JEEP WRANGLER ได้ชื่อว่าเป็นรถ OFF-ROAD COMPACT-SIZE SUV ที่มีความดิบโหดชัดเจน ความแข็งแรงที่สืบทอดต่อมาจาก CJ-7 ซึ่งหยุดสายการผลิตไปในปี 1986 ก่อนจะถูก REDESIGN ครั้งใหญ่ในปี 2006 ได้รับความนิยมอย่างมากถึงขั้นเข้าข่ายระดับ ICONIC CAR ถูกใจคนชอบลุยป่า ฝ่าทะเลแบบไม่ต้องมีประตูและหลังคามาเนิ่นนานตั้งแต่รุ่นคุณปู่ยังหนุ่ม สำหรับคนที่ไม่ค่อยคุ้นเคยกับ JEEP WRANGLER มากนัก ว่าทำไมในตลาดโลกถึงได้ฮือฮากับการเปิดตัวใหม่ครั้งนี้เหลือเกิน เพราะเสน่ห์ของ JEEP WRANGLER คือการคงไว้ซึ่งจุดเด่นของดีไซน์ต้นแบบ ไม่ค่อยจะเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลามากนัก ถ้านับจากรุ่น GENERATION แรก รหัส YJ ในช่วง 1987 – 1995 มาถึง GENERATION ที่สอง รหัส TJ ที่ออกมาโลดแล่นยาวนานถึง 9 ปี ตั้งแต่ช่วง 1997 – 2006 และ GENERATION ล่าสุดในรหัส JK
หากพูดถึงไอเทมเสื้อผ้าเครื่องกายสุดคลาสสิคที่เราเชื่อว่าผู้ชายทุกคนล้วนต้องมีติดตู้เสื้อผ้า ไม่ว่าคุณจะเป็นคนสไตล์ไหน คงจะหนีไม่พ้นเสื้อยืดสีขาวเรียบอย่างแน่นอน เนื่องจากมันเป็นไอเทมสามัญประจำวันที่สามารถนำมาสสวมใส่ได้ตลอดทุกสถานการณ์ ซึ่งถ้าใครอยากจะรู้เรื่องราวแบบละเอียดเจาะลึกของเสื้อยืดเราขอแนะนำให้ไปที่ Content , Content2 เนื่องจากวันนี้เราจะขอมาอัพเดทวิธีการแต่งตัวโดยยึดเอาเสื้อยืดเป็นหลักในการออกมาเป็น outfit ต่าง ๆ ได้ในทุกฤดูกาล SUMMER สำหรับลุคแรกขอเริ่มจากสไตล์ง่าย ๆ ที่เหมาะสำหรับหนุ่มสายชิวไว้สวมใส่ในช่วงหน้าร้อน โดยเราจะทำอะไรให้มันเรียบง่ายเข้าไว้ โดยการนำเสื้อยืดทรง slim มาจับคู่กับกางเกงขายีนส์ผ้าดิบให้ดูลุคเหมือนกับ James Dean จากนั้นเลือกเป็นรองเท้าบู้ทหนังดี ๆ สักคู่ แม้จะดูเป็นลุคที่สุดแสนจะธรรมดา แต่รับรองว่าคูล เท่ อย่างแน่นอน WINTER หน้าหนาวจัดเป็นช่วงเวลาสนุกที่สุดของคนชอบแต่งตัว เพราะจะสามารถนำไอเทมต่าง ๆ มาสวมใส่แบบเลเยอร์ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอากาศหนาวในบ้านเราก็ไม่ได้หนาวถึงขนาดใส่โค้ทได้ อาจจะเป็นเพียงเสื้อคาร์ดิแกน สีพื้น ๆ อาทิ เบจ กรม น้ำตาล เทา จากนั้นก็สวมใส่กางเกงยีนส์ผ้าฟอกกับรองเท้าผ้าใบ เท่านี้คุณก็จะได้ลุคเซอร์เหมือนกับ Kurt Cobain RAINY ในช่วงหน้าฝนถือเป็นช่วงเวลาที่น่าเบื่อเอามาก ๆ เพราะไม่ว่าเราจะสวมใส่อะไรก็พาลจะเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปเสียหมด ดังนั้นเสื้อผ้าควรจะเป็นแบบที่มีคุณสมบัติกันน้ำ และมีน้ำหนักเบา ซึ่งเราจะเลือกเป็น lightweight
ช่วงเวลานี้ของทุกปี แทบจะเป็นที่รู้กันโดยอัตโนมัติว่ามันคือช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง นับถอยหลังสู่การส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ กับอากาศดี ๆ ที่เริ่มมีลมหนาวพัดผ่านมาให้ได้ชื่นใจกันเป็นระยะ ๆ ด้วยความพอเหมาะพอดีของช่วงเวลา และสภาพอากาศ ทำให้ใครต่อใครต่างก็อยากออกไปดื่มกินสังสรรค์พบปะพูดคุยเพื่อรีบซึมซับบรรยากาศฤดูหนาวในเมืองกรุงที่ค่อนข้างจะเล่นตัว ได้เจอกันแค่ปีละครั้ง แถมมาแป๊บ ๆ ก็จากไป จนกิจกรรมการออกไปนั่งกันที่ลานเบียร์ได้กลายเป็นธรรมเนียมที่คุ้นชินกันมานาน แต่สำหรับหนุ่ม ๆ ไฟแรงพลังเหลือ อาจจะรู้สึกเบื่อกับบรรยากาศเรื่อย ๆ ชิล ๆ ของลานเบียร์ทั่วไป ที่นอกจากจะดื่ม กิน พูดคุย ฟังเพลง แล้วก็อาจจะนึกไม่ออกว่าจะหาอะไรทำสนุก ๆ กับกลุ่มก๊วนชาวแก๊งค์กันดี แต่ในตอนนี้ UNLOCKMEN GUIDE ขออาสาแนะนำลานเบียร์แนวใหม่ ที่มีกิจกรรมสนุกสนานเร้าใจยิ่งกว่าที่เคยได้สัมผัสมา ซึ่งต้องเรียกได้ว่าเป็นประสบการณ์ใหม่ล่าสุดจริง ๆ กับครั้งแรกที่ LEO ได้เปิดลานเบียร์ที่ฉีกกฎ แหวกขนบของทุกลานเบียร์ที่เคยจัดขึ้นมาในชื่อว่า “LEO ZONE คนมันส์” LEO ZONE คนมันส์ ด้วยความตั้งใจของ LEO ที่ต้องการพลิกปรากฎการณ์ลานเบียร์เดิม ๆ ให้กลายมาเป็นสถานที่แห่งความมันส์ ที่ผู้ชายทั้งหลายไม่ควรพลาด คือจุดเริ่มต้นของการเปิดพื้นที่
เดือนธันวาคมถือเป็นเดือนแห่งการพักผ่อนที่เต็มไปด้วยงานเทศกาลดนตรีต่าง ๆ มากมาย รวมถึงวันหยุดพักผ่อนให้เราได้สามารถชาร์จพลังเพื่อเริ่มต้นปีใหม่ด้วยชีวิตใหม่ที่เต็มไปด้วยความสุข สำหรับคนที่ยังไม่มีแพลนว่าจะเดินทางไปไหน เราขอบอกเลยเดือนว่าธันวาคมนี้ มีโปรแกรมเทศกาลงานดนตรีสุดเจ๋งที่น่าสนใจไม่ว่าจะเป็น Big Mountain , Wonderfruit และอื่น ๆ อีกมากทั้งโบฮีเมี่ยนจ๋า ร็อค ยัน EDM ที่ชาว UNLOCKMEN สามารถเข้าไปเลือกได้ตามไลฟ์สไตล์ส่วนตัวว่าชอบแบบไหน ซึ่งความสนุกของการไปเฟสติวัลต่าง ๆ ที่นอกจากการไปดูคอนเสิร์ต มันเป็นโอกาสทองที่จะทำให้เราได้หลุดไปกับการแต่งตัวแบบจัดเต็มข้อ ล่อเต็มแข้ง ชนิดไม่ต้องกลัวใครหน้าไหนมาว่า เพราะทุกคนก็แต่งกันแบบจัดเต็มเช่นกัน โดยเฉพาะคนโสดที่อาจจะใช้โอกาสนี้ แต่งตัวให้ดูคูล เท่ เพื่อเป็นการโปรโมตตัวเองให้สามารถดึงดูดเพื่อน ๆ รวมถึงเพศตรงข้ามเข้ามาหาได้ เพราะหากเลือกจะแต่ง same same เหมือนกันไปหมด คุณก็คงไม่มีจุดเด่นอะไรให้คนเข้ามาสนใจ วันนี้ UNLOCKMEN Style Guide จึงอยากจะช่วยปลดล็อคสไตล์การแต่งตัวของคุณด้วย โดยการนำ outfit สุดเท่ ที่เป็นส่วนผสมต่าง ๆ นำมามิกซ์แอนด์แมชท์ จนเหมาะสมเพื่อใช้ในงานเฟสติวัลชนิดเมื่อคนเห็นต้องเหลียวมองอย่างแน่นอน To Good at GoodBye Hawaii
คุณอาจจะคิดว่า รถพลังงานไฟฟ้าจะต้องมีหน้าตาล้ำหลุดโลกเท่านั้น แต่ 2 นักออกแบบ Pablo Baranoff Dorn และ Alex Guliyants ไม่คิดแบบนั้น ด้วยความหลงใหลในความ Vintage แต่ก็อยากชุบชีวิตให้มันกลับมาทันโลกทันสมัย จึงเป็นที่มาของ MODEL ELECTRIC CAFE RACER 1 CONCEPT โปรเจคสุดเท่ที่นำสองยุคสมัยมาบรรจบกันได้อย่างงดงามชิ้นนี้ ใครเป็นตัวจริงสิงห์สองล้อ อาจจะรู้สึกคุ้นตา คลับคล้ายคลับคลาเหมือนจะเคยเห็นมันมาก่อน เก่งมากครับ เพราะ MODEL ELECTRIC CAFE RACER 1 CONCEPT คันนี้คือร่างเวอร์ชันพลังไฟฟ้าของ Honda 125cc Cafe Racer รุ่นคลาสสิคสุดเก๋า ที่ถูกนำเครื่องยนต์สันดาปภายในออกไป หันมาใส่มอเตอร์ไฟฟ้าเข้าไป ปกปิดเก็บงานได้อย่างแนบเนียน แม้จะไม่ได้เปลือยโชว์เครื่องตามสไตล์ Naked เหมือนต้นแบบ แต่ก็ให้อารมณ์ความเนี้ยบที่ดูสวยงามแบบ minimal ล้ำสมัยได้ฟีลไปอีกแบบ แม้จะเป็นตัวต้นแบบ แต่ก็มีระบุสเปคมาแล้วพอสมควร ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้ากำลัง 7500W ส่งพลังงานไฟฟ้าไปเก็บไว้ที่แบตเตอรี่ขนาดความจุ 2100 Wh ชาร์จไฟเต็มหนึ่งครั้ง สามารถวิ่งได้ไกล
“กูเนี่ยนะนอนกรน มึงอย่ามาอำ” เสียงประสานจากกลุ่มคนนอนกรน ที่มักไม่รู้ว่าตัวเองนอนกรน นอนคนเดียวก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่เมื่อต้องแชร์ห้องนอนกับใครที่กรนแรงพอกัน ถึงเริ่มตระหนักว่ามันเป็นอุปสรรคในการนอนสำหรับคนอื่นมากแค่ไหน ถ้าคุณกำลังเป็นห่วงเพื่อนร่วมห้อง ห่วงแฟนสาว หรือภรรยา ที่แชร์เตียงนอนร่วมกันว่าจะต้องทนรับเสียงกรนของคุณทุกค่ำคืน โอกาสทำความดีมาถึงแล้ว รีบเข้าไปกดสั่งซื้อ BOSE SLEEPBUDS อุปกรณ์สกัดเสียงกรน สำหรับคนนอนหลับยากคู่นี้อย่างเร็วไว บางคนอาจจะคุ้นกับเทคโนโลยีคล้าย ๆ กัน ภายใต้ชื่อบริษัท HUSH ที่เคยเปิดตัวในงาน CES2016 แล้วเงียบหายไป ที่จริงแล้วไม่ได้หายไปไหน แต่ถูก BOSE ซื้อไปนั่นเอง ก่อน BOSE จะนำสินค้าไปออกแบบใหม่ให้สวยกว่าเดิม และเปิดตัวให้ตื่นเต้นกว่าตามประสาสินค้า category ใหม่ ด้วยการให้คนที่สนใจเข้าไประดมทุนสั่งซื้อ BOSE SLEEPBUDS ผ่านทาง Indiegogo BOSE SLEEPBUDS คือ gadget สำหรับคนนอนหลับยาก ซึ่งโดยธรรมชาติของคนกลุ่มนี้ แค่เสียงหมาเห่า เสียงลมพัด ก็ยากจะหลับแล้ว ยิ่งถ้าบ้านอยู่ริมถนนใหญ่ อยู่ใกล้ BTS หรือสนามบิน ยิ่งไม่ต้องพูดถึง และที่หนักสุดคือคนนอนร่วมเตียงกรนดังสนั่น กว่าจะหลับแต่ละทีนี่ทรมานสุดชีวิต
เมื่อเอ่ยถึงชื่อแบรนด์ Montblanc (มงต์บลองค์) เชื่อว่าสิ่งแรกที่หลายคนนึกถึง คือ Luxury Brand ที่รังสรรค์ผลิตภัณฑ์หรูคุณภาพสูงหลากหลายชนิดออกสู่ตลาด ด้วยผลงานอันสุดแสนประณีตจากความชำนาญของช่างฝีมือชั้นนำทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นโรงงานผลิตเครื่องเขียน ที่เมืองฮัมบูร์ก ประเทศเยอรมนี, โรงงานเครื่องหนัง ที่เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี รวมถึงโรงงานผลิตนาฬิกา ที่ภูเขาฌูราฝั่งสวิส ในเมือง โล เลอเคิล และ วิเญอเรต์ การจะบอกว่าชื่อ Montblanc ที่ตีตราอยู่บนสินค้าชนิดต่าง ๆ คือตัวแทนของความมีรสนิยมก็คงไม่ผิดนัก และล่าสุด Montblanc เพิ่งปล่อยไอเท็มยั่วกิเลสผู้ชายอย่างเรา ๆ ออกมา กับนาฬิกาโครโนกราฟที่มีรูปร่างหน้าตาหล่อโคตร ในชื่อคอลเลคชั่นเท่ ๆ ว่า Montblanc TimeWalker ที่ถ่ายทอดจิตวิญญาณนักแข่ง Motor Sport จากสนามให้มาประทับลงบนข้อมือของเหล่ามนุษย์ผู้ชายที่หลงใหลในความเร็วได้อย่างถึงแก่น ถึงอารมณ์ อย่างที่รู้กันว่านาฬิกาโครโนกราฟเป็นนาฬิกาจับเวลาซึ่งมีกลไกซับซ้อน และได้รับความนิยมในกลุ่มผู้ชายมาอย่างยาวนานนับตั้งแต่มีนาฬิกาชนิดนี้เกิดขึ้นมาบนโลกก็ว่าได้ อาจเพราะเรื่องราวที่เกี่ยวพันกับจุดเริ่มต้นที่ใช้ในการจับเวลาการแข่งขันกีฬาต่าง ๆ แทบทุกชนิด รวมไปถึงกีฬาโปรดของชายหนุ่มอย่าง Motor Sport การแข่งรถที่ใช้ความเร็วสูง ตัดสินกันเพียงเสี้ยววินาที โดยมีนาฬิกาโครโนกราฟเป็นเครื่องชี้ชะตาหาผู้แพ้ชนะด้วยการจับเวลาที่รวดเร็วแม่นยำ ซึ่ง
ถ้ามีการทำกราฟแสดงระยะเวลาที่มือของเราใช้งาน Smartphone ในแต่ละวัน เชื่อว่าแท่งกราฟคงพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ เป็นสองสามเท่าตัวถ้าเทียบกับในสมัยก่อน ด้วยความเปลี่ยนแปลงทางการใช้ชีวิต ที่ยกทุกอย่างไปไว้ใน Smartphone ให้เราใช้ชีวิตได้โดยที่ไม่ต้องเปลี่ยนแม้แต่ท่านั่ง รวมถึงการเสพติดเรื่องราวบนโลกออนไลน์ ทำให้ทุกวันนี้เรามีการสัมผัส Smartphone มากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะยามยืน เดิน นั่ง โดยที่เราไม่รู้ตัว ผลเสียของการเสพติด Smartphone มากเกินไปนั้นมีอยู่มากมายอย่างที่เรารู้กันบ้างอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสมาธิที่สั้นลง ความเครียดจากการเห็นชีวิตดีเกินจริงของคนอื่น ผลเสียทางประสาทสัมผัสจากท่านั่ง การโน้มคอ ข้อนิ้ว สายตา ออกห่างจากสังคม การนอนหลับ และอื่น ๆ อีกมากมาย นี่จึงเป็นสาเหตุและเหตุผลที่งาน Design ต้องเข้ามามีบทบาท เพราะโดยพื้นฐานแล้ว Design ไม่ใช่เกิดขึ้นมาเพื่อความสวยงามเพียงอย่างเดียว แต่การแก้ปัญหาการใช้ชีวิตให้ดีขึ้น ก็เป็นหน้าที่ของการออกแบบด้วยเช่นกัน KLEMENS SCHILLINGER นักออกแบบชาว Vienna เมืองหลวงของประเทศ Austria มองว่า Smartphone Acciction ก็เป็นอาการเสพติดไม่ต่างกับยาเสพติดชนิดอื่น ถ้าเสพมากเกินไปก็ทำให้เกิดผลเสียรุนแรงได้ จึงเกิดไอเดียที่จะบำบัดอาการเสพติดนี้ ด้วยการสร้างโปรเจค Substitute
การรวมตัวของ Segway และ Skateboard เมื่อข้อดีจากทั้งสองสิ่งถูกรวมเข้าไว้ด้วยกัน ความมันส์ของ Skateboarding ที่ติดตรงต้องออกแรงไถไปตลอดทาง เจอทางลาดชันเมื่อไหร่ก็จบข่าว กับความง่ายจากเทคโนโลยีที่ทันสมัยของ Segway ที่แค่เอียงตัว ก็เคลื่อนไหวไปตามทิศทางที่ต้องการได้อย่างสบาย ไม่ต้องออกแรงแม้แต่หยดเดียว เราคิดไว้ไม่ผิดว่าต้องมีคนเอา 2 สิ่งนี้มารวมกันเข้าสักวัน และมันก็เกิดขึ้นจริงแล้วในชื่อ ‘StarkBoard’ เหมือนได้แรงบันดาลใจมาจากความไฮเทคของ Tony Stark เราจะเรียก StarkBoard ว่าเป็น Skateboard อัจฉริยะก็ไม่ผิด เพราะรูปทรงของมันยังคงเป็น Skateboard อย่างชัดเจน แต่มีการเพิ่ม weight sensor และ motion sensor เข้าไป ทำให้สามารถเคลื่อนที่ได้จากการโน้มตัวเช่นเดียวกับที่ใช้ใน Segway ดังนั้นต่อให้เล่น Skateboard ไม่เป็นเลย ก็ไม่มีปัญหา เรียนรู้แค่ไม่กี่นาทีก็เพียงพอที่จะออกไปผจญภัยบนถนนได้ทันที StarkBoard เคลื่อนไหวด้วยพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ ชาร์จไฟเต็มหนึ่งครั้ง สามารถเดินทางได้ 20 km ซึ่งเหลือเฟือสำหรับการเดินทางไปมาในเมือง ด้วยความเร็วสูงสุด 32 km/h มอเตอร์ไฟฟ้าที่ทรงพลังสามารถส่งกำลังพาเราขึ้นทางลาดชันได้ถึง
ไม่รู้ว่าชาว UNLOCKMEN ที่อายุเกิน 25 ขึ้นไป ยังพอจำการ์ตูนบาสเก็ตบอลเรื่อง Slam Dunk ได้บ้างหรือเปล่า เพราะเมื่อไม่นานมานี้ทีมงานได้นำมันกลับมาปัดฝุ่นอ่านอีกหนึ่งรอบเพื่อระลึกความหลังในวัยเยาว์ แต่เชื่อหรือไม่ว่าแม้การ์ตูนเรื่องนี้จะผ่านเวลามานานกว่า 20 ปีแล้ว แต่เนื้อหาภายในเรื่องก็ยังเต็มไปด้วยมนต์ขลังที่สามารถนำมาเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้อ่าน แถมสนุกเพลิดเพลินชนิดที่ไม่ตกยุคเลย นอกเหนือจากเนื้อหาที่สนุกเร้าใจ สมจริง ยังมีอีกประเด็นหนึ่งที่ถูกพูดถึงอย่างมากภายในเรื่อง นั่นคือ sneakers ที่อาจารย์ ทาเคฮิโกะ อิโนอุเอะ เลือกใช้ก็ครองใจวัยรุ่นไปตาม ๆ กัน และเราเองก็เชื่อว่า sneakerhead รุ่นเก่าส่วนใหญ่ล้วนมีจุดเริ่มต้นมาการ์ตูนเรื่องนี้เช่นกัน ดังนั้นเพื่อเป็นการย้อนวันเวลา เราจะขอนำเสนอรองเท้า sneakers คู่เด็ดย้อนวัยไปในมังงะ Slam Dunk ว่ามีอะไรโดนใจเราบ้าง Converse ERX 360 สำหรับรองเท้าคู่นี้เป็นรองเท้าที่ตัวละคร อาคางิ ทาเคโนริ ผู้เล่นตำแหน่งเซ็นเตอร์กัปตันทีมโชฮาคุ สวมใส่ ซึ่งมันเป็นรองเท้าบาสรุ่นคลาสสิคของ Converse ที่ในปัจจุบันหาได้ยากแล้ว Converse ERX 360 เป็นรองเท้าสาย power ที่จะเน้นหนักในเรื่องการกันกระแทก โดยการใส่
ปัจจุบันอาชีพขายรองเท้ารีเซลนับว่าได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม เนื่องจากเม็ดเงินที่สามารถทำกำไรให้กับผู้ขายรวมแล้วมีรายได้ดีกว่าการเล่นหุ้นหรือซื้อทองเสียอีก จึงทำให้มีพ่อค้าแม่ค้ามากมายต่างกระโดดลงมาร่วมวงในตลาดนี้อย่างคึกคัก โดยเรื่องนี้ถือเป็นแง่ร้ายสำหรับ Sneakershead มือใหม่ที่อาจจะไม่ได้มีเงินทองมากมาย เพราะต้องมาต่อสู้แย่งชิงกับพลังเงินของพ่อค้าแม่ค้ามืออาชีพที่พร้อมทำทุกวิถีทาง เพื่อที่จะได้รองเท้ารุ่นลิมิเตดมาไว้เก็งกำไรขายต่อ แต่ในอีกแง่มุมหนึ่งสำหรับ Sneakerhead ที่มีกำลังทรัพย์ ซึ่งอาจจะไม่ได้มีเวลามานั่งเข้าแคมป์ ต่อแถวจับฉลากเหมือนกับคนอื่น ก็จะมีช่องทางสามารถหาซื้อรองเท้าได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยแลกกับการจ่ายเงินที่แพงกว่าราคากลางเสียเล็กน้อย อันนี้ก็เป็นดุลยพินิจของแต่ละคนไป เนื่องจาก Demand กับ Supply มันไม่เท่ากัน ดังนั้นในวันนี้ทีมงาน UNLOCKMEN จะขอมาแนะนำร้านรองเท้า Resell ต่าง ๆ ที่หลบซ่อนตัวอยู่ในกรุงเทพฯ เพื่อที่จะให้ทุกคนได้ไปจับจ่ายใช้สอยรองเท้ารุ่นลิมิเตดกันอย่างจุใจ NICEFEET รองเท้าสตรีทแวร์น้องใหม่อีกหนึ่งร้านที่ตั้งอยู่ในสยามสแควร์ ซึ่งร้านนี้ค่อนข้างโด่งดังในหมู่นักสะสมรองเท้า เพราะว่าพวกเขาเคยรับหิ้วรองเท้ารุ่นหายากทางช่องทางออนไลน์ มาก่อนหน้าที่จะมาเปิดร้าน เป็นของตัวเอง ดังนั้นหากคุณไป ร้าน NICEFEET แน่ใจได้เลยว่ารองเท้าทุกคู่ที่มาวางขายในร้านจะต้องเป็นรุ่นที่หายากสุด ๆ อย่างแน่นอน Facebook : Nicefeetth Yo! Khris ร้านสนีกเกอร์สุดแนวที่ตั้งอยู่ใจกลางสยามสแควร์ ซึ่งเป็นแหล่งรวมรองเท้ารีเซลที่ทีมงาน UNLOCKMEN คิดว่าน่าจะมีจำนวนมากที่สุดแล้วในปัจจุบัน เพราะในร้านมีรองเท้าโมเดลต่าง ๆ ไม่ต่ำกว่า 1,000 คู่
ชื่อ Aston Martin เป็นชื่อที่ฟังดูขลัง มีเรื่องราวที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นความเก่าแก่หรือการเป็นรถยนต์คู่ใจสายลับสุดเท่อย่าง Sean Connery โดยเฉพาะเรื่องของเทคโนโลยี และดีไซน์การออกแบบที่มีเอกลักษณ์ส่วนตัวเกือบทุกรุ่น นั่นก็ดูจะเป็นความยากของทีมนักออกแบบของ Aston Martin เพราะมันไม่ง่ายเลยที่จะสร้างรถโดยยึดความคลาสสิคของเส้นสายในประวัติศาสตร์ตั้งแต่ 1960s พร้อมบวกความทันสมัยที่สง่างามเข้าไปตามยุคสมัย แต่ดูเหมือนว่า Aston Martin Vantage คันนี้จะเป็นผลงานที่การันตีฝีมือของทีมงานนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม หลายคนอาจจะไม่รู้ว่า Aston Martin Vantage สุดเท่คันนี้ ถือเป็นรถรุ่น entry level ของ Aston Martin ด้วยราคาเริ่มต้นราว $150,000 หรือ 5,000,000 บาทไทยเท่านั้น ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องการออกแบบหรือเทคโนโลยี ถ้าเปิดมาในบ้านเราราคานี้ เชื่อว่าถนนต้องเต็มไปด้วย Vantage แล้วแน่นอน แต่แม้จะเป็นรุ่นเริ่มต้น มันก็มาพร้อมความแรงระดับ 503 แรงม้า ฉุดกระชากลากถูด้วยแรงบิด 505 pound-feet ทำความเร็วสูงสุดที่ 312 km/h จากเครื่องยนต์ 4.0-liter twin-turbo