CARS

LAMBORGHINI MIURA กระทิงนักสู้ตัวสำคัญที่ยังรันวงการ SUPERCAR ได้ถึงทุกวันนี้

By: Chaipohn May 30, 2020

ต้องขอบคุณ Ferrari และ Lamborghini Miura ในวันนั้น ที่ทำให้ Ferruccio Lamborghini (เฟอร์ลูซิโอ แลมเบอร์กินี) มีวันนี้ เพราะถ้าขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไป Mr. Lamborghini คงเป็นได้เพียงแค่นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ แต่ไม่มีทางได้เติมเต็มความฝันในการสร้างแบรนด์ Supercars ที่ดีที่สุดในโลกอย่างที่เจ้าตัวใฝ่ฝันเอาไว้

ทุกคนคงทราบดีอยู่แล้วว่า Lamborghini มีจุดเริ่มต้นจากบริษัทผลิตรถไถที่เกิดจากความอัจฉริยะของ Mr. Ferruccio Lamborghini ใช้ทั้งสมบัติเก่าและเศษซากหลังสงครามโลก บวกกับความรู้ด้านเครื่องยนต์ สร้างรถไถที่ไม่มีใครตามทัน ก่อนจะร่ำรวยจนซื้อ Supercars ดี ๆ เก็บไว้ขับเล่นมากมาย รวมถึง Ferrari

Lamborghini 350 GTV

แต่ระหว่างที่ขับไป ก็พบหลายสิ่งที่เจ้าตัวไม่ชอบ และรู้สึกว่า Ferrari ที่ถือว่าเป็นรถที่ดีที่สุดในยุคนั้นยังไม่สามารถมอบสิ่งที่ Lamborghini ต้องการได้ ระหว่างทางก็นึกได้ว่า ‘กูก็ทำเองซะเลยมั้ยล่ะ” จึงตัดสินใจก่อตั้ง Automobili Ferruccio Lamborghini S.p.A ขึ้นมาในปี 1963 โดยใช้ทั้งความรู้ ความรวยจากการทำธุรกิจมาลงทุนซื้อตัวคนสำคัญจาก Ferrari อย่าง Giotto Bizzarrini มาร่วมงาน

รถต้นแบบคันแรกถูกสร้างขึ้นในชื่อ Lamborghini 350 GTV ออกมาในปีเดียวกัน แม้จะไม่ประสบความสำเร็จมากนัก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแย่ซะทีเดียว เพราะมันคือรากฐานที่สำคัญของ Supercar กระทิงดุที่ทำให้ทั่วโลกรู้จักกับ Lamborghini ในเวลาต่อมาอีกเพียง 3 ปี

1965 Turin Salon Miura Chassis

3 ปีหลังเปิดตัว 350 GTV ก็ถึงเวลาของ Lamborghini Miura ซึ่งเป็นโปรเจคที่ทีมงานวิศวะกร 3 คน Gian Paolo Dallara, Paolo Stanzani และ Bob Wallace สร้างกันขึ้นมาอย่างลับ ๆ เนื่องจากทั้ง 3 คนอยากสร้างรถ Roadcar ที่แรงสะใจสำหรับขับบนถนน และพร้อมจะลงแข่งในสนามเมื่อต้องการ โดยประกอบตัวถังด้วย steel tub chassis ใช้ท่อนเหล็กประกอบกันเป็นตัวถังเพื่อวางเครื่องยนต์ 3.5-liter V12 360 bhp ไว้ด้านหลังคนขับแบบตามขวาง (transversely-mounted) ได้แรงบันดาลใจมาจาก Lola GT และตั้งชื่อให้มันว่า ‘P400’

มันถูกนำไปโชว์ในฐานะ Prototype โดยมีเพียงโครงเหล็ก แต่นั่นก็ทำให้มันได้รับความสนใจใน 1965 Turin Motor Show เป็นอย่างดี

Nuccio Bertone

Ferruccio มอบหมายให้ Nuccio Bertone ผู้อยู่เบื้องหลังการดีไซน์รถระดับ Iconic มากมาย เช่น Alfa Romeo Giulietta Sprint, Alfa Romeo Montreal และ Fiat 850 Spiders ให้รับผิดชอบออกแบบดีไซน์ ซึ่งผลที่ได้รับออกมาสวยงามชนิดไร้ที่ติ นายใหญ่จึงสั่งเพิ่มงานให้ผลิตตัวถังของ Miura ไปด้วยซะเลย ซึ่งด้วยระยะเวลาที่กระชั้นชิด จึงทำเสร็จเพียงแค่ไม่กี่วันก่อนถึงวันโชว์ตัวในงาน 1966 Geneva Motor Show

การแก้ปัญหาหน้างานมีมาตั้งแต่ยุคโบราณ ทีมช่างที่ไม่มีเวลาติดตั้งระบบเครื่องยนต์และเกียร์เข้าไปในรถได้ทันเริ่มงาน จึงต้องล็อคตัวถังไปทั้งอย่างนั้น แต่มันก็ดีพอที่จะได้รับเสียงปรบมือและรีวิวในแง่บวกมากมายจากแขกที่มาเยี่ยมชม

จากนั้นจึงมีการตั้งชื่อรุ่นอย่างเป็นทางการว่า Miura ซึ่งมาจากเชื้อสายกระทิงนักสู้ที่น่าเกรงขาม และกระทิงสายพันธุ์นี้ก็ได้รับเกียรติให้ปรากฏอยู่บนโลโก้ใหม่ของ Lamborghini ถึงปัจจุบัน

สิ่งเดียวที่ทำให้ Ferruccio หนักใจคือกำลังการผลิต Lamborghini Miura ที่มียอดจองล้นหลามชนิดผลิตไม่ทัน

และแม้ในปัจจุบัน มูลค่าของมันก็ยังสูงในหมู่นักสะสม เนื่องจากเป็นรถที่มีความสำคัญในประวัติศาสตร์ที่ผลิตออกมาเพียง 764 คันเท่านั้น และล่าสุด 1968 Lamborghini Miura S ในสภาพหมดจด มีเลขไมล์เพียงแค่ 19832 km ถูกเสนอขายอยู่ที่ $1 million USD หรือราว 30 ล้านบาท!

นอกจาก Lamborghini Miura S ไปดูกันว่าตลอดอายุขัยของมันมีผลิตออกมาทั้งหมดกี่รุ่น!


1968 Lamborghini Miura P400

Supercar คันแรกที่ทำให้โลกยอมรับ Lamborghini ทั้งในด้านดีไซน์ เทคโนโลยี และสมรรถนะ

Production Years: 1966 – 1969
Engine: 3.9 L Naturally Aspirated V12
Power: 350 hp @ 7,000 rpm
Torque: 300 lb-ft @ 5,500 rpm
0-60 mph: 6.3 seconds
0-100 mph: 14.3 seconds
Top Speed: 163 mph


1968-1971 Lamborghini Miura S

Generation ที่ 2 เปิดตัวในงาน 1968 Turin Motor Show มีการเพิ่มแรงม้าอีก 20 ตัว และออพชั่นความสะดวกสบายอย่างระบบแอร์และกระจกไฟฟ้า

Production Years: 1968 – 1971
Engine: 3.9 L Naturally Aspirated V12
Power: 370 hp @ 7,500 rpm
Torque: 287 lb-ft @ 5,500 rpm
0-60 mph: 5.5 seconds
0-100 mph: 12.3 seconds
Top Speed: 168 mph


1968 Miura Roadster

เวอร์ชั่นเปิดหลังคาเพียงหนึ่งเดียวที่ปรับแต่งโดย Bertone มีการปรับเปลี่ยนรายละเอีดยหลายจุดเช่น Air Intake ใหญ่ขึ้น มีการเปลี่ยนไฟท้ายและสปอยเลอร์หลังเป็นต้น

Production Years: 1968 (One Off)
Engine: 3.9 L Naturally Aspirated V12
Power: 350 hp @ 7,000 rpm
Torque: 272 lb-ft @ 5,750 rpm
0-60 mph: 6.6 seconds
0-100 mph: N/A
Top Speed: 174 mph


1971 Miura SV Prototipo

มีการปรับปรุงช่วงล่าง และปรับมิติรถให้กว้างและยาวขึ้น เปลี่ยนใช้ล้อที่ผลิตจาก magnesium เพื่อการขับขี่ที่เกาะถนนยิ่งขึ้น และมีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดดีไซน์เล็กน้อยแต่มีเกือบทั้งคัน เช่น ความโค้งของไฟหน้าที่กลมเนียนขึ้น เบาะนั่งสีดำ ตำแหน่งไฟเลี้ยวด้านหน้าที่ถูกรวมไว้ในกันชน  โดย Miura SV Prototipo คันนี้สร้างขึ้นแบบ One-off สำหรับใช้โชว์ในงน 1971 Geneva Auto Show เท่านั้น

Production Years: 1971 (One Off)
Engine: 3.9 L Naturally Aspirated V12
Power: 385 hp @ 7,850 rpm
Torque: 295 lb-ft @ 5,750 rpm
0-60 mph: 5.75 seconds
0-100 mph: N/A
Top Speed: 170 mph


1971 – 1973 Lamborghini Miura SV

รายละเอีดยเหมือนด้านบน เป็นรุ่นที่ผลิตหลังจากรถ SV ตัวต้นแบบ

Production Years: 1971 – 1973
Engine: 3.9 L Naturally Aspirated V12
Power: 385 hp @ 7,850 rpm
Torque: 295 lb-ft @ 5,750 rpm
0-60 mph: 5.75 seconds
0-100 mph: N/A
Top Speed: 170 mph


Lamborghini Miura SVJ

นี่คือรุ่นที่ถูกปรับปรุงให้แรงขึ้นสำหรับลงแข่งในสนาม แต่น่าเสียดายที่มันถูกผลิตเพียงคันเดียวและไม่มีวางขาย เพราะมันคือรถที่ Bob Wallace หนึ่งในสามผู้สร้าง Miura เป็นคนพัฒนาขึ้นมาโดยเน้นสมรรถนะและลดน้ำหนักให้เบาที่สุด และมันประสบอุบัติหายเสียหายไปในหน้าประวัติศาสตร์

Production Years: 1971 – 1975
Engine: 3.9 L Naturally Aspirated V12
Power: 440 hp @ 8,500 rpm
Torque: 296 lb-ft @ 6,500 rpm
0-60 mph: 3.6 seconds
0-100 mph: N/A
Top Speed: N/A


นอกจากโมเดลทั้งหมดนี้ ยังมีอีกรุ่นที่เป็น One-off แต่ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่โดยเฉพาะ เป็นเพียงการนำเอาโมเดลเก่าอย่าง Miura S มาตกแต่งใหม่ในรูปแบบหลังคา Targa และผู้บริหารคนใหม่ Patrick Mimran เรียกมันว่า P400 SVJ Spider เป้าหมายของมันมีเพียงการโชว์ตัวเคียงข้าง Lamborghini โมเดลใหม่ Jalpa และ LM002 ในงาน 1981 Geneva Motor Show โดยไม่มีแพลนจะนำไปผลิตจริง ทำให้มันเป็น 1 ใน 2 Miura เปิดหลังคาที่ผลิตโดย Lamborghini เท่านั้น ที่เหลือคือการตัดแต่งเองของอู่หรือเจ้าของรถ

 

Chaipohn
WRITER: Chaipohn
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line