Entertainment

THE PROFILES: CHARLES MANSON ฮิปปี้สู่พระเจ้าลัทธิฆาตกรผู้สร้างความโสมมให้กับยุค 60

By: TOIISAN June 22, 2019

ในโลกของวงการฮอลลีวูดทำให้เราได้เห็นภาพยนตร์และซีรีส์มากมายที่สร้างขึ้นจากชีวิตจริงของฆาตรโหด เช่น Mindhunter จาก Netflix หรือภาพยนตร์เรื่อง Once Upon a Time in Hollywood ที่ถือเป็นภาพยนตร์ที่ทำให้ใครหลายคนจับตามองตั้งแต่เห็นรายชื่อนักแสดงและผู้กำกับ Quentin Tarantino กับการเล่าเรื่องราวสะเทือนขวัญของวงการฮอลลีวูดช่วงปี 1969  แต่ในวันนี้ UNLOCKMEN ไม่ได้มาพูดถึงตัวหนังและซีรีส์มากนักแต่จะเจาะลึกไปยังลัทธิประหลาดที่เกิดขึ้นจริงอย่าง Manson Family ที่สั่นประสาทไปทั่วลอสแองเจลิส

 

จุดเริ่มต้นของ Manson Family 

Credit George Brich/Associated Press

“ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองปกติ และไม่เคยพยายามจะเป็นปกติ”

เรื่องราวที่น่าเศร้าครั้งหนึ่งของวงการฮอลลีวูดเริ่มต้นขึ้นจากชายคนหนึ่งนามว่าชาร์ลส์ แมนสัน (Charles Milles Manson) เขาเป็นคนที่มีประวัติแย่ตั้งแต่วัยรุ่นจากการก่ออาชญากรรมเล็ก ๆ อย่างขโมยรถ ปลอมแปลงเช็ก ทำให้เข้าออกคุกอยู่บ่อยครั้งและเมื่อโตขึ้นเขาก็เข้าสู่กลุ่มแก๊งที่เรียกตัวเองว่าเป็น “พวกฮิปปี้” เคยเป็นศิลปินที่มีผลงานในลอสแองเจลลิส ก่อนจะกลายเป็นศาสดาแห่งลัทธิประหลาดที่เขาตั้งขึ้นมาเอง

Charlie Says

แมนสันเป็นชายที่มีความคิดแตกต่างจากคนทั่วไป เขามองว่าสักวันหนึ่งโลกจะต้องเกิดสงครามครั้งใหญ่ระหว่างชาวผิวขาวและชาวผิวสี แถมยังคิดไปไกลอีกว่าหลังจากสงครามสิ้นสุดลงผู้ชนะคือพวกผิวสี แต่เพราะความโง่ของคนดำ (แมนสันว่ามาแบบนี้) ที่ทั้งเขลาและไร้ความสามารถจะทำให้ปกครองกันไม่ได้ เขาและกลุ่มคนในครอบครัวจึงจะขึ้นมาเป็นผู้นำพร้อมปกครองโลกให้น่าอยู่ไปตลอดกาล

เมื่ออ่านแล้วหลายคนคงรู้สึกไม่ต่างกันว่าคนเพ้อเจ้อแบบแมนสันคงเป็นพวกเพี้ยน ๆ มีความคิดหัวรุนแรงและเสพยามากจนเกินไป แต่กลายเป็นว่ามีคนจำนวนไม่น้อยรู้สึกว่าสิ่งที่แมนสันคิดอาจเป็นเรื่องจริงเข้าสักวันหนึ่ง และเมื่อคนที่คิดเหมือนกันได้มาพบเจอพวกเขาจึงรวมกลุ่มกันเป็นลัทธิโดยมีชาร์ลส์เป็นหัวหน้าพร้อมใช้ชื่อว่า Manson Family 

Charlie Says

แมนสันเป็นชายถือว่ามีพรสวรรค์ด้านวาทศิลป์ไม่น้อย เขาได้ใช้บทเพลง Helter Skelter ของวงดนตรีร็อกชื่อดังจากเกาะอังกฤษอย่าง The Beatles ในปี 1968 มาตีความใหม่ บอกกับคนในครอบครัวว่าสงครามสีผิวกำลังใกล้เข้ามาทุกที และเมื่อสงครามเกิดพวกเราก็จะหลบหนีลงใต้ดินและเดินทางไปยังเมืองทองคำที่ตั้งอยู่ ณ หุบเขามรณะ ซึ่งน่าแปลกมากที่สมาชิกในครอบครัวก็เชื่อที่เขาพูดอย่างไร้ข้อกังขา 

Charlie Says

เมื่อได้ชื่อลัทธิที่น่าพอใจกับจำนวนคนที่เริ่มเยอะขึ้น หลังจากเสเพล เสพยา เซ็กซ์หมู่กันจนเบื่อ สิ่งต่อไปที่แมนสันต้องการจะทำคือการฝึกฆ่าและก่ออาชญากรรมสะเทือนขวัญโดยใช้คนขาวเป็นเหยื่อและป้ายความผิดให้เหมือนเป็นความผิดของคนผิวสี เพราะเขาคิดว่าหากรอต่อไปเรื่อย ๆ ก็คงจะไม่เกิดสงครามเสียที สู้จุดชนวนความขัดแย้งทำให้คำทำนายของเขาเกิดเร็วขึ้นจะดีกว่า เมื่อคิดได้ดังนั้น Manson Family จึงเริ่มทำตามแผนโดยการหาเหยื่อผู้โชคร้ายสักคนสองคน 

 

 

Sharon Tate นางเอกสาวผู้โชคร้าย

biography

ตัดภาพจากครอบครัวแมนสันไปยังวงการฮอลลีวูดในช่วงเวลานั้น มีนักแสดงหญิงคนหนึ่งกำลังรุ่งและโด่งดังเป็นพลุแตก เธอคือ ชารอน เทต (Sharon Tate) นางเอกสาวอายุ 26 ปี ที่มาแรงมากของวงการ เธอมีชีวิตที่ประสบความสำเร็จทั้งงานและความรัก แต่งงานกับผู้กำกับชื่อดังอย่าง โรมัน โปลันสกี (Roman Polanski) แถมเธอกำลังตั้งท้องลูกได้แปดเดือนและมีกำหนดการคลอดในไม่ช้า 

Once Upon a Time in Hollywood

กลางดึกของคืนวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 1969 เป็นวันที่โรมันมีงานกำกับภาพยนตร์อยู่ที่ลอนดอน ส่วนชารอน รวมถึงช่างแต่งหน้า นักเขียน เจ้าของร้านกาแฟกับแฟนทั้งหมด 5 คน อยู่ด้วยกันในบ้าน เหตุร้ายมาเยือนเมื่อครอบครัวแมนสันได้ตัดสายโทรศัพท์บ้าน จากนั้นฆ่าเด็กวัยรุ่นที่บังเอิญขับรถผ่านมาด้วยการยิงปืน 4 นัด ก่อนที่จะยกพวกบุกเข้าไปในบ้านและสังหารคนที่อยู่ข้างในจนหมด บางคนโดนยิงศีรษะ บางคนหนีออกมานอกบ้านแต่หนีไม่พ้นโดนกระหน่ำแทงเกือบ 51 แผล เสียชีวิตคาที่บนสนามหญ้า

ร่างไร้ชีวิตบางร่างโดนลากไปแขวนไว้บนขื่อบ้าน ส่วนชารอน เทต ที่ท้องแก่ถูกกระหน่ำแทง 16 แผล โดนกรีดท้องทั้งที่เธอร้องขอให้พวกเขาปล่อยเธอและลูกในท้องไป เมื่อสังหารทุกคนในบ้านจนหมด ครอบครัวแมนสันได้ทิ้งคำว่า PIG ด้วยสีแดงสดที่ประตูบ้าน ส่วนแรงจูงใจที่แมนสันเลือกบ้านหลังนี้อาจเป็นเพราะมันเคยเป็นบ้านของผู้อำนวยการผลิตรายการโทรทัศน์ที่เคยปฏิเสธการเซ็นสัญญาทำงานร่วมกับแมนสัน แต่ตัวเขาย้ายไปอยู่มาลิบูและให้ขายต่อมันให้โรมันกับชารอนก็เป็นได้

 

 

คดีสังหารที่บ้าน LaBianca 

Charlie Says

หลังจากที่สมาชิกของครอบครัวจบภารกิจครั้งแรกที่บ้านของชารอน เทต ไว้อย่างเละเทะ ชาร์ลส์ แมนสัน ไม่พอใจกับสิ่งที่ครอบครัวเขาทำ เพราะมีคนออกมาตายนอกบ้านและชิ้นเนื้อซากศพเลอะเต็มบ้านไปหมด ทำให้แผนในครั้งต่อไปชาร์ลสตัดสินใจลงมือด้วยตัวเอง โดยผู้โชคร้ายคือสามีภรรยาตระกูลลาเบียงก้า (LaBianca) ครอบครัวมั่งคั่งจากการเป็นเจ้าของกิจการซูเปอร์มาร์เก็ต 

แมนสันได้พาสมาชิกของลัทธิบุกเข้าไปในบ้าน จับสามีภรรยาลาเบียงก้ามัดติดกันและปิดตาทั้งสองคนด้วยปลอกหมอน โดยสภาพศพของทั้งสองคนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปพบคือทั้งคู่ถูกแทงและมีรอยถูกสายไฟรัดคอ บนท้องของเหยื่อมีคำว่า ‘WAR’ รวมถึงคำว่า ‘RISE’ และ ‘DEATH TO PIG’ เขียนไว้บนกำแพง พร้อมกับประโยค ‘Healter Skelter’ ที่สะกดคำผิดไว้บนตู้เย็น

 

 

เหตุฆาตกรรมหมู่ Tate-Labianca ที่สะเทือนทั่ว Los Angeles 

ข่าวการถูกฆาตกรรมของคนในวงการฮอลลีวูดและเศรษฐีมีชื่อสร้างความหวาดกลัวลุกลามไปทั่วลอสแองเจลิส เหล่าคนมีเงินในเมืองรู้สึกว่าชีวิตของพวกเขาไม่ปลอดภัยดังเดิมทำให้หลายคนย้ายไปต่างเมือง และกดดันให้เจ้าหน้าที่ตำรวจรีบจับคนร้ายมาดำเนินคดีให้ได้ 

ไม่นานนักสมาชิกของครอบครัวแมนสันบางคนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมหลังจากก่อเหตุสังหารในบ้านของลาเบียงก้า แต่ได้รับเพียงข้อหาเบา ๆ อย่างการขโมยรถ เพราะไม่มีหลักฐานที่มากพอจะยืนยันได้ว่าครอบครัวแมนสันเป็นผู้ก่อเหตุฆาตกรรม Tate-Labianca

ท้ายที่สุดความจริงก็เริ่มปรากฏชัดเจน แมนสันและสมาชิกบางคนในครอบครัวถูกตัดสินว่ามีความผิดจริงในฐานะผู้ก่อเหตุคดีฆาตกรรมโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ข้อหาสมรู้ร่วมคิดในการกระทำฆาตกรรม และจำเลยทั้งหมดถูกตัดสินให้ประหารชีวิต อย่างไรก็ตามคำตัดสินประหารชีวิตถูกลดหย่อนลงให้เหลือแค่จำคุกตลอดชีวิตเพราะในช่วงเวลานั้นรัฐแคลิฟอร์เนียออกกฎหมายยกเลิกการประหารนักโทษพอดี

นอกจากนี้ ขนาดโดนจับกุมและต้องขึ้นศาลหลายครั้งเพื่อรับการพิจารณาคดี ชาร์ลส์ แมนสัน ยังคงสร้างความปั่นป่วนได้เสมอเมื่อครั้งหนึ่งเขาปรากฏตัวที่ศาลด้วยภาพลักษณ์แปลก ๆ อย่างการไว้หนวดรุงรังและโกนหัวจนเกลี้ยง ทำให้เหล่าครอบครัวที่ยังเหลืออยู่ต่างโกนหัวตามพร้อมกับมานั่งให้กำลังใจเขาตอนขึ้นศาล

TIME

ครั้งต่อมาก็ปรากฏตัวพร้อมกับรอยแผลรูปกากบาทที่หน้าผาก ทำให้สมาชิกในครอบครัวแมนสันที่ไม่ได้โดนจับกรีดหน้าผากตามเขาอีกเช่นกัน แสดงให้เห็นว่าสมาชิกในครอบครัวถูกล้างสมองอย่างไร้ข้อโต้แย้ง ไม่ว่าชาร์ลส์จะทำอะไรพวกเขาก็จะไม่สงสัยและทำตาม แถมตอนที่เขาอยู่ในคุกก็ได้รับจดหมายมากมายจากคนทั่วโลก บ้างก็เป็นจดหมายรัก จดหมายชื่นชม ไปจนถึงจดหมายสาปแช่ง ซึ่งท้ายที่สุดหลังจากใช้เวลากว่าครึ่งชีวิตอยู่ในเรือนจำพร้อมกับพยายามขอลดโทษ (แต่ศาลไม่เห็นด้วยเพราะเป็นคดีสุดสะเทือนขวัญ) ชาร์ลส์ แมนสัน ก็ได้จากโลกนี้ไปด้วยวัย 83 ปี 

 

Charles Manson ในโลกของภาพยนตร์

Charlie Says

เรื่องราวสะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นครั้งนี้ทำให้เขาถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์นับครั้งไม่ถ้วน และในปีนี้ก็มีหนังที่เกี่ยวข้องกับเขามาให้เราได้ดูกันถึงสองเรื่อง ได้แก่ Charlie Says (2019) ที่จะพาไปทำความรู้จักกับครอบครัวแมนสัน เล่าผ่านหญิงสาวกลุ่มหนึ่งที่หลงใหลในตัวชาร์ลส์และยอมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ยอมกลายเป็นเครื่องมือใช้สังหารจากคำอ้างของศรัทธา โดยได้แมทธิว สมิธ (Matthew Robert Smith) มารับบทเป็นชาร์ลส์ แมนสัน

นอกจาก Charlie Says (2019) ก็ยังมีซีรีส์ที่พูดถึงชาร์ลส์ แมนสัน ด้วยเช่นกันกับเรื่อง Mindhunter Season 2 ที่ในช่วงท้ายของ Trailer เราก็ได้เห็นเขาจากที่ไกล ๆ พร้อมกับความทรงพลังที่ทำให้เราเฝ้ารออยากดูเรื่องราวของเขา

ส่วนภาพยนตร์อีกเรื่องที่ชาร์ลส์โผล่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยคือเรื่อง Once Upon a Time in Hollywood (2019) ได้สองพระเอกตลอดกาลแห่งวงการฮอลลีวูดอย่างลีโอนาโด ดิคราปิโอ (Leonardo DiCaprio) และ แบรด พิตต์ (Brad Pitt) ร่วมแสดงนำ มาร์โก้ ร็อบบี้ (Margot Robbie) มารับบทเป็นชารอน และ เดมอน แฮริสัน (Damon Herriman) แสดงเป็นชาร์ลส์ แมนสัน

Once Upon a Time in Hollywood จะฉายพร้อมกันทั่วโลกวันที่ 9 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันครบรอบเหตุคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญครั้งใหญ่ของอเมริกา

เรื่องราวสุดสะพรึงของชาร์ลส์ แมนสันและครอบครัวทำให้เราได้เห็นว่า การเล่นกับจิตใจของมนุษย์เรื่องความเชื่อและการสร้างลัทธิสามารถล้างสมองของคนให้ทำสิ่งที่เลวร้ายที่สุดโดยไม่รู้สึกผิดได้ สะท้อนไปถึงเหตุการณ์ในชีวิตจริงหลายสิ่งที่เราต้องเผชิญ หากเราตกอยู่ในภาวะเหล่านี้แล้ว พวกเราจะเดินหน้าคล้อยตามหรือรู้ทันแล้วถอยออกมาก่อนจะลงมือทำสิ่งเลวร้ายกันแน่

 

SOURCE:  1 / 2 /3 / 4 / 5

TOIISAN
WRITER: TOIISAN
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line