Entertainment

กว่าจะมาเป็น BLACKPINK เส้นทางที่แสนยากลำบาก สู่ความดังระดับ TOP OF THE WORLD

By: unlockmen May 19, 2021

ในวันที่โลกของดนตรีถูกทลายกำแพงด้วยความหลากหลาย ใครจะไปคาดคิดว่า 4 สาวจากอีกซีกโลกหนึ่ง จะนำพาภาพลักษณ์ของตัวตน และดนตรีร่วมสมัยจนสามารถปักหมุดความนิยมไปทั่วทั้งโลกได้ในระดับปรากฏการณ์ หากเอ่ยชื่อ BLACKPINK ไม่มีใครไม่รู้จักพวกเธอทั้ง 4 แต่หลายคนอาจจะไม่รู้ว่าเส้นทางแห่งความสำเร็จของพวกเธอ จากเด็กน้อยฝึกหัด กว่าจะมาเข้าสู่ค่ายเพลงเกาหลี ไปจนถึงความดังระดับโลกนั้นไม่ใช่ง่าย ๆ ใครที่เคยคิดว่าแค่เต้นได้ หน้าตาดี แค่นี้ก็ดังได้ เราอยากให้มาดูกันว่าพวกเธอต้องผ่านอะไรมาบ้างกว่าจะอยู่จนถึงจุดสูงสุดขนาดนี้

 

ถึงแม้ BLACKPINK จะเป็นศิลปินเกาหลี แต่สาว ๆ ทั้ง 4 กลับมีที่มาที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

เริ่มต้นด้วย Jennie สาวเกาหลีที่ไปใช้ชีวิตในประเทศนิวซีแลนด์ตั้งแต่เด็ก / Rose สาวเกาหลีที่เกิดและเติบโตในประเทศออสเตรเลีย / Jisoo สาวเกาหลีพี่ใหญ่จากกรุงโซล และ Lisa สาวสายเลือดไทยเพียงคนเดียว ที่ต้องต่อสู้กับความเหงา ความโดดเดี่ยวจากถิ่นฐานบ้านเกิดเพื่อมาไล่ตามหาความฝันซึ่งไม่มีอะไรการันตีได้ว่าจะเป็นจริงได้หรือไม่ นี่คือสิ่งที่ทั้ง 4 ต่างรับรู้กันอย่างลึกซึ้ง โดยทั้ง 4 ข้ามน้ำข้ามทะเลจากต่างถิ่นต่างที่จนได้มาเจอกันที่ YG Entertainment เพื่อสานฝันในการเป็นศิลปินอย่างเต็มตัว

 

YG Entertainment เป็นแหล่งรวมความฝันของหนุ่มสาวทั่วโลกที่ใฝ่ฝันอยากร่วมงาน ประตูรั้วอาจจะเปิดต้อนรับเขาและเธอเข้ามาอย่างง่ายดาย แต่ใช่ว่าทุกคนจะได้กุญแจในการเปิดประตูบานต่อไปได้ง่าย ๆ

Jennie เข้าใจในความยากลำบากนี้เป็นอย่างดี เธอข้ามน้ำข้ามทะเลมาในฐานะเด็กฝึกหัด YG ตั้งแต่อายุ 15 ปี เพื่อสานฝันความสำเร็จจากเกิร์ลกรุ๊ปรุ่นพี่อย่าง 2NE1 ที่ปูทางสร้างทั้งแรงบันดาลใจ และสร้างแรงกดดันในคราวเดียวกันให้กับเด็กรุ่นหลังที่ต้องตามรอยความสำเร็จนี้ให้ได้

Jennie เล่าให้ฟังว่าเพื่อนร่วมรุ่นที่ร่วมฝึกซ้อมกับเธอค่อย ๆ หายไปทีละคนจนเหลือแค่เธอเพียงคนเดียว โชคยังดีที่มีสาวน้อยชาวไทยที่หอบหิ้วความฝันผ่านการประกวดร้องเต้นมาหลายเวทีอย่าง Lisa มาร่วมด้วยช่วยผลักดัน ก่อนจะตามมาสมทบด้วย Rose และ Jisoo

ทั้ง 4 ต่างฝึกซ้อมอย่างหนักเพื่อให้ชนะใจทีมงาน YG โดยแต่ละวันพวกเธอต้องซ้อมทั้งร้องทั้งเต้น วันละ 14 ชั่วโมง มีวันพักเพียง 2 วัน ต่อ 2 สัปดาห์ กว่าที่ทั้ง 4 จะเป็นที่พึงพอใจผ่านด่านโหดหินนี้ได้ก็ใช้นานถึงเวลา 4 – 6 ปี เลยทีเดียว โดยที่เธอไม่รู้เลยว่าวันข้างหน้าพวกเธอจะเป็นอย่างไร รู้แต่วันนี้พวกเธอต้องผ่านมันไปให้ได้และให้ดียิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ แล้วถ้าเป็นเรา จะอดทนได้ถึงขนาดนั้นหรือไม่?

 

ท่ามกลางความคาดหวังของแฟน ๆ มากมาย ในที่สุดทั้ง 4 ก็ได้เปิดตัวในนาม BLACKPINK ภายใต้คอนเซ็ปท์ “Pretty Isn’t Everything” ที่บ่งบอกว่าพวกเธอไม่ใช่มีแค่ความสวยอย่างเดียว แต่ยังครบเครื่อง ร้องก็ดี แร๊พก็ได้ เต้นก็เด็ด โดยพวกเธอเปิดตัวสร้างความฮือฮาด้วยดับเบิลซิงเกิ้ล “Whistle” และ “Boombayah” ในวันที่ 8 สิงหาคม 2016 และพวกเธอก็ไม่ทำให้ผิดหวัง

เมื่อทั้ง 4 ปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชน ทั้ง 4 มีคาแรคเตอร์ที่แตกต่างและสร้างความน่าจดจำตั้งแต่ซิงเกิ้ลแรกที่ผ่านการโปรดิวส์โดย Teddy Park เปลี่ยนหญิงสาวทั้ง 4 ให้กลายเป็นเกิร์ลกรุ๊ปที่มีความแปลก แหวก และแตกต่างได้อย่างมีชั้นเชิง ทั้ง 2 เพลงถูกปล่อยภายใต้ซิงเกิ้ลอัลบั้มที่ชื่อ Square One ลือลั่นไปด้วยการผสมผสานดนตรี EDM เข้ากันกับดนตรี Pop จนหลายสำนักต่างทำนายทายทักว่า BLACKPINK ไม่เพียงแค่จะตามรอยรุ่นพี่ได้สำเร็จเท่านั้น พวกเธออาจจะนำหน้ารุ่นพี่ไปได้ไกลกว่าที่ใครคาดคิดอีกด้วย

 

ด้วยคาแรคเตอร์อันชัดเจนของทั้ง 4 ที่แตกต่าง ไม่ว่าจะเป็น Jisoo พี่ใหญ่ของวงที่รูปโฉมสะกดใจ / Rose ที่มีน้ำเสียงที่ชวนหลงไหล / Jennie ที่มีคาแรคเตอร์ที่โดดเด่น และ Lisa ที่แร๊พและแดนซ์ได้ทรงพลัง ทั้ง 4 เสมือน สี่ดรุณีที่เพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติที่แตกต่างแต่ทั้ง 4 กลับไม่แย่งซีนซึ่งกันและกัน ตรงกันข้าม ทั้ง 4 ต่างหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้อย่างมหัศจรรย์

“ฉันไม่คิดว่าสมาชิกคนหนึ่งควรเต้นมากกว่านี้ หรือสมาชิกคนใดร้องเพลงได้มากกว่า ฉันคิดว่าความสามัคคีของ BLACKPINK นั้นสมบูรณ์แบบได้เพราะพลังของแต่ละคน” Jennie เคยกล่าวถึงตัวตนของพวกเธอทั้ง 4 ให้กับ Vogue Korea

 

แม้การฝึกฝนของพวกเธอจะยาวนานถึง 4 – 6 ปี แต่ความดังกลับมาหาเธอในเวลาไม่นานเท่า เพราะภายในเวลาเพียง 2 ปี นับจากซิงเกิ้ลแรก จนถึงซิงเกิ้ล “Ddu-Du Ddu-Du” ที่เปิดตัวแรงที่สุดแรงเป็นวีดีโอที่มีจำนวนผู้เข้าชมมากอันดับที่ 2 ภายในเวลา 24 ชั่วโมง เป็นรองเพียงเพลง Look What You Made Me Do ของ Taylor Swift เท่านั้น และ BlackPink ก็สร้างสถิติเป็นเพลงยอดวิวระดับพันล้านเพลงแรกของศิลปิน K-Pop ในเวลาต่อมา

หาก “Whistle” และ “Boombayah” คือใบเบิกทางให้คนเกาหลีได้รู้จักพวกเธอ “Ddu-Du Ddu-Du” ก็ทำให้มหาชนทั่วทั้งโลกต่างรับมนต์สะกดจากทั้ง 4 อย่างไม่ต้องสงสัย ภาพลักษณ์สุดเฟี้ยสที่กำลังพอดี มากับการทุ่มสุดตัวของค่าย YG ในการทำมิวสิควีดีโอที่สุดพิสดารพันลึกในทุก ๆ เพลง จนเกิดคลับที่เรียกด้อมแฟนตัวเองว่า BLINKS อยู่ทั่วทุกมุมโลก ทุกคนต่างมีความรักความชอบในสมาชิกแต่ละคนแตกต่างกันไป อาจจะชอบความสวยใสของ Jisoo ชอบในความเฟี้ยสของ Jenny อยากมีน้ำเสียงที่ทรงพลังในแบบ Rose หรือจะเดินตามความฝันแบบสู้ไม่ถอยแบบ Lisa จะด้วยความชอบแบบไหนก็ตามแต่ กราฟความดังของทั้ง 4 ก็ยังคงพุ่งทะยานไกลยิ่งขึ้น

ไม่เพียงพวกเธอเท่านั้น แต่ยังนำพาให้โลกได้รู้จักวัฒนธรรมดนตรี K-Pop ได้ถนัดชัดเจนยิ่งขึ้นอีกด้วย และเพลงนี้ก็นำพาให้ BLACKPINK ทะยานขึ้นชาร์ตทั้ง Billboard ในอันดับที่ 55 และ UK Charts ในอันดับที่ 78 ได้อย่างสมศักดิ์ศรี

 

หากเปรียบบทเพลงของ BLACKPINK คือหัวเชื้อชั้นดี จุดเร่งปฏิกิริยาให้ทั้ง 4 สาวกลายเป็นศิลปินระดับโลกอย่างรวดเร็ว ก็คือการเดินสายทัวร์คอนเสิร์ตนั่นเอง จากการเริ่มต้นด้วย BLACKPINK Arena Tour ทัวร์คอนเสิร์ต 8 รอบทั่วประเทศญี่ปุ่นในปี 2018 สู่ In Your Area World Tour ตั้งแต่ปลายปี 2018 จนถึงต้นปี 2020 จำนวนถึง 36 รอบ (โดยที่ไทยจัดถึง 6 รอบ) นับเป็นปรากฏการณ์ยิ่งใหญ่ เพราะทุกคนอยากเห็น Performance ของสาวทั้ง 4 และโปรดักชั่นระดับโลก ยิ่งตอกย้ำความยิ่งใหญ่ด้วยที่นั่ง Sold Out หมดอย่างรวดเร็วในแทบทุก ๆ โชว์

พร้อมกันนั้นซิงเกิ้ล Kill This Love ก็ช่วยเสริมส่งชื่อเสียงให้ยิ่งใหญ่มากขึ้นกว่าเดิม ในระยะเวลาไม่นาน BLACKPINK กลายเป็นความหวังของวงการ K-Pop ที่ควงแขนวงบอยแบนด์ BTS สร้างปรากฏการณ์ระดับโลกสู่สากลทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงอย่างแข็งแกร่ง

ไม่ใช่เพียง 2 วงนี้เท่านั้น แต่ยังทำให้ทั้งวงการ K-Pop มีศักยภาพเทียบเท่าระดับสากล แม้กระทั่งสื่อทรงอิทธิพลอย่าง Billboard ของอเมริกา หรือ NME ของอังกฤษ ยังต้องเพิ่มพื้นที่ให้กับวงการ K-Pop อีกด้วย

และที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับ BLACKPINK และชาวเกาหลีอย่างมาก คือการได้ไปปักหมุดบนเวทีเทศกาลดนตรี Coachella Festival 2019 ในฐานะเฮดไลน์โชว์ นับเป็นวงแรกของศิลปิน K-Pop ที่ได้มาเจิมเวทีศักดิ์สิทธิ์และทรงอิทธิพลงานนี้ ซึ่งพวกเธอหวังเพียงคนมาดูเพียงจำนวนหนึ่งพวกเธอก็ดีใจแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่าผู้คนมารอดูพวกเธอกันเต็มลาน กว่า 90% ล้วนแล้วแต่เป็นฝรั่งตาน้ำข้าวแทบทั้งสิ้นที่สามารถร้องและเต้นตามได้อย่างคล่องแคล่ว

ซึ่งการโชว์ของเธอก็ไม่ทำให้ผิดหวัง โดยสื่ออย่าง Vulture ถึงขนาดพาดหัวอย่างยิ่งใหญ่ถึงปรากฏการณ์นี้ว่า “BLACKPINK’s Coachella Performance Was a Historic Moment for K-Pop and Music’s Future”

 

 

และเพื่อผลักดันให้ BLACKPINK ได้เป็นศิลปินระดับโลกอย่างแท้จริง หากพวกเธอไม่ร่วมงานกับศิลปินระดับโลกก็คงกระไรอยู่ จุดเริ่มต้นของพวกเธอคือการร่วมงานกับศิลปินสาวที่ Jisoo และ Rose เคยเอ่ยปากกับเจ้าตัวว่าเธอปลื้มและยืดแบบอย่างของเธอผู้นี้ตั้งแต่สมัยเป็นเด็กฝึกหัด นั่นก็คือ Selena Gomez ที่ YG เชิญเธอมาร่วมร้องเพลงในซิงเกิ้ล Ice Cream ซึ่งศิลปินทั้ง 2 ต่างก็แอบปลื้มซึ่งกันและกันอยู่แล้ว และการร่วมงานนี้ก็สร้างพันธมิตรทางดนตรีที่ยิ่งใหญ่อีกครั้งของ Pop Culture ร่วมสมัย

ก้าวที่ 2 ของการร่วมงานกับศิลปินต่างชาติของพวกเธอก็ก้าวกระโดดไปไกลยิ่งกว่า นั่นคือการได้รับคำเชิญจากเจ้าแม่ป็อปแดนซ์สุดเฟี้ยส Lady Gaga ที่ชวนสาว ๆ ทั้ง 4 มาร่วม Featuring ในเพลง Sour Candy ซึ่ง Gaga ได้กล่าวยกย่องสาว ๆ BLACKPINK ถึงการร่วมงานครั้งนี้ว่า

“ฉันอยากจะทำเพลงที่เฉลิมฉลองในพลังหญิงอันแข็งแกร่ง และ BLACKPINK คือสัญลักษณ์ของพลังผู้หญิงยุคใหม่ เราทั้ง 2 ต่างตื่นเต้นที่จะได้ทำงานร่วมกัน ฉันเองก็ตื่นเต้นที่ได้รับการตีความเพลงนี้ในภาษาที่แตกต่างออกไป มันเต็มเปี่ยมด้วยความสร้างสรรค์และสนุกมาก ๆ”

แน่นอนว่าการร่วมงานของทั้ง 2 ยิ่งทำให้กำแพงของดนตรีเลือนลางออกไปจนเห็นพรมแดนของดนตรีของโลกอันกว้างใหญ่ที่ไม่มีอะไรขวางกั้นยิ่งขึ้นไปอีก

ไม่เพียงแค่การร่วมงานกับศิลปินเพลงเท่านั้น แต่ BLACKPINK ยังได้ไปร่วมงานกับดีไซน์เนอร์เจ๋ง ๆ มากมาย โดยทั้ง 4 ต่างแยกย้ายไปทำหน้าที่ในฐานะ Brand Ambassadors ให้กับแบรนด์หรูชั้นนำระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น Jisoo ที่เป็นให้กับ Dior / Jennie เป็นให้กับ Chanel / Rosé เป็นให้กับ Yves Saint Laurent และ Lisa ก็เป็นให้กับ Bulgari และ Celine รวมไปถึงทั้งวงก็ไปร่วมสร้างคอลเลคชั่นให้กับแบรนด์ Adidas อีกด้วย ไปจนถึงโปรดัคส์ต่างๆ ตั้งแต่เกมออนไลน์อย่าง PUBG Mobile ไปยันน้ำอัดลม Pepsi หรือธนาคารของไทยเราอย่าง กสิกรไทย ก็ล้วนแล้วแต่อยากได้ 4 สาวอนาคตไกลนี้มาเป็น Presenter กันทั้งนั้น

BLACKPINK X ADIDAS

 

นับตั้งแต่ก้าวแรกในฐานะ 4 สาวผู้อดทนไล่คว้าหาฝัน ที่ฝึกฝนตัวตนอย่างหนักหน่วงหลายต่อหลายปี ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้เลยว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร

จนถึงปัจจุบันที่ทุกคนเติบโตกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลแห่งวงการบันเทิงของทั้งเกาหลีและของโลกใบนี้

BLACKPINK คือตัวอย่างที่ดีของผู้อดทนเพื่อความฝัน และลงมือทำมันอย่างไม่ย่อท้อ

แน่นอนว่าการที่เธอมาไกลขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือปาฏิหาริย์ใด แต่คือผลลัพธ์ของการต่อสู้ การเสียสละ และการวางแผนที่ดี จนทำให้พวกเธอยืนหนึ่งได้ในวงการเพลง

และคงอีกนานกว่าที่ใครจะโค่นตำนานบทนี้ได้ลง 

unlockmen
WRITER: unlockmen
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line