New Defender 75th Limited Edition (ดีเฟนเดอร์ 75 ปี ลิมิเต็ด อิดิชั่น ใหม่) การเฉลิมฉลองความสำเร็จครบรอบ 75 ปีของแลนด์โรเวอร์ด้วยรถยนต์รุ่นพิเศษที่ผลิตขึ้นจำนวนจำกัดและมีเพียง 10 คันในประเทศไทย มาพร้อมสีภายนอกสุดพิเศษและการตกแต่งรายละเอียดที่ไม่เหมือนใคร ราคาจำหน่าย 7,599,000 บาท เมื่อปี 1948 รถยนต์ Series I ได้รับการเปิดตัวเป็นครั้งแรกในงานอัมสเตอร์ดัมมอเตอร์โชว์ (Amsterdam Motor Show) และ Defender 75th Limited Edition ก็ถือเป็นการเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 75 ปีของแลนด์โรเวอร์ ด้วยการออกแบบภายนอกที่พิเศษอันเป็นเอกลักษณ์ ครั้งแรกกับสีภายนอก Glasmill Green สุดโดดเด่น ซึ่งเป็นเฉดสีที่สงวนไว้สำหรับรุ่น 75th Limited Edition โดยเฉพาะ ล้ออัลลอยขนาด 20 นิ้วมาในสี Grasmere Green เช่นกัน พร้อมฝาปิดเซ็นเตอร์แคปที่เข้าชุด การตกแต่งภายนอกสมบูรณ์ยิ่งขึ้นด้วยกราฟิกฉลอง
ครั้งแรกของ Ferrari 4 ประตู 4 ที่นั่ง ที่ดูคล้าย SUV มากที่สุดเท่าที่ Ferrari เคยมีมา เครื่องยนต์ NA 6.5 ลิตร V12 Dry Sump 725 แรงม้า 716 นิวตันเมตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ AWD ด้วยชุดเกียร์แยกอีกชุด ทำเวลา 0-100 km/h ได้ภายใน 3.3 วินาที และความเร็วสูงสุดทะลุ 300 km/h ชื่อรุ่น “Purosangue” เป็นภาษาอิตาลี หมายถึงสายพันธุ์ม้าแข่งที่โด่งดังซึ่งมีทั้งความเร็วและความแข็งแกร่ง ซึ่งแม้คนทั้งโลกจะเรียกมันว่ารถ SUV แต่ Ferrari ยังคงยืนยันว่า “นี่ไม่ใช่รถ SUV” เสียงแข็ง เพราะมันมีความสูงเพียง 62.6 นิ้ว เตี้ยกว่า Lamborghini Urus ถึง
ก่อนหน้านี้เราได้ชวนทุกคนไปบอกลาขุมพลัง V12 ล้วนของ Lamborghini กันไปแล้ว และวันนี้เราก็ได้เปิดตัว DNA ใหม่ที่เพิ่มพลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้าเข้าไปตามยุคสมัยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลายท่านทราบดีว่า Lamborghini มักจะตั้งชื่อรุ่นตามสายพันธุ์กระทิงที่น่าเกรงขาม แต่สำหรับ Revuelto น่าจะเป็นโมเดลแรกที่ฉีกแนว ไม่ได้ตั้งชื่อตามกระทิงในตำนานของสเปนเหมือนในอดีต ขุมพลัง V12 วางกลาง mid-engine ที่สืบทอดมาตั้งแต่ยุคของ Miura ในช่วงปี ’60s วันนี้มาพร้อมเทคโนโลยี plug-in hybrid มอเตอร์ไฟฟ้าสามตัว ให้กำลังรวมกันมากถึง 1,000 แรงม้า ทำความเร็ว 0-100 km/h ได้ใน 2.5 วินาทีเท่านั้น เร็วกว่า Aventador ถึง 0.3 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 350 km/h มอเตอร์ไฟฟ้าสองตัวแรกประกบล้อซ้ายขวาควบคุมแรงบิดอย่างอิสระ ในขณะที่มอเตอร์ไฟฟ้าตัวที่สามถูกติดตั้งรวมอยู่ในชุดส่งกำลัง เกียร์ 8-speed dual-cluth automatic มีหน้าที่ส่งกำลังไปขับเคลื่อนล้อหลังโดยเฉพาะ แค่พิมพ์ก็ได้กลิ่นยางเบิร์นกันเลยทีเดียว ที่น่าสนใจคือ Lamborghini Revuelto
เชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยใฝ่ฝันที่จะมีรถยนต์ทรง Coupe’ สองประตูคันเท่ไว้ในครอบครองสักครั้ง ตัวผมเองกว่าจะเก็บเงินซื้อรถสองประตูได้ก็ตอนอายุเกินสามสิบปี เป็นจังหวะที่ต้องเจอโจทย์ยากขึ้นอีกเพราะมีภรรยาและลูกที่ต้องไปไหนไปกันในรถคันนี้ด้วย จึงจำเป็นต้องหารถ Coupe ที่ตอบโจทย์ ทั้งความแรง ฟิลลิ่งความสปอร์ตสำหรับคนขับ และความสบายของคนนั่ง จะเอาใจคนขับอย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะห้องโดยสารที่แคบเกินไปจะทำให้การเดินทางไกลหมดสนุกทันที เพราะคนนั่งด้านหลังจะอึดอัดมาก แถมยังใส่ Car seat สำหรับเด็กไม่ได้ ดังนั้นหากเลือกรถคูเป้ไม่ตอบโจทย์ ฝืนใช้ไปไม่นานก็คงต้องตัดใจขายทิ้งแน่ จากโจทย์นี้ เทียบกันเฉพาะรถ Coupe ยอดฮิตใน segment เดียวกันจากเยอรมันอีกสองค่าย รถตัวถัง Coupe ที่ตอบโจทย์สำหรับคนที่ต้องการฟิลลิ่งการขับที่ออกไปทางสปอร์ตและผู้โดยสารนั่งได้สบายที่สุด คำตอบที่เราแนะนำก็คือ BMW 430i Coupe M Sport ฟิลลิ่งการขับ คือจุดเด่นที่สุดของ BMW 430i คันนี้ แค่สตาร์ทเครื่องยนต์ เสียงท่อก็ดังกระหึ่มกว่าคู่แข่ง ทุกรายละเอียดของรถคันนี้เน้นอารมณ์ความสปอร์ตตั้งแต่ดีไซน์ภายนอก กรอบกระจังหน้าไตคู่ขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อเข้าหากันเป็นชิ้นเดียว ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับ BMW 328 Coupe และ BMW 3.0 CSi ในอดีต กันชนหน้ามีช่อง Air
เหตุผลที่ G-Class เป็นรถที่มีความพิเศษ เพราะแม้จะผ่านไปกี่สิบปี มันก็ยังคงเป็นรถที่ดูคลาสสิคและล้ำค่า วันนี้เราจะพาไปย้อนเวลา 30 ปี กลับไปหา G-Class ขุมพลัง V8 ครั้งแรกในโมเดลรหัส 500 GE รถที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงจนสร้างรากฐานความสำเร็จให้กับ G-Class มาถึงทุกวันนี้ ทุกวันนี้รถยนต์ Mercedes-Benz สามารถได้แรงม้ามหาศาลแม้จะใช้เครื่องยนต์ 4 สูบก็ตาม แต่ G-Class ยังเป็นโมเดลเดียวที่ใช้ขุมพลัง 4.0-liter twin-turbocharged V8 ตั้งแต่รุ่นเริ่มต้นใน G550 ก่อนจะขยับไปเป็น G63 V8 577 horsepower Mercedes-Benz 500 GE V8 ในปี 1993 เป็นโมเดลที่พัฒนาจาก G-Wagen รุ่น W463 โดยมีกำลัง 237 แรงม้าและแรงบิดสูงสุด 277 ปอนด์-ฟุต ตามมาตรฐานปัจจุบัน มีการผลิต 500 GE
เตรียมโบกมือลาสาวกกระทิงดุอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับเครื่องยนต์ V12 แบบไร้ระบบอัดอากาศ ผลงานการผลิตขุมพลังเบนซินอันยอดเยี่ยมที่ขับเคลื่อน Lamborghini (ลัมโบร์กินี) มายาวนานกว่า 60 ปี ก่อนได้เวลาเดินทางเข้าสู่ยุคเปลี่ยนผ่านอย่างเต็มตัวกับการเปิดตัวรถสปอร์ตซูเปอร์คาร์ไฮบริดในช่วงไตรมาสแรกของปี 2023 ซึ่งก่อนที่เราจะไปเปิดหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ร่วมกัน จึงถือโอกาสนี้รวบรวมทุกเรื่องราวน่าจดจำเพื่อเป็นเกียรติส่งท้ายให้กับตำนานเครื่องยนต์สุดยิ่งใหญ่แห่งยนตรกรรมโลก เครื่องยนต์ V12 ถือเป็นหัวใจสำคัญของลัมโบร์กินีมาตั้งแต่ปี 1963 ซึ่งจวบจนปัจจุบันมีการผลิตเครื่องยนต์ V12 เพียงแค่ 2 รุ่นที่ถูกวางอยู่ในรถซูเปอร์สปอร์ตคาร์ โดยรุ่นแรกเป็นเครื่องยนต์พื้นฐานสำหรับรถแข่งที่ “ถูกปรับแต่ง” สำหรับใช้วิ่งบนท้องถนนซึ่งเป็นผลงานการออกแบบของจิอ็อตโต้ บิซซารินี เปิดตัวครั้งแรกในรถยนต์ลัมโบร์กินีรุ่นแรกอย่าง 350 GT ส่วนเครื่องรุ่นที่สองถูกออกแบบใหม่ทั้งหมดแต่ยังคงยึดแนวคิดเชิงเทคนิคแบบเดิม ติดตั้งครั้งแรกในรถยนต์ตระกูล Aventador เปิดตัวในปี 2011 ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีครั้งสำคัญของบริษัท ตลอดจนการสร้างมาตรฐานใหม่ทั้งในด้านกำลังเครื่องและประสิทธิภาพที่มั่นใจได้ เดิมทีบิซซารินีรังสรรค์เครื่องยนต์ V12 เพียงเพื่อสร้างโอกาสให้บริษัทสามารถก้าวเข้าสู่โลกของการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ต ทว่า เฟอร์รุชโช ลัมโบร์กินี กลับนำมาทำเป็นเครื่องยนต์สำหรับการผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ จนกลายเป็นเรื่องราวแห่งยนตรกรรมอันน่าหลงใหลที่สืบเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ โดยหลังจากใช้ในรถยนต์ 350 GT และรุ่นต่อยอดอื่นๆ เครื่องยนต์ V12 ได้ถูกนำมาวางไว้ในรถยนต์ Miura ในปี 1966,
Officine Fioravanti ผู้เชี่ยวชาญด้านการ Restomod รถคลาสสิคที่พวกเราอาจคุ้นตากันจากผลงานฟื้นฟูและอัพเกรด Ferrari Testarossa restomod สีขาว ที่ปรับทั้งดีไซน์และแรงม้าเพิ่มรวมเกือบ 500 ตัว ทำให้ car enthusiasts ทั่วโลกยอมรับฝีมือและความประณีตของสำนักแต่งจาก Switerzerland แห่งนี้ คิวจองยังไม่ทันระบาย ล่าสุด Officine Fioravanti ได้เปิดตัวผลงานโบว์แดงชิ้นใหม่ในสีดำด้านสุดขรึม “TR Alte Prestazioni Ferrari Testarossa” ภาษาอิตาเลี่ยนมีความหมายว่า “High Performance” เป็นรถระดับ hyperclassic แบบ one-of-one project นำชิ้นส่วนของ Testarossa มา reengineered ให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นรอบคัน เป็นการรักษา DNA ของรถต้นแบบให้มีทั้งความคลาสสิคและสมรรถนะระดับ Hypercar-level performance ได้อย่างยอดเยี่ยม เครื่องยนต์เดิม Flat-12 engine ของ Ferrari Testarossa ถูกนำมาอัพเกรดขึ้นใหม่ทั้งระบบ ไส้ในทุกชิ้นรวมถึง
“เมื่อพูดถึง Honda Monkey สิ่งแรกเราที่นึกถึงคือ ความสนุก ความซน ความน่ารัก แล้วก็นึกถึงดีไซน์ที่มีความ Iconic เป็นมินิไบค์ที่มาพร้อมงานออกแบบสุดคลาสสิก ซึ่งสร้างภาพจำได้อย่างชัดเจนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน” นี่คือคำตอบแรกจากปากของ ‘ปิ๊น–อนุพงศ์ คุตติกุล’ หรือที่หลายคนรู้จักกันดีในชื่อ ‘ปิ๊น Carnival’ หลังจากที่เรามีโอกาสได้นั่งเสวนาถึงเรื่องราวของ Honda Monkey มินิไบค์ระดับ Iconic ลิงน้อยจิ๋วแต่จี๊ด ที่ครองใจผู้คนมาอย่างยาวนานร่วม 60 ปี ซึ่งหัวเรือใหญ่แบรนด์ Carnival ได้เล่าให้ฟังถึง Monkey รุ่นเด่นในดวงใจว่า จาก Monkey มากมายหลายรุ่นที่เคยสัมผัสและผ่านตามาตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็ก เขาขอยกตำแหน่งหนึ่งเดียวคันนี้ให้กับ Monkey Baja Africa กับงานออกแบบที่แสบซ่าแตกต่าง และมันช่างตราตรึงใจมาจนถึงทุกวันนี้ “จริง ๆ แล้ว Monkey ที่เราชอบนี่มีหลายรุ่นมาก ๆ เพราะแต่ละรุ่น แต่ละปี เค้าจะมีรุ่นใหม่ ๆ ดีไซน์ใหม่ ๆ รวมถึงรุ่นพิเศษ Limited Editon
“Mini G-Class” โมเดลที่หลายคนเคยใฝ่ฝันถึงมาแสนนานอาจจะเป็นความจริงเร็ว ๆ นี้ หลังมีรายงานว่า Mercedes-Benz กำลังวางแผนที่จะสร้าง G-Class รุ่นเล็กออกมาเสริมทัพตลาด Premium off-roader ภายในปี 2026 ซึ่งถือเป็นช่องว่างที่มีโอกาสสำเร็จสูง หากดูจากยอดขายถล่มทลายของ G-Class ซึ่งเป็น off-roader เพียงรุ่นเดียวของ Mercedes-Benz ในปัจจุบัน โดยรถรุ่นใหม่จะมีขนาดเล็กกว่า G-Class ในทุกมิติ อย่างไรก็ตาม แม้ข้อมูลจะยังมีไม่มากนัก แต่จากการวิเคราะห์ของเรา คาดว่ารถ off-roader ไซส์เล็กรุ่นใหม่นี้น่าจะเป็น standalone model แยกออกมาจาก G-Class อย่างสิ้นเชิง เพราะ Mercedes-Benz ไม่น่าจะอยากเอารถรุ่นใหม่ไปแตะรหัส G ที่กำลังไปได้ดีอยู่แล้ว และหากนี่เป็นรถพัฒนาเพื่อจับตลาดคนรักความหรูหรา สะดวกสบาย เพื่อใช้งานในชีวิตประจำวัน มีโอกาสสูงที่มันจะถูกให้รหัสว่า “GLG-Class” ซึ่งจะไม่ดิบและพร้อมลุยได้โหดเท่า G-Class ด้านขุมพลังคาดว่าจะมีให้เลือกทั้ง ICE และ Electirc เพราะ EQG หรือ
การเลือกซื้อรถแต่ละคันถือเป็นเรื่องใหญ่ เพราะเราต้องผูกพันใช้งานกันนานหลายปี มีแฟนเพจปรึกษาเข้ามากันเยอะว่า จะซื้อรถรุ่นไหนดีในงบประมาณ 3 ล้านบวกลบ มองหารถคันหลักของบ้านที่มีความหรูหรา นุ่มนวล ห้องโดยสารกว้างขวางนั่งสบาย และให้ความภูมิใจในภาพลักษณ์ที่ดี สำหรับโจทย์นี้ เราขอแนะนำ 2022 Mercedes-Benz E 220 d AMG Sport เป็นรถที่เหมาะสมและตอบโจทย์นี้มากที่สุด ด้วยเหตุผลเหล่านี้ครับ ห้องโดยสารกว้างขวางนั่งสบาย และขับง่ายกว่าที่คิด พื้นที่ในห้องโดยสารของ 2022 Mercedes-Benz E 220 d AMG Sport ให้ความรู้สึกปลอดโปร่งทั้งผู้โดยสารตอนหน้าและหลัง แม้รถจะดูคันใหญ่จากภายนอก แต่ตำแหน่งการนั่งขับออกแบบได้ดีมาก ช่วยให้กะระยะรถยนต์รอบคันได้ง่าย ตัวแอดมินสูง 178 cm. นั่งตำแหน่งคนขับยังมี headroom เหลือเฟือ แผงคอนโซลหน้าออกแบบให้มีความโค้ง ช่วยให้รู้สึกปลอดโปร่งมากขึ้น เบาะนั่งที่ให้มาโอบกระชับและนุ่มสบาย ส่วนด้านหลังผู้โดยสารมี legroom และ headroom เยอะมาก ให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัวแม้จะมีผู้โดยสารนั่งหลัง ลองให้ลูกกับภรรยาขึ้นไปนั่งสักที รับรองว่าทุกคนต้องติดใจจนสนับสนุนให้ควักเงินจ่ายค่ามัดจำแน่นอน Cruise in
อีกขั้นของตำนานความแรงจาก Alpina ที่ได้กลายเป็นผ้าผืนเดียวกับ BMW ไปแล้วเรียบร้อย นี่คือ B5 BT โมเดลที่แรงที่สุดเท่าที่สำนัก Alpina เคยมีมา ปรับแต่งเครื่องยนต์ BMW 4-liter bi-turbo V8 ให้แรงถึง 624 horsepower 850 Nm of torque ทำความเร็วถึง 100 km/h ใน 3.4 seconds ความเร็วสูงสุด 328 km/h ภายนอกต้องมีล้อ Alpina Classic แบบ 20-spoke ขนาด 20 นิ้ว ประจำการเพิ่มความหล่อแบบคลาสสิกโชว์ Brembo calipers สีเดียวกับตัวรถ ชุดท่อไอเสียของใหม่ที่สร้างแบบ custom made สำหรับรถคันนี้โดยเฉพาะ ปลายท่อสีดำเคลือบ titanium เสริมความดุดันให้สมกับสมรรถนะอย่างสมน้ำสมเนื้อ BMW Alpina B5 BT
Mercedes-Benz SLR Stirling Moss หนึ่งในจำนวนการผลิตทั้งหมด 75 คันทั่วโลก นี่คือ Mercedes-Benz SLR Stirling Moss ที่คาดว่าจะมีไมล์น้อยที่สุด ตัวเลขโชว์ว่าแตะสัมผัสพื้นถนนมาเพียง 150 กิโลเมตรเท่านั้น ถือเป็นรถที่ Rarest หายากสุด ๆ อยู่แล้ว แถมคันนี้ยังเป็น Final version ของ Mercedes-Benz/McLaren SLR อีกด้วย คาดว่ามูลค่าตอนนี้อยู่ที่ราว 145 ล้านบาท แพงยิ่งกว่า 2014 Ferrari LaFerrari ในสี Blu Elettrico ที่พึ่งประมูลไปล่าสุดในราคา $4,075,000 SLR McLaren Stirling Moss เผยโฉมครั้งแรกในงาน 2009 North American International Auto Show เวอร์ชันสุดท้ายเพื่อฉลองให้กับ 300 SLR ในอดีต