอง โดยในแต่ละส่วนประกอบของ โซลาร์บูสท์นั้นมีส่วนช่วยในการยกระดับประสิทธิภาพในการวิ่ง ไม่ว่าจะเป็นน้ำหนักที่เบาเพียง 295 กรัม ซึ่งถือว่าเบากว่า เอเนอจี้บูสท์ ถึง 15 กรัม แต่ยังคงรักษามาตรฐานในการรองรับแรงกระแทกและการคืนพลังในระดับเดียวกัน นอกเหนือจากนี้ โซลาร์บูสท์ ยังผ่านการทดสอบการใช้งานจริงโดยเหล่านักวิ่งของกลุ่มอาดิดาส รันเนอร์ส ตามหัวเมืองหลักจากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งในแต่ละที่ก็จะมีสภาพอากาศที่หลากหลายและแตกต่างออกไปอย่างชัดเจน สำหรับคุณสมบัติพิเศษของรองเท้าวิ่ง โซลาร์บูสท์
เราเชื่อว่าหนุ่ม ๆ ทุกคนล้วนอยากจะครอบครองเรือนเวลาสุดหรู อย่าง Rolex หรือ Patek Phillippe ไว้สักเรือน เพราะตลอดมานาฬิกาข้อมือเปรียบดังเครื่องบ่งบอกฐานะ อีกทั้งยังสามารถเล่าเรื่องผ่านทางสิ่งประดับบนข้อมือของคุณได้ จนมันกลายเป็นของเล่นของผู้ชายที่มากกว่าเครื่องไว้ใช้เพียงแค่บอกเวลาเท่านั้น และเมื่อพูดนาฬิกาข้อมือคุณภาพสูง เรามักจะพุ่งเป้าไปที่นาฬิกาจาก SWISS MADE ที่เป็นแหล่งกำเนิดของแบรนด์ดังมากมาย อาทิ Corum, Ebel, Omega, Rolex, Movado, Brietling ซึ่งพวกเขาถึงกับมีหุบเขานาฬิกา (Watch Valley) สำหรับประกอบนาฬิกาหรูอยู่ที่นั่นโดยเฉพาะ ทำไมต้องสวิตเซอร์แลนด์? แม้ว่าสวิตเซอร์แลนด์จะไม่ใช่ประเทศแรกในโลกที่ประกอบนาฬิกาขึ้นมา แต่พวกเขาเรียกได้ว่าเป็นเจ้าแห่งนาฬิกาอันดับหนึ่งของโลกอย่างแท้จริง ซึ่งมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน จุดเด่นของนาฬิกา SWISS MADE คือความประณีตในการประกอบชิ้นส่วน พร้อมเทคนิคตกแต่งที่ผ่านการฝึกปรือมาจากช่างผู้เชี่ยวชาญอย่างดี โดยเรื่องมันเกิดจากที่ว่านาย Jean Calvin มาเปลี่ยนวิธีคิดออกกฎระเบียบให้ชาวสวิตเซอร์แลนด์ ห้ามแสดงออกซึ่งความร่ำรวยใด ๆ ส่งผลให้นักทำเครื่องประดับอัญมณี ต้องหนีมาประดิษฐ์นาฬิกาแทน ดังนั้นจึงเป็นเห็นผลว่าทำไมนาฬิกาจากสวิตเซอร์แลนด์ถึงมีความสวยงามเป็นเครื่องประดับมากกว่าใช้บอกเวลาเท่านั้น เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ที่แม้จะมีการประกอบนาฬิกามาก่อนพวกเขา อีกทั้ง Abraham-Louis Breguet ช่างนาฬิการะดับครูของประเทศได้พัฒนาชิ้นส่วนกลไกสำหรับฟังก์ชันใหม่ ๆ ออกมามากมาย อย่างเช่น
ยิ่งใกล้เทศกาลฟุตบอลโลกเข้ามาเท่าไหร่ บรรดาแบรนด์แฟชั่นต่าง ๆ ก็อยากที่จะเกาะกระแสสร้าง capsule collection ออกมาเพื่อต้อนรับมหกรรมกีฬาแห่งมวลมนุษย์ที่ได้รับความสนใจมากที่สุด เพราะความพิเศษของฟุตบอลโลกคือ 4 ปีถึงจะมีหน ทำให้ทุกคนต่างเฝ้าคอยช่วงเวลาแห่งความสนุกนี้ สำหรับแบรนด์ที่ขยับตัวก่อน ปล่อยสินค้าไอเทมออกมารับกระแสบอลโลกที่กำลังจะจัดขึ้นประเทศรัสเซีย คือโอกูตูร์ชื่อดังอย่าง Louis Vuitton ซึ่งเคยเนรมิตกระเป๋าเดินทางไฮเอนด์ในช่วง World Cup ปี 2010 โดยในปีนี้ Louis Vuitton ยังคงได้เอกสิทธิ์จากทาง FIFA ให้ผลิตคอลเลคชั่นกระเป๋าสุดพรีเมี่ยมอีกครั้ง Louis Vuitton x FIFA จะประกอบไปด้วยกระเป๋าเป้ Apollo พร้อมกระเป๋าใส่เอกสารและกระเป๋าสตางค์ชุดเดียวกันที่ได้แรงบันดาลใจมาจากลูกบอลที่ใช้แข่งขันในปี 1970 พร้อมพิเศษสุด ๆ กับ made-to-order สั่งทำกระเป๋า Keepall ที่เราสามารถเลือกสี tri-color ธงชาติได้เองกว่า 35 แบบ หนุ่มคนไหนที่สนใจอยากจะมีกระเป๋าสุดพิเศษเหล่านี้ไว้ใช้แบบไม่ซ้ำใคร ก็สามารถเข้าไปสั่งซื้อได้ทาง ออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน ไปจนถึง 15 กรกฎาคมนี้
เมื่อเอ่ยถึง Tom Ford หลายคนอาจรู้จักในฐานะของชื่อแบรนด์ไฮแฟชั่นสุดหรู แต่ถ้าเป็นคอแฟชั่นสายลึกคงรู้ซึ้งถึงกิตติศัพท์ความเก๋าของชายที่ชื่อว่า Tom Ford คนนี้เป็นอย่างดี กับการเป็นดีไซเนอร์มากฝีมือผู้เข้ามากอบกู้ Gucci แบรนด์ดังจากอิตาลีที่กำลังอยู่ในสภาพร่อแร่ใกล้ล้มละลายให้กลับมาเป็นหนึ่งในแบรนด์มหาอำนาจทางแฟชั่นในปัจจุบัน ก่อนที่จะแยกตัวออกมาปลุกปั้นแบรนด์ Tom Ford ของตัวเองให้ผงาดขึ้นมาฉายแสงในยุทธจักรแฟชั่น ไม่ต่างจากที่เคยฝากฝีไม้ลายมือในการพลิกฟื้นแบรนด์ Gucci มาก่อน นอกจากนี้ Tom Ford ยังไม่ได้หยุดความสามารถในการสร้างสรรค์ของเขาเอาไว้แค่การเป็นดีไซเนอร์เท่านั้น แต่เขายังก้าวข้ามจากวงการแฟชั่นมาสู่เส้นทางของแผ่นฟิล์ม และแค่ผลงานการกำกับภาพยนตร์ชิ้นแรกของเขาก็ได้ส่งให้นักแสดงนำชายในเรื่องถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์มาแล้ว ซึ่งการที่ใครหลายคนยกให้ Tom Ford เป็นอีกหนึ่งในศิลปินที่ประสบความสำเร็จในศตวรรษนี้ก็คงจะไม่เป็นคำกล่าวที่เกินไปนัก ด้วยพลังสร้างสรรค์อันโดดเด่นของเขา ที่เราเชื่อว่าจะสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครอีกหลายคนได้เป็นอย่างดี เราจึงอยากนำชาว UNLOCKMEN ทุกท่านไปรู้จักกับเขาให้มากกว่านี้ ย้อนไปตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคม ปี 1961 ซึ่งเป็นวันที่ Thomas Carlyle Ford หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ Tom Ford ได้ถือกำเนิดขึ้นมาที่ รัฐ Texas โดยเขาได้เล่าถึงความสนใจในเรื่องของศิลปะ การออกแบบ และงานดีไซน์ ที่มีมาตั้งแต่วัยเด็กว่า “อย่าเพิ่งคิดภาพผมในวัย 5 ขวบกำลังนั่งร่างแบบเสื้อผ้าเวลาที่พ่อแม่ไม่อยู่หรืออะไรแบบนั้น แต่ในทุกครั้งที่พวกเขาไม่อยู่บ้าน
มีหนังสือสมัยนี้หลายเล่มที่มักเขียนว่าไม่ต้องเรียนจบก็รวยได้ แต่นั่นเป็นเพียงคำพูดเท่ ๆ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่ไม่มีวุฒิการศึกษาแล้วประสบความสำเร็จในชีวิตเหมือน Steve Jobs หรือ Bill Gates ยิ่งสำหรับในประเทศไทยที่ค่อนข้างถือเรื่องวุฒิการศึกษาสำคัญเหนือสิ่งใด การที่เราไม่ได้เป็นคนอัจฉริยะระดับเดียวกับคนเหล่านั้น จึงจำเป็นจะต้องขยันหมั่นเพียรทำงานหนักเพื่อที่จะก้าวไปอยู่ในระดับเดียวกับพวกเขา แต่ทว่าวันนี้ UNLOCKMEN ได้นำเรื่องราวของเจ้าพ่ออาณาจักรแฟชั่น Cult Clothing ผู้อยู่เบื้องหลังแบรนด์เสื้อผ้าระดับโลกอย่าง Superdry ซึ่งมีหัวเรือใหญ่อย่าง Julian Dunkerton ที่ตัดสินใจหันหลังให้กับการศึกษาตั้งแต่อายุ 19 และเริ่มต้นธุรกิจของตัวเอง มาเพื่อเป็นแรงบันดาลใจสำหรับคนที่อาจจะมีแต้มเป็นรองคนอื่นให้รู้สึกอยากลุกขึ้นมาฮึดสู้กับชีวิต ย้อนกลับไป Julian Dunkerton ต้องเดินทางไปอยู่ที่ Hereforshire เนื่องจากครอบครัวแยกทางกัน ซึ่งเขาลงวิชาผิดไปหมดเลือกเรียน ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ที่ตัวเขาเองไม่ได้มีความถนัดเลย สุดท้ายก็สอบตกไปตามระเบียบ เกรดของ Julian นับว่าแย่มาก จนเขาคิดว่าหนทางสู่การเรียนต่อมหาวิทยาลัยได้จบลงไปเรียบร้อย เขาจึงใช้เวลาหลังจากเรียนจบไฮสคูลเดินทางไปทำงานยังโรงงานและฟาร์มเพราะหวังว่าจะใช้เก็บเงินก้อนนี้ในการเดินทางท่องเที่ยว ที่นั่นเองที่ Julian ได้พบกับชายคนหนึ่งที่ทำงานขายพรม ซึ่งถือเป็นแรงบันดาลใจให้เขาเริ่มต้นขายเสื้อผ้าของตัวเอง Julian ต้องเดินทางไปรับเสื้อผ้าจาก London เพื่อมาขายต่อ เขามองช่องทางหาเงินโดยการเข้าร่วมโปรแกรมท้องถิ่นที่ชื่อว่า Allowance Scheme ที่จะมอบเงินให้กับคนตกงาน โดย