World

ย้อนรอย ‘อาถรรพ์แชมป์เก่าฟุตบอลโลก’อะไรคือสาเหตุที่พวกเขาต้องรีบเก็บกระเป๋ากลับบ้าน?

By: PERLE June 29, 2018

กลายเป็นว่าทีมเต็งต้องเก็บกระเป๋ากลับบ้านก่อนใครในฟุตบอลโลก 2018 สำหรับขุนพลอินทรีเหล็กเยอรมัน หลังจากกิมจิติดคอพ่ายให้กับทีมชาติเกาหลีใต้ 2-0 หยุดเส้นทางไว้แค่รอบแบ่งกลุ่มโดยจบอันดับสุดท้าย แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทีมดีกรีแชมป์เก่าพลิกล็อกตกรอบแบ่งกลุ่ม เพราะเหตุการณ์เช่นนี้มีให้เห็นบ่อย ๆ โดยเฉพาะในฟุตบอลโลก 5 ครั้งหลัง ทีมแชมป์เก่าตกรอบแบ่งกลุ่มถึง 4 ครั้งด้วยกัน นี่จึงเปรียบเสมือนอาถรรพ์หนึ่งในฟุตบอลโลก วันนี้ UNLOCKMEN จึงขอพาไปย้อนรอยตั้งแต่ปี 2002 ว่ามีทีมแชมป์เก่าทีมไหนตกรอบแรกบ้าง และมันคืออาถรรพ์จริง ๆ หรือเกิดจากสาเหตุอะไรกันแน่

ทีมชาติฝรั่งเศส – ฟุตบอลโลก 2002

Image: http://magazineoffootballpictures.blogspot.com

หลังจากคว้าแชมป์โลกสมัยแรกได้สำเร็จเมื่อฟุตบอลโลกปี 1998 ที่ตัวเองเป็นเจ้าภาพ 4 ปีต่อมาฟุตบอลโลก 2002 ที่ประเทศเกาหลีใต้และญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพร่วม ทีมตราไก่ฝรั่งเศสกลับมาอีกครั้งพร้อมขุมกำลังนักเตะระดับโลกเต็มทีม สื่อหลายแห่งยกให้เป็นถึงเต็ง 2 เป็นรองแค่ทีมชาติบราซิลเท่านั้น แต่แค่นัดเปิดสนามเรื่องช็อกโลกก็เกิดขึ้น เมื่อทีมแชมป์เก่าพ่ายแพ้ต่อทีมชาติเซเนกัลซึ่งในขณะนั้นเป็นแค่ชาติโนเนม ได้สิทธิ์มาแข่งฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเป็นครั้งแรกไป 1-0 และวิบากกรรมของทีมตราไก่ยังไม่จบลงเท่านี้เพราะอีก 2 นัดต่อมาพวกเขาก็ทำได้เพียงเสมอกับทีมชาติอุรุกวัย 0-0 จากนั้นก็ส่งท้ายด้วยการแพ้ทีมชาติเดนมาร์ก 2-0 รั้งอันดับสุดท้ายของกลุ่ม ตกรอบไปแบบไม่มีใครคาดคิด ที่สำคัญคือยิงประตูไม่ได้เลยสักประตูเดียว

มันเกิดอะไรขึ้น? ถ้าตัดเรื่องความเชื่อหรืออาถรรพ์ออกไป หนึ่งสาเหตุที่พอจะเข้าเค้าคือนักเตะตัวหลักของทีมชุดนี้อายุเยอะเกินไป ยกตัวอย่างเช่น Frank Leboeuf (34 ปี), Emmanuel Petit (31 ปี), Marcel Desailly (33 ปี), Youri Djorkaeff (34 ปี) เป็นต้น ดังนั้นเมื่อเจอกับทีมที่หนุ่มกว่า สดกว่า ฟิตกว่า ถึงแม้ว่าทักษะจะด้อยกว่าแต่นั่นก็ไม่เพียงพอให้พวกเขาสามารถเอาชนะได้

ทีมชาติอิตาลี – ฟุตบอลโลก 2010

ข้ามมาถึงฟุตบอลโลกปี 2010 เนื่องจากในปี 2006 ทีมชาติบราซิลแชมป์เก่าเมื่อปี 2002 สามารถรอดพ้นอาถรรพ์ไปได้ เพราะสามารถผ่านไปถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ แต่เหตุการณ์แบบนั้นไม่เกิดขึ้นกับทีมชาติอิตาลีชุดฟุตบอลโลก 2010 พวกเขาคือแชมป์โลกเมื่อ 4 ปีที่แล้ว และได้รับการยกย่องว่าคือทีมที่เล่นเกมรับดีที่สุดในขณะนั้น แต่สุดท้ายก็ล้มขมำไม่เป็นท่าเช่นกัน

ในฟุตบอลโลก 2010 ทีมชาติอิตาลีอยู่กลุ่ม F ร่วมกับทีมอย่างปารากวัย, นิวซีแลนด์, สโลวาเกีย ถ้ามองอย่างผิวเผินนี่คือกลุ่มในฝันสำหรับทีมอัซซูรี่ เพราะเพื่อนร่วมกลุ่มแต่ละทีมศักยภาพด้อยกว่าพวกเขาอย่างชัดเจน แต่แท้จริงแล้วมันคือดาบสองคม ทีมชาติอิตาลีลงเล่นแต่ละนัดด้วยความประมาทอย่างเห็นได้ชัด ด้วยความคิดที่ว่ายังไงทีมตัวเองก็เหนือกว่า สุดท้ายเมื่อจบการแข่งขัน 3 นัดในรอบแบ่งกลุ่ม ไม่มีใครคาดคิดว่าทีมบ๊วยของกลุ่มคือแชมป์เก่าเมื่อ 4 ปีก่อน พวกเขาเสมอกับทีมชาติปารากวัย 1-1 เสมอกับทีมชาตินิวซีแลนด์ 1-1 แพ้ทีมชาติสโลวาเกีย 3-2 มีแค่ 2 แต้ม เก็บกระเป๋ากลับบ้านด้วยความอับอาย

นอกจากความประมาทแล้วอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้พวกเขาตกรอบก็คือนอกจากในแนวรับแล้ว ตำแหน่งอื่น ๆ พวกเขาแทบไม่มีนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์อยู่เลย จริงอยู่ที่ว่ากองหน้าอย่าง Vincenzo Iaquinta หรือ Antonio Di Natale  เป็นนักเตะที่ทำผลงานในระดับสโมสรได้ดีพอสมควร แต่ในเวทีอย่างฟุตบอลโลกบอกได้เลยว่าพวกเขาดีไม่พอ ด้วยเหตุนี้ทีมแดนรองเท้าบูทจึงเป็นอีกทีมที่โดนอาถรรพ์เล่นงาน

ทีมชาติสเปน – ฟุตบอลโลก 2014

ใครจะคาดคิดว่าทีมชาติสเปนยุคครองโลก แข็งแกร่งทุกขุมกำลัง จะพลาดท่าตกรอบแรกฟุตบอลโลกปี 2014 ได้ เพราะต้องบอกเลยว่านี่คือทีมชาติสเปนชุดที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของพวกเขา มีสไตล์การเล่น ‘Tiki-Taka’ ที่เน้นการต่อบอลเท้าสู่เท้าอันเลื่องชื่อ อายุเฉลี่ยนักเตะกำลังอยู่ในจุดพีค ไม่เด็กเกินไปไม่แก่เกินไป และค้าแข้งอยู่ในสโมสรชั้นนำของโลกกันทุกคน นี่คือทีมเต็ง 1 ในฟุตบอลโลก 2014 แบบไม่มีใครค้าน

แต่แค่นัดเปิดสนามสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกินขึ้น เมื่อทีมกระทิงดุดีกรีแชมป์เก่าโดนทีมอัศวินสีส้มเนเธอร์แลนด์ไล่อัดเละเทะไปถึง 5-1 ราวกับว่านี่คือการปลดปล่อยความแค้นที่อัดอั้นมา 4 ปี เพราะเมื่อตอนรอบชิงชนะเลิศปี 2010 ทีมชาติสเปนเอาชนะทีมชาติเนเธอร์แลนด์ 1-0 คว้าตำแหน่งแชมป์โลกไปครอง หลังจากนั้นทีมชาติสเปนก็เหมือนยังเมาหมัดอยู่เพราะนัดต่อมาพวกเขาโดนทีมชาติชิลีที่ชื่อชั้นด้อยกว่าถลุงอีก 2-0 ถึงแม้ว่านัดสุดท้ายจะคืนฟอร์มถล่มทีมชาติออสเตรเลีย 3-0 แต่นั่นก็ไม่เพียงพอ เส้นทางของพวกเขาในฟุตบอลโลก 2014 สิ้นสุดลงแค่รอบแบ่งกลุ่ม

สาเหตุของความล้มเหลวครั้งนี้ค่อนข้างชัดเจน ไม่ได้เกี่ยวกับอาถรรพ์อะไรทั้งสิ้น แต่มันคือ ‘ความอิ่มตัวในความสำเร็จ’ และ ‘หมดความกระหาย’ เพราะทีมสเปนชุดนี้อยู่บนบัลลังก์มานานเหลือเกิน คว้าแชมป์รายการระดับเมจอร์ถึง 3 รายการติดต่อกัน ไล่มาตั้งแต่ ฟุตบอลยูโร 2008, ฟุตบอลโลก 2010, ฟุตบอลยูโร 2012 ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพง่าย ๆ ก็คงเหมือนคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตทุกอย่างไม่มีอะไรให้ไขว่คว้าจนรู้สึกหมดไฟในการใช้ชีวิตประมาณนั้นแหละ

ทีมชาติเยอรมัน – ฟุตบอลโลก 2018

เป็นเรื่องยากที่จะเชื่อว่าทีมชาติเยอรมันจะโดนอาถรรพ์นี้เล่นงานกับเค้าด้วย เนื่องจากทีมชาติเยอรมันเป็นทีมที่มีมาตรฐานฟุตบอลสูง มีความคงเส้นคงวา เคี่ยว แพ้ยาก และในเรื่องของขุมกำลังนักเตะที่ขนมาลุยศึกฟุตบอลโลก 2018 ก็ดูไม่ได้ด้อยกว่าเมื่อ 4 ปีที่แล้วเท่าไรนัก ถึงแม้ว่าจะเริ่มต้นสตาร์ทได้ไม่ดี แพ้ต่อเม็กซิโก 1-0 แต่เชื่อว่าแฟนบอลทั่วโลกยังมั่นใจว่าพวกเขาจะสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาเข้ารอบได้อย่างแน่นอน แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นเช่นนั้น

อะไรคือสาเหตุของการที่อินทรีตัวนี้ปีกหัก? น่าจะมาจากหลายปัจจัยรวมกัน ข้อแรกคือการที่โค้ชอย่าง Joachim Löw คุมทีมมานานเกิน 10 นับตั้งแต่จบฟุตบอลโลก 2006 จึงไม่แปลกที่ทีมคู่แข่งจะเริ่มจับทางและอ่านแท็คติกของเขาออก ข้อต่อมาคือการขาดศูนย์หน้าที่ฝากความหวังได้ โดยในฟุตบอลโลกครั้งนี้ทีมชาติเยอรมันใช้กองหน้าตัวหลักเป็น Timo Werner ไม่ปฏิเสธว่าเขาคือนักเตะที่มีความสามารถ แต่ตำแหน่งที่เขาจะเล่นได้ดีคือกองหน้าด้านข้างไม่ก็เล่นหน้าคู่ ดังนั้นเมื่อจับเขามาเล่นกองหน้าเป้าผลลัพธ์จึงออกมาอย่างที่เห็น ส่วนอีกคนคือ Mario Gomez กองหน้าจอมเก๋าที่ในอดีตเขาอาจจะเคยเป็นนักเตะที่ดี แต่ในตอนนี้พูดตรง ๆ ว่าเขาหมดสภาพแล้วโดยสิ้นเชิง ข้อสุดท้ายคือทีมอินทรีเหล็กชุดนี้ขาดพี่ใหญ่ผู้นำด้านจิตใจ เมื่อ 4 ปีที่แล้วพวกเขามีนักเตะอย่าง Philipp Lahm หรือ Miroslav Klose  แต่ในคราวนี้ไม่มีนักเตะแบบนี้เลยสักคนเดียว นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ทีมชาติเยอรมันต้องเลื่อนตั๋วกลับบ้านเร็วกว่ากำหนด

 

ถึงแม้จะใช้คำว่าอาถรรพ์แต่ถ้าเราวิเคราะห์ดี ๆ จะเห็นได้ว่าทุกอย่างล้วนแต่มีสาเหตุซ่อนอยู่ อย่างไรก็ตามก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันคือเรื่องบังเอิญเกินไปจริง ๆ และก็น่าติดตามเป็นอย่างยิ่งว่าแชมป์ฟุตบอลโลก 2018 ครั้งนี้จะมีชะตากรรมเช่นไรในฟุตบอลโลก 2022 ที่ประเทศกาตาร์

 

PERLE
WRITER: PERLE
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line