ก่อนจะเริ่มลงมือเขียนบทและถ่ายทำ John Wick ภาคแรก ทีมผู้สร้างและผู้กำกับ Chad Stahelski ไม่ได้แพลนล่วงหน้าไว้ว่ากระแสจะดีจัด จน John Wick กลายเป็นหนัง Francise ที่สานต่อไปทั้งภาพยนตร์ภาคต่อ และเตรียมลงเจอซีรีย์แบบทุกวันนี้ วันนี้เรามีข่าวดีสำหรับแฟน Keanu Reeves และ John Wick มาฝาก เกี่ยวกับข่าวความคืบหน้าของ John Wick Chapter 3 กับเนื้อหาที่คาดว่าจะเฉลยทุกที่มา และสงครามการต่อสู้ที่มีระดับใหญ่โตขึ้นมากกว่าแค่การถล่มแกงค์เจ้าพ่อ ล้างแค้นให้ลูกหมาและบ้านหลังงามแบบที่ผ่านมา สำหรับ John Wick Chapter 3 มีการพูดคุยกับผู้กำกับและตัว Keanu Reeves เองในการสัมภาษณ์ที่แยกกัน แต่เราได้ทำการสรุปรวมมาให้เห็นภาพใหญ่กันง่ายขึ้น โดยในภาคล่าสุดที่กำลังจะเปิดกองถ่ายทำกันราวเดือนหน้า จะเป็นเรื่องราวต่อจากการทำผิดกฎ Wick จึงกลายเป็นเป้าหมายของนักฆ่าจากทั้งองค์กร Continental ต้องหาทางหนีออกจากเมือง New York ซึ่งก็พอจะเห็นภาพการต่อสู้ที่ยกระดับกว่าเดิมได้พอสมควร แต่ที่การันตีความเดือดกว่านั้น มาจากคำบอกเล่าของ Chad Stahelski เผยในบทสัมภาษณ์กับ The Independent ก่อนหน้านี้ว่า สงครามของ Wick
เวลาเราพูดถึงการดูหนัง ผู้ชายอย่างเรามักนึกถึงแต่ความบันเทิงเท่านั้น ทำให้ผู้ชายจริงจังหลายคนรู้สึกว่าการเสียเวลาไปกับความบันเทิงเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ภาพยนตร์มีแต่เรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงจริงเหรอวะ? คำตอบก็คือไม่ โลกยังเต็มไปด้วยภาพยนตร์ที่อิงความจริงอีกนับไม่ถ้วน แต่ถ้ารู้สึกว่าจริงไม่พอ UNLOCKMEN ขอเปิดโลกภาพยนตร์แบบที่ยังไม่เป็นที่นิยมมากนักในไทย (แต่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ) นั่นก็คือ “โลกของหนังสารคดี” ถ้าไม่รู้จะเริ่มตรงไหนเราอาสาพาเข้าสู่โลกแห่งความจริงจัง แต่ก็จัดจ้าน จี๊ดจ๊าดด้วยหนังสารคดี 7 เรื่องที่เคยฉายในไทยโดย Documentary Club มาแล้ว และหา DVD หาดูได้ไม่ยาก CITIZENFOUR แฉกระฉ่อนโลก CITIZENFOUR เป็นหนังรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์สารคดียอดเยี่ยมประจำปี 2015 นอกจากรางวัลการันตีแล้วเราก็รับรองได้เลยว่า CITIZENFOUR จะทำให้ผู้ชายอย่างเรารู้สึกสั่นสะเทือนกับนโยบายลับ ๆ ของรัฐที่เป็นเงาครอบคลุมชีวิตเราโดยไม่รู้ตัว โดย CITIZENFOUR จะทำหน้าที่เปิดโปงนโยบายลับที่ว่านั้นซึ่งนับเป็นการเปิดโปงที่ส่งผลสั่นสะเทือนไปทั้งโลกอย่างยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ ความระทึกขวัญในหนังเรื่องนี้จะพาเรานั่งไม่ติด และนั่งไม่ติดยิ่งกว่าเพราะมันไม่ใช่หนังแต่เป็นเรื่องจริง ! ถ้าอยากสัมผัสการเปิดโปง การต่อสู้กับรัฐ การดักฟังของรัฐ ด้วยบรรยากาศสมจริง (ก็จริงสิ เพราะมันคือเรื่องจริง) เราก็บอกเลยว่าห้ามพลาด The Wolfpack หมาป่าคอนกรีต นี่คือเรื่องราวของ 6 พี่น้องอังกูโล เรื่องย่อทั้งหมดของหนังมันมีแค่นี้จริง
หากใครได้ชมหนังซุปเปอร์ฮีโร่ที่กำลังฉายอยู่ในขณะนี้อย่าง Black Panther คงจะได้เห็นฉากการไล่ล่าผู้ร้ายในเกาหลีของตัวเอก T’Challa ที่รับบทโดย Chadwick Boseman ไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเราจะไม่สปอยล์หนังให้เสียอรรถรสไปมากกว่านี้ ทว่าหากใครสังเกตรถสปอร์ตสีน้ำเงินที่ T’Challa ใช้ในการไล่ล่าแล้วรู้สึกสงสัยว่าเป็นรถยนต์ยี่ห้ออะไรกัน ทำไมมันถึงเท่จัง ทำไมมันเท่กว่าชาวบ้านชาวช่อง เราขอเฉลยให้กระจ่างว่ารถคันนั้นคือ Lexus LC 500 ซุปเปอร์คาร์สุดพรีเมี่ยมจาก Lexus นั่นเอง โดยวันนี้ UNLOCKMEN จะมาแนะนำรถคันนี้แบบเจาะลึกถึงรายละเอียด Lexus LC 500 เริ่มต้นตัวต้นแบบอย่าง LF-LC ซึ่งเปิดตัวในงาน Detroit Autoshow เมื่อปี 2012 ด้วยรูปลักษณ์เส้นสายที่มีมาจาก LFA ซุปเปอร์คาร์ชื่อดังในอดีตโดยทีมออกแบบอย่าง Calty Design ทำให้ LF-LC ได้รับความสนใจมากพอสมควร จนได้ชื่อว่าจะเป็นตัวตายตัวแทนถัดไปของ LFA ด้วยกระแสตอบรับระดับดีมากนั้นทำให้ทาง Lexus อนุมัติไฟเขียวให้เริ่มการพัฒนาจากรถต้นแบบเพื่อผลิตวางจำหน่ายใช้งานจริง จนได้ LC 500 ที่มีดีไซน์ไม่ต่างจากตัวต้นแบบอย่าง LF-LC มากนัก ซึ่ง
เพิ่งจบงานออสการ์ไปหมาด ๆ คอหนังคงมีทอปิกไว้คุยกับเพื่อนแบบคอแห้งกับรางวัลนู้นนี้ที่เพิ่งประกาศไป ถูกใจบ้าง ไม่ถูกใจบ้างก็ว่ากันไป แต่นั่นแหละ เราอาจจะดูหนังดี หนังรางวัลกันจนเบื่อแล้ว วันนี้ UNLOCKMEN จะชวนมาดูหนังบันเทิงหมวดแอ็คชั่น ยิง วิ่ง วนไป แบบไม่ต้องคิดอะไรเยอะ ไม่อิงคะแนน IMDB หรือเว็บมะเขือเทศให้ปวดหัว ดูเอาบันเทิง เอามันส์ ฟีลดูหนังอาหลองยิงต้นไม้ร้อยนัด โดนคนนัดเดียวแบบเฉี่ยว ๆ อะไรทำนองนั้น อย่าเพิ่งโหวกเหวกโวยวายว่า เฮ้ย ! หนังนั้นหนังนี้ที่โคตรมัน ทำไมไม่ติดอะ ใจเย็น! หนังดังมันมีแนะนำเยอะแล้วไง ลองเปลี่ยนมู้ดมาเป็นหนังที่ไม่เปรี้ยงดูบ้าง (แต่คอหนังอาจคุ้นเคยกันมาบ้างแล้ว) ไม่งั้นมันก็ซ้ำ ๆ เดิม ๆ เหมือนกันไปหมดน่ะสิ FROM PARIS WITH LOVE (2010) เห็นปกก็อาจจะพอนึกภาพออกแล้ว หนังคู่หูทีไร แน่นอนว่าคนนึงจะเป็นชาวหัวร้อนสายบู๊ อีกคนต้องเป็นมันสมองสายบุ๋น และสองคนนี้ก็เป็นแบบนั้นไม่พลิกโผอะไร เนื้อเรื่องก็ทั่วไป เจ้าหน้าที่คู่หูหยุดการก่อการร้าย แต่สิ่งที่เจ๋งคือ ความฮา ที่มาในรูปแบบตลกร้ายจิกกัดฝรั่งเศสและอเมริกา ทั้งฮาแบบจิกกัด ฮาแบบบ้าน
“เราจะไม่พยายามบอกใครว่ารักผมเถอะครับหรือแบบชอบงานผมหน่อยนะ” คือคำพูดที่ “เต๋อ-นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์” ผู้กำกับหนุ่มบอกกับเรา จึงไม่น่าแปลกใจที่งานกำกับทุกชิ้นของเขาออกมามีอัตลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เรียกร้องให้ใครมารัก แต่ใครหลาย ๆ คนก็ตกหลุมรักกันไปแบบไม่ทันตั้งตัวแล้ว ในโลกของผู้กำกับอย่างนวพลที่ไม่ได้เอาจำนวนผู้ชมมหาศาลเป็นตัวชี้วัดว่าหนังตัวเองประสบความสำเร็จหรือเปล่า แต่กลับใช้ความรักในสิ่งที่ทำ ความเป็นตัวของตัวเองและขอแค่คนจำนวนเพียงไม่มากที่เชื่อมโยงถึงกันได้เป็นตัวบ่งบอก UNLOCKMEN ว่าโคตรน่าสนใจ เราถือโอกาสแห่งความน่าสนใจนี้ชวนเขามาพูดคุยกัน พร้อมโปรเจ็กต์ใหม่ที่ทำร่วมกับเบิร์ด ธงไชย แมคอินไตยที่นวพลถึงกับออกปากว่า “เหมือนได้เจอเทพเจ้า” วินาทีแรกที่อยากเป็นผู้กำกับ? มันมีวินาทีนั้นอยู่จริงไหม หรือไม่ได้คิดอะไรอยู่ ๆ ก็เป็นขึ้นมาเอง มันน่าจะมีวินาทีนั้นที่อยากเป็นผู้กำกับอยู่นะ แต่คิดว่ามันน่าจะค่อย ๆ เกิดมากกว่า เพราะตอนแรกหมายถึงสมัยก่อน เด็ก ๆ เลยอยากวาดการ์ตูน แต่ว่าก็ลองแล้วมันก็ไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่ เพราะเราไม่เก่งเท่าเพื่อน แล้วมันก็เริ่มดูหนังมากขึ้น เราก็เลยรู้สึกว่าหนังมันอาจจะตอบสนองสิ่งที่เราอยากเล่าได้มากกว่า แต่ตอนเด็ก ๆ มันก็ไม่ได้รู้ว่ามันเป็นภาพและเสียงอะไรหรอก มันเป็นแค่แบบ รู้สึกว่า หนังมันเหมือนเอาจินตนาการมาทำให้เกิดขึ้นจริงบนจอ แล้วเรารู้สึกว่าเราอยากทำอะไรแบบนั้นมากกว่าวาดการ์ตูน สำหรับเราหนังมันไปได้ตรงความต้องการกว่าการวาดการ์ตูน ไปได้ไกลกว่า ตอบสนองสิ่งที่เราอยากเล่าได้จริง ๆ เราโตมากับยุคพวก CG หนังแบบจูราสิคพาร์คภาคหนึ่งเลยมั้ง มันเลยตื่นตาตื่นใจ ก็เลยรู้สึกว่าค่อย ๆ เริ่มอยาก และก็เริ่มคราวนั้น จากนั้นก็เริ่มดูหนังมาเรื่อย
เกมหลายเกมประสบความสำเร็จแบบเปรี้ยงปร้างชนิดฉุดหยุดไม่อยู่ จนบางคนเห็นช่องทางของเม็ดเงินพรั่งพรูจึงหยิบจับนำมาสร้างเป็นหนัง หวังว่าจะได้กอบโกยเงินจากทั้งฝั่งแฟนเกมและแฟนหนัง แต่ดันไปไม่ถึงฝันเมื่อเข็นหนังออกมาสู่จอเงิน เสียงตอบรับกลายเป็นเสียงด่ากราดรัว ๆ แทน ใช่ว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นครั้งเดียว มันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก UNLOCKMEN ขอรวบรวมความวายป่วงของหนังที่สร้างจากเกมแล้วแป้กแบบไม่น่าให้อภัย เอาไว้ไปพิสูจน์กันว่ามันห่วยจริงอย่างที่เขาว่ากันมั้ย Street Fighter จากเกมขวัญใจหนุ่ม ๆ วัยเก๋า แต่กลับกลายเป็นหนังที่เชยระเบิดระเบ้อ ความเชยมากน้อยแค่ไหนดูได้จากโปสเตอร์ โดยกวาดคะแนนจาก IMDB ไปถึง 3.8/10 เสียงจากคนที่ใจแข็งกล้าดูเรื่องนี้ ส่วนใหญ่มักจะบ่นเรื่องความไม่ตรงกับเนื้อเรื่องของเกมเลย บวกกับความโอเวอร์แอคติ้งของนักแสดง ที่ให้ร้อยเล่นล้านแบบไม่กั๊กจนมันดูล้น ไม่รู้ว่ากล้าใช้ชื่อออกมาเป็นแฟรนไชน์ของเกมได้ยังไง แต่ก็โดนแฟนเกมนี้ถล่มไปไม่น้อยเช่นกัน Silent Hill มาต่อกันที่อีกความวายป่วง แม้ว่ากระแสจะไม่แย่เท่าเรื่องข้างบน แต่ก็ไม่ได้เป็นที่รักของแฟนเกมมากนัก ด้วยเนื้อเรื่องที่ออกจะไม่สมเหตุสมผล ทั้งที่เนื้อเรื่องมันควรจะเป็นหนัง Horror แต่ความไม่เมกเซนส์กลับทำให้กลายเป็นหนังที่มีจุดบอดเยอะเกินไป จนไม่อินกับความ Horror ของมันเลยสักนิด Mortal Kombat เห็นเรื่องอื่นทำออกมาไม่เหมือนต้นฉบับแล้วโดนจวกยับไปแล้ว มาต่อกันที่เรื่องนี้ คะแนนจาก IMDB 5.8/10 หนังที่พยายามเอาทุกดีเทลมาจากเกม แต่กลายเป็นว่ามันไม่เข้ากันอย่างแรง ทั้งโลเคชั่น ไปยันท่าเต้นต๊อง ๆ ของตัวละคร ที่แฟน ๆ รับไม่ได้
ขอยกให้เป็น Blockbuster ของต้นปี 2018 เลยสำหรับ Black Panther เรื่องราวซุปเปอร์ฮีโร่คนใหม่อย่าง T’Challa เจ้าชายแห่งอาณาจักร Wakanda กับการก้าวขึ้นมาเป็นราชาคนใหม่แทนพ่อที่ถูกลอบสังหาร ขณะเดียวกันเขาก็ต้องป้องกันการรุกรานจากศัตรูภายนอกรวมถึงความขัดแย้งในบ้านเกิดไปพร้อม ๆ กัน ไม่ใช่แค่พล็อตเรื่อง และ Visual Effect ที่น่าสนใจ Black Panther ยังแอบแฝงไปด้วยแนวคิด “AFROFUTURISM” ที่น่าสนใจอย่างยิ่งและถือเป็นแรงขับเคลื่อนครั้งใหญ่ของวงการภาพยนตร์เลยทีเดียว AFROFUTURISM คืออะไร AFROFUTURISM คือแนวคิดเกี่ยวกับปรัชญาวิทยาศาสตร์ – ประวัติศาสตร์ เกิดขึ้นครั้งแรกในยุค 50’S โดยศิลปินแจ๊ส เชื้อสายแอฟริกัน-อเมริกันนามว่า Sun Ra ที่หยิบเอาวัฒนธรรมแอฟริกาโบราณ มาผสมผสามกับศิลปะและเทคโนโลยีร่วมสมัย เป็นการแสดงออกถึง ความแตกต่างของโลกในอุดมคติ แต่ AFROFUTURISM ถูกบัญญัติขึ้นครั้งแรก ในปี 1993 ในบทความ “ Black to Future “ โดย Mark Dery
คงไม่ต้องเกริ่นอะไรสำหรับ Netflix อีกแล้ว เพราะปัจจุบันได้กลายเป็นสตรีมมิ่งที่มาแรงบนโลกออนไลน์สุด ๆ เนื่องจากขยันสร้างซีรีส์คุณภาพสูงรวมถึงจัดหาภาพยนตร์คุณภาพดีมาให้รับชมอย่างไม่ขาดสาย ที่สำคัญค่าสมาชิกรายเดือนถูกเสียกว่าสมัยสมัครร้านเช่าดีวีดีเสียด้วยซ้ำ สำหรับคนที่กำลังลังเลว่าจะสมัครดีไหม เราขอบอกเลยว่าไม่ต้องลังเลใด ๆ เพราะ ณ ตอนนี้ Netflix มีซีรีส์ของตัวเองไม่ต่ำกว่า 150 โชว์ โดยเกินกว่าครึ่งเป็นซีรีส์คุณภาพการันตีทางเสียงวิจารณ์และรางวัล ดังนั้นเพื่อประกอบการตัดสินใจวันนี้ UNLOCKMEN จะเลือกซีรีส์สามัญประจำผู้ชายที่เราเชื่อว่าหากคุณเปิดดูเมื่อไหร่ ก็เตรียมไม่ต้องออกจากบ้านไปไหนเลย เพราะรับรองว่าติดหนึบอย่างแน่นอนจากค่าย Netflix Stranger Things ต้องบอกก่อนเลยว่าเรื่องนี้แทบจะเป็นซีรีส์สร้างชื่อให้กับ Netflix เมื่อสองปีก่อน ด้วยกระแสที่โหยหาอดีตอย่างบ้าคลั่งของคนในปัจจุบัน ทำให้ Netlflix ตัดสินใจสร้างซีรีส์ไซไฟสไตล์ย้อนยุคที่เล่าเรื่องถึงเหตุการณ์ประหลาดในรัฐอินเดียน่าช่วงยุค 80s จนนำไปสู่การหายตัวไปของเด็กคนหนึ่งทำให้กลุ่มเพื่อน ครอบครัวรวมถึงตำรวจท้องถิ่นต้องช่วยออกตามหาและสานไปถึงเรื่องราวลึกลับเหนือธรรมชาติ ที่มีรัฐบาลเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ทำไมต้องดู = หากคุณชอบหนังสไตล์ยุค 80s ที่เป็นการยำหลาย ๆ งานไม่ว่าจะเป็น Super 8 , E.T. และ X-file รับรองว่าไม่ควรพลาด แม้จะดูเหมือนมั่วเกินไปที่รวมหลาย ๆ อย่างเข้าไว้ด้วยกัน แต่ผลลัพธ์กลับแตกต่าง เพราะ
ถ้าหากมีใครสักคนไล่ให้คุณไปออกกำลังกาย เราก็มักจะบ่ายเบี่ยงอ้างว่าทำงานมาเหนื่อยบ้าง ขี้เกียจพรุ่งนี้ต้องตื่นเช้า นั่นเพราะคุณยังไม่มีแรงบันดาลใจ หรือสถานการณ์สุขภาพของคุณยังไม่เข้าขั้นวิกฤตจึงทำให้เพิกเฉย โดยเรื่องสุขภาพของเราเป็นสิ่งที่เราต้องดูแลรักษาด้วยตนเองไม่มีใครสามารถมาเป็นเจ็บป่วยแทนได้แม้คุณจะมีเงินมากมายสักเท่าไหร่ ดังนั้นลองมาหาแรงบันดาลใจเพื่อปลุกตัวเองให้ออกไปวิ่งด้วยหนัง 5 เรื่องที่พอคุณดูจบแล้วเราเชื่อว่าต้องอยากลุกออกไปวิ่งเดี๋ยวนั้นเลย Forrest Gump เรื่องแรกที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยกับหนังชื่อดังที่การันตีรางวัลระดับออสการ์ และส่งผลให้ Tom Hank โด่งดังเป็นพลุแตกจวบจนถึงทุกวันนี้ โดย Forrest Gump ว่าด้วยเรื่องของเด็กเอ๋อจากอลาบาม่าที่มีไอคิวไม่ถึง 80 และพัฒนาการทางสมองต่ำกว่าคนปกติ ถึงเขาจะเป็นคนซื่อ ๆ แต่ก็มีนิสัยจิตใจที่ดีงามสามารถก้าวข้ามความบกพร่องทางร่างกาย ทว่ามีหนึ่งในฉากคลาสสิคที่เป็นไฮไลท์ของหนังเรื่องคือตอนที่ Forrest Gump วิ่งข้ามประเทศอเมริกาด้วยตัวคนเดียวจนโด่งดัง ถ้าหากใครอยากจะเอาเป็นเยี่ยงอย่างในการวิ่ง Forrest Gump ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีเลยทีเดียว SAINT RALPH หนังดราม่าจากประเทศแคนาดาเป็นเรื่องราวของ Ralph Walker ผู้ทำตัวเกเรจนถูกครูใหญ่บังคับให้เข้าร่วมทีมวิ่งมาราธอนของโรงเรียนเพื่อดัดนิสัย จนเมื่อแม่ผู้เป็นคนเดียวในครอบครัวที่เหลืออยู่ของเขาตกอยู่ในอาการโคม่า เขาจึงตั้งใจจะสร้างปาฏิหาริย์ด้วยการคว้าชัยชนะในการแข่ง บอสตัน มาราธอน ให้ได้ ดูเรื่องนี้แล้วอาจได้แรงฮึดให้ลุกขึ้นมาวิ่งจริง ๆ จัง ๆ เหมือนอย่าง Ralph Walker ก็ได้เช่นกัน Run Fatboy Run
ชีวิตวัยรุ่นถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญของชีวิต เพราะอยู่ในวัยที่ว้าวุ่นซะเหลือเกิน อ่อนไหวไปตามสิ่งรอบตัวได้ง่ายจากการตัดสินใจเพียงเสี้ยววินาที บางคนก็ไปในทางที่สวยงาม เรียบง่าย บ้างก็เดินทางผิด เสียใจบ้าง เสียเวลาบ้าง แต่แย่สุดคือเข้า Dark Side ไปพัวพันกับยาเสพติดนี่แหละ วันนี้ UNLOCKMEN ขอแนะนำ 5 หนังวัยรุ่นที่ชีวิตวายป่วงเพราะยาเสพติด วัยเลือดร้อนจงดูไว้เผื่อมันจะตกตะกอน สะท้อนอะไรบางอย่าง หรือได้ข้อคิดอะไรจากมัน น้ำพุ (1984) เรื่องราวของน้ำพุอาจเป็นที่คุ้นเคยกับคนไทยดี เพราะคือภาพยนตร์ที่ดังแบบสุด ๆ ในช่วงนั้นพร้อมกับแจ้งเกิดให้กับ “หนุ่ย อำพล” ที่แสดงเป็น “น้ำพุ” ตัวเอกของเรื่อง ที่ต้องจากไปเพราะยาเสพติดในวัยที่เขาควรจะได้นั่งเรียนกับเพื่อน ๆ สานฝันให้กับตัวเองและครอบครัว เมื่อดูจบแล้วพอจะตระหนักได้ถึงโทษของยาเสพติดที่ทำลายตัวเอง และยังสร้างความเจ็บปวดให้แก่ครอบครัวและคนที่รัก Trainspotting (1996) อีกสุดยอดความวายป่วงของหนังยาเสพติด เรื่องนี้ไม่ได้ทำให้เราเห็นคนติดยาด้วยภาพมายาคติจากมุมคนทั่วไปในสังคม แต่เล่าเรื่องราวจากกลุ่มวัยรุ่นในวังวนของเฮโรอีน ที่ใช้ชีวิตกับมันแบบทั้งวันทั้งคืน วันแล้ววันเล่า ถึงแม้ว่าจะอยากเลิกแต่ก็อยู่ในลูปเดิม ๆ ด้วยการ เสพ ถอน กลับมาติดอีก แบบนี้ไปเรื่อย ๆ และหนังยิ่งเผยด้านมืดของยาเสพติดออกมาด้วยอาการสุดเพี้ยนในช่วงถอนยา และช่วงที่เทคยาเกินขนาด ดูจบแล้วจากที่เคยคิดอยากลองอาจจะเวียนหัวจนอยากอาเจียนไปกับอาการบ้าบอที่ต้องพบเจอหากเสพยาก็ได้
เดือนกุมภาพันธ์ถือว่ามีหนังระดับ blockbuster เตรียมจ่อคิวเข้าโรงภาพยนตร์ถึงสองเรื่องด้วยกัน ไหนจะ Fifty Shade Freed ที่แม้จะดูเจื่อนไปบ้างทั้งที่ช่วงวาเลนไทน์ถือเป็นฤกษ์งามยามดีของพวกเขาตลอดมา เดิมทีเราก็ค่อนข้างสงสัยว่าระดับ Fifty Shade ที่เป็นหนังเรท R และสามารถทำรายได้ไม่ต่ำกว่า $300 ล้านเหรียญสหรัฐ ทำไมถึงต้องยอมขยับเลื่อนวันฉายขึ้นมาหนึ่งสัปดาห์ แต่เมื่อได้เห็นโปรแกรมหนังที่จะเข้าในอาทิตย์ถัดไป ก็ถึงกับบางอ้อ เนื่องจากมีหนังฟอร์มยักษ์ที่เตรียมลงโรงอย่าง Black Panther ซึ่งต้องขอบอกชาว UNLOCKMEN ก่อนเลยว่ากระแสของ Black Panther ตอนนี้ถือว่าแรงมาก ๆ เพราะได้ทำลายสถิติยอดจองตั๋วล่วงหน้าสูงสุดตลอดกาลในประเทศสหรัฐอเมริกาแซงหน้าแชมป์เก่าอย่าง Captian America : Civil Wars เป็นที่เรียบร้อย โดย Marvel Studio คาดการณ์ว่าเรื่องราวของราชาเสือดำอาจจะเป็นหนังทำเงิน $1,000 ล้านเหรียญเรื่องต่อไปของพวกเขา ทว่าไม่ใช่แค่แง่ความสำเร็จของซุปเปอร์ฮีโร่ผิวสีเรื่องแรกที่กำลังจะลงโรงฉาย แต่เรามองว่า Black Panther กำลังจะเปลี่ยนวงการภาพยนตร์รวมถึงสังคมโลกไปตลอดกาล เหตุผลที่เป็นเช่นนั้นเพราะอย่างที่เราทราบกันดีว่าประเด็นสีผิวและเชื้อชาติถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนอย่างมากในต่างประเทศโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ภาพยนตร์อย่าง Black Panther ที่แทบจะพูดได้ว่าเป็นเรื่องราวกลุ่มคนผิวสีที่เข้ามามีบทบาทในการช่วยกู้โลก จึงเปรียบเสมือนตัวแทนในการแสดงออกถึงความอัดอั้นที่พวกเขาต้องการเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์ของตัวเองให้ได้รับสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกับคนอื่น ยิ่งถ้าสืบลึกลงไปในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาแล้วจะพบว่ามีชาวแอฟริกัน-อเมริกันจำนวนมากต้องถูกกดขี่เป็นแรงงานทาสในช่วงพัฒนาประเทศ น่าประหลาดใจมากขึ้นไปอีกเมื่อชาวโลกล้วนทราบดีว่าอเมริกาเป็นประเทศที่เติบโตจนพัฒนามาได้ถึงทุกวันนี้เพราะชีวิตเลือดเนื้อของคนผิวสีเหล่านั้น
ใคร ๆ ก็ชอบบอกเราว่าให้เรียนภาษาอังกฤษจากการดูหนัง แต่ไม่เห็นจะมีใครเคยบอกว่าต้องดูหนังเรื่องอะไร? เพราะหนังบางเรื่องก็บทสนทนามาเต็มเป็นพรืดชนิดที่ว่าเรียนรู้ยังไงก็คงไม่ได้เข้าใจกันได้ง่าย ๆ บางทีสำเนียงก็ฟังยากแสนยากจนเรางง หรือจะให้ดูการ์ตูนไปเสียเลยมันก็พอดูได้ แต่จะให้ดูทุกวันมันก็คงเบื่อ วันนี้ UNLOCKMEN จึงขอเสนอหนัง 5 เรื่องที่ทำให้คุณเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้ แถมสนุกด้วยมาฝากกัน The Hangover เรื่องราวความสนุกของคนเมา ๆ ที่ตื่นเช้ามาแล้วดันไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไปบ้างคงไม่ต้องบรรยายเพิ่มว่าจะสนุกสักแค่ไหน แต่สิ่งที่ดีงามสำหรับคนที่กำลังเรียนรู้ภาษาอังกฤษคือหนังเรื่องนี้มันโคตรสนุก ดังนั้นมันจึงสามารถดึงดูดคนที่กำลังเรียนรู้ภาษาอังกฤษ (ที่ขี้เกียจอย่างเรา ๆ ) เอาไว้กับมันได้ แถมตัวละครทุกตัวใน The Hangover ยังใช้ภาษาอังกฤษบ้าน ๆ แบบที่ใช้กันทุกวัน รวมถึงเป็นโอกาสดีที่เราจะได้เรียนรู้ American slang ซึ่งจะช่วยให้เราเข้าใจการใช้ศัพท์แสงในบทสนทนาภาษาอังกฤษแบบสุดเรียลได้อีก The Hunger Games การไล่ล่าสุดมันในโลกแบบดิสโทเปีย การเอาตัวรอด การสู้ยิบตาตลอดเรื่องก็น่าดูมากพออยู่แล้ว แต่ข้อดีของมันอีกอย่างคือ The Hunger Games ช่วยให้เราเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้ด้วย โดยหนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยภาพอันชัดเจน ดังนั้นถ้าเราพลาดอะไรจากบทสนทนาของตัวละคร เช่น ฟังไม่ทัน แปลบางคำไม่ออก หรือบทสนทนายาวเกินไป เราก็จะสามารถทำความเข้าใจได้จากภาพที่แสดงออกมาได้ ซึ่งเป็นการฝึกให้เรารู้จักดูภาษามือ