CARS

DRIVE: Mercedes-AMG GT C ROADSTER V8 BI-TURBO 550HP “A HOT ROD ROCKET”

By: Chaipohn January 5, 2021

ก่อนหน้านี้เราได้นำเอา Mercedes-AMG CLS 53 4MATIC+ ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในโมเดลที่ได้รับความนิยมอย่างมากสำหรับนักขับรถตัวจริง มันสามารถใช้งานได้ดีในชีวิตประจำวัน สมรรถนะที่ถูกถ่ายทอดจาก AMG เครื่องยนต์ 6 สูบ 3.0 ลิตร เทอร์โบ พ่วง EQ Boost 435 แรงม้า แรงบิด 520 นิวตันเมตร ขับเคลื่อน 4 ล้อ 0-100km/h ใน 4.5 วินาที แม้จะไม่ใช่ One man, one engine แต่ก็เต็มไปด้วยจิตวิญญาณรถแข่งโดยทีม AMG ในทุกรายละเอียด

เชื่อว่าหลายคนอาจจะมีคำถามในใจว่า ตัวเลขสมรรถนะของ Mercedes-AMG CLS 53 4MATIC+ ยังขนาดนี้ แล้วถ้าเป็นโมเดลพิเศษที่สุดของค่ายอย่างตระกูล Mercedes-AMG GT ที่ถูกดีไซน์และสร้างโดย Mercedes-AMG เพื่อเป็นรถ Supercar โดยเฉพาะ มันจะสุดขนาดไหน วันนี้เรามีคำตอบมาให้แล้ว ขอสรุปล่วงหน้าสั้น ๆ ว่า “มันคือความแรงระดับ Supercar ที่หรูหรา ทันสมัย แข็งแกร่ง และขับได้ทุกวัน”

Mercedes-AMG GT เป็นรถสปอร์ต generation ที่ 2 ต่อจาก SLS AMG ที่ถูกพัฒนาโดยทีม Mercedes-AMG แบบ in-house ทั้งหมดตั้งแต่วางคอนเซปต์ ถูกนำออกสู่สายตา Car Enthusiasts ทั่วโลกครั้งแรกในวันที่ 9 กันยายน 2014 เปิดตัวด้วยรหัส GT และ GT S ก่อน จากนั้นจึงตามมาด้วยรหัสที่ร้อนแรงขึ้นใน GT C และรุ่นท็อปสุดใน GT R ซึ่งในประเทศไทยก็มีนักขับรถตัวจริงอย่างคุณเจ เจตริน และคุณ PK ที่ครอบครอง Mercedes-AMG GT R อยู่ในขณะนี้

Mercedes-AMG GT S ได้รับเลือกให้นำไปใช้ใน Formula 1 safety car ตั้งแต่ปี 2015, 2016, 2017 ก่อนจะเปลี่ยนเป็น Mercedes-AMG GT R ในปี 2018 จนถึงปัจจุบัน โดยถูกเรียกขานในวงการ F1 ว่านี่เป็น “The most powerful F1 safety car ever” หรือรถ safety car ที่แรงที่สุดเท่าที่เคยมีมา

Mercedes-AMG GT Black Series

นอกจากนี้ยังมีเวอร์ชั่น GT Race Car ในรหัส GT3, GT3 Evo, และ GT4 ซึ่งผ่านการปรับจูนสเปกให้เหมาะสมกับรูปแบบการขับ และล่าสุด Mercedes-AMG GT Black Series edition พิเศษที่เปลี่ยนข้อเหวี่ยงจาก Crossplane เป็นแบบ Flat-plane-crank V8 สามารถทำลายสถิติรถ Production Car ที่ทำเวลาดีที่สุดในโลกบนสนาม Nurburgring ไปในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาได้สำเร็จ ทั้งหมดจึงเป็นข้อพิสูจน์ศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัดของ Mercedes-AMG ได้อย่างชัดเจนที่สุด


2020 Mercedes-AMG GT C Roadster คันนี้เป็นเวอร์ชั่นที่ผ่านการ Facelift มาใหม่ สังเกตภายนอกได้จาก LED ในโคมไฟหน้า และกระจังหน้าทรง GT  ‘Panamericana’ grille โดย GT C นับเป็นโมเดลรุ่นกลางที่อยู่ระหว่าง GT S และ GT R ทั้ง 3 โมเดลใช้ chassis เดียวกัน มีฐานล้อกว้าง บอดี้เตี้ยขนานกับพื้นผลิตจาก aluminum และ magnesium ซึ่งมีความแข็งแรงและน้ำหนักเบา

ทั้ง Mercedes-AMG GT S, GT C และ GT R ใช้เครื่องยนต์ Handcrafted 4.0 ลิตร M178 Biturbo V8 ที่สร้างแบบ One man, one engine เหมือนกัน แตกต่างกันที่ตัวเลข Output โดยใน Mercedes-AMG GT C Roadster จะมากับพละกำลัง 550 แรงม้า แรงบิด 680 นิวตันเมตร ทำเวลา 0-100 km/h ใน 3.6 วินาที (GT R จะมีตัวเลขแรงม้าเพิ่มเป็น 585 แรงม้า)

ระบบส่งกำลัง AMG SPEEDSHIFT DCT 7G (dual-clutch) ติดตั้งบนเฟืองท้ายไฟฟ้าแบบ rear-mounted transaxle ตอบสนองต่อพฤติกรรมการขับขี่ภายในเสี้ยวมิลลิวินาทีด้วยเทคโนโลยี rev-matching ที่ช่วยรักษารอบเครื่องยนต์ให้อัตราเร่งต่อเนื่องลื่นไหลในทุกสถานการณ์

การใช้ระบบส่งกำลังขับเคลื่อนล้อหลัง Rear-Wheel Drive ทำให้ Mercedes-AMG GT C Roadster เป็นรถที่ขับสนุกและมีความ engaging กับผู้ขับอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นเสน่ห์ของรถยนต์ขับหลัง แรงบิดจากล้อหลังที่พร้อมจะผลักให้เราพุ่งไปข้างหน้าสวนทางกับแรง G ที่กดให้หลังติดเบาะได้อย่างไม่หยุดยั้งโดยเฉพาะเวลาเข้าโค้ง จากจุดหยุดนิ่งสามารถไปถึง 200 km/h ได้ภายในเสี้ยวพริบตา สีหน้าของคนขับและผู้โดยสารที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มทุกครั้งที่ได้สัมผัสกับอัตราเร่งของรถคันนี้เป็นภาพที่เราเห็นกันจนชินตา

ไม่ว่าเราจะขับอยู่ในโหมด Comfort, Sport หรือ Sport+ ก็สัมผัสได้ถึงความแรง และเสียงท่อไอเสียที่เร้าใจทุกครั้งที่สตาร์ทเครื่องเย็น เสียง Cold Start ที่แผดดังจนเราต้องนั่งฟังมันอย่างเพลิดเพลิน หรือเสียง Antilag ดังปุ้งปั้งจากท่อไอเสียที่ทำให้หัวใจเต้นเร็ว รับรองได้ว่าคุณจะลืมทุกความเครียดหรือปัญหาใด ๆ ในหัวไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อได้ขับมัน

สิ่งที่เหนือกว่าตัวเลขคือฟีลลิ่งในการขับขี่ เมื่อคุณนั่งอยู่หลังพวงมาลัย ด้วยรูปทรงของฝากระโปรงหน้าที่ยาวมาก กับตำแหน่งท่านั่งที่เตี้ยเหมือนจะราบติดกับพื้นถนนตามสไตล์รถ Supercar ซึ่งอาจต้องสร้างความคุ้นชินกับมันสักนิด

ไม่ต้องกังวลว่าด้วยหน้าที่ยาว น้ำหนักของเครื่องยนต์ V8 จะกดบริเวณด้านหน้าจนควบคุมรถได้ยาก เพราะตำแหน่งเครื่องยนต์ถูกวางให้ลึกแบบ Front mid-engine ลึกเข้ามาเกือบจะถึงที่นั่ง ซึ่งมันอธิบายเหตุผลที่มี Console ขนาดใหญ่กั้นกลางในห้องโดยสารเพื่อการกระจายน้ำหนักที่ดี บวกกับการพัฒนาโครงสร้างที่แข็งแกร่ง และเทคโนโลยี Rear-wheel Steering ระบบควบคุมทิศทางด้วยล้อหลัง ให้ความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับรถได้อย่างชัดเจน ไม่มีอาการโยนตัวหรือยวบยาบในทุกย่านความเร็วที่เข้าโค้ง แม้รถจะมีความกว้างยาว แต่การควบคุมในพื้นที่แคบ ๆ เช่นขับขึ้นที่จอดรถหรือขับแบบสลาลมจึงไม่เป็นปัญหา กลับรู้สึกได้ถึงองศาการเลี้ยวที่ดี คล่องแคล่วกว่ารถยนต์ทั่วไปอย่างรู้สึกได้

อีกจุดสำคัญที่ช่วยให้การควบคุม Mercedes-AMG GT C Roadster เป็นไปได้อย่างเฉียบคม คือช่วงล่างแบบ 4-wheel independent double wishbone ผลิตจาก forged aluminum ที่ทั้งแข็งแกร่งและน้ำหนักเบา ทำงานร่วมกับระบบ AMG RIDE CONTROL sports suspension บวกกับล้อหน้า 265/35 ZR19 และล้อหลัง 305/30 ZR20 ที่เหมาะกับการรองรับแรงบิด เพิ่ม traction ในการสัมผัสพื้น ยิ่งช่วยให้การตอบสนองคมกริบมากยิ่งขึ้น

ถ้าคุณคิดจะซื้อ Mercedes-AMG GT C Roadster และอยากจะได้ใช้มันอย่างเต็มประสิทธิภาพ เราแนะนำให้ทำความคุ้นเคยกับรถให้ดี และควรจะผ่านการเรียนขับรถสมรรถนะสูงเพิ่มเติม เพราะมันเป็นรถที่มีศักยภาพสูงมาก อาจไม่เหมาะถ้าจะซื้อมันมาขับไปจ่ายตลาดในโหมด Comfort ตลอดเวลา ด้วยการออกแบบที่เป็นรถ High-performance คือฟีลลิ่งทุกอย่างเป็นรถแข่ง เทคโนโลยีที่นำมาจากรถแข่ง

การ Kick Down ตอนเข้าโค้ง สามารถเป็นได้ทั้งความบันเทิงให้เลือดสูบฉีดสำหรับผู้ที่รู้วิธีควบคุม และในขณะเดียวกันก็เป็นการเสี่ยงต่ออันตรายสำหรับผู้ขับที่ไม่มีประสบการณ์ควบคุมรถสมรรถนะสูงขับเคลื่อนล้อหลังด้วยแรงบิด 680 นิวตันเมตรระดับมาก่อน

แน่นอนว่าช่วงล่างแบบ sports suspension ที่ถูกเลือกมาใช้ในรถ High-performance ซึ่งเน้นการเกาะถนนเพื่อควบคุมม้า 550 ตัวให้อยู่หมัด ย่อมต้องถูกเซ็ทให้แข็งกว่ารถทั่วไป ใน Mercedes-AMG GT C Roadster คันนี้ แม้จะสามารถแยกปรับช่วงล่างให้เป็นโหมด Comfort ได้ แต่มันก็ยังคงแข็ง ให้ความรู้สึกที่ใกล้เคียงกับ Race Car ไม่มีผิด ซึ่งบนถนนที่คาดเดาได้ยากของกรุงเทพ ทุกประสาทสัมผัสที่ผ่านหลุม บ่อ เนิน ที่มีอยู่ทั่วไป จะถูกส่งมาถึงผู้ขับให้ได้รับรู้ถึงความสั่นสะเทือน มันอาจจะไม่เหมาะสำหรับรถยนต์ที่เน้นความนุ่มนวล แต่สำหรับรถที่ถ่ายทอด DNA มาจาก Race Car นี่คือประสบการณ์ที่ลงตัวและควรจะเป็น

นอกจากช่วงล่างที่แข็ง ต้องยอมรับว่าการนั่งขับในเบาะทรง AMG Performance seat หุ้มด้วยหนัง nappa/DINAMICA microfibre ที่สวยราวกับงานศิลปะ แต่ก็แข็งสมเหมือนนั่งในเบาะรถแข่งที่กระชับ และถูกออกแบบให้ตำแหน่งนั่งหลังตรงเพื่อท่าควบคุมพวงมาลัยที่ถูกต้อง ซึ่งอาจจะไม่เหมาะกับนักขับที่ต้องการความนุ่มสบาย เมื่อบวกกับการออกแบบห้องโดยสารที่มีแผงแดชบอร์ดและอุโมงค์เพลากลางขนาดใหญ่ ทำให้ไม่มีที่พักแขนทั้งผู้ขับและผู้โดยสาร

ตำแหน่งเกียร์ที่ถูกร่นถอยไปด้านหลังทำให้ยากต่อการเปลี่ยนเกียร์อยู่บ้าง แต่ที่ไม่ค่อยชอบคือตำแหน่งเกียร์ P ที่เป็นปุ่มกดวางกลมกลืนอยู่กับตำแหน่งไฟบอกเกียร์ ที่ลดความ Premium ของมันลงไปเล็กน้อย ซึ่งเมื่อใช้งานไปสักพักก็จะคุ้นเคยได้ไม่ยาก

แต่ถ้าคุณคิดจะซื้อรถ High-performance car เพื่ออารมณ์สปอร์ตแบบเต็มขั้น และสามารถเล่นกับมันได้อย่างถึงพริกถึงขิง Mercedes-AMG GT C Roadster คันนี้ถือว่าตอบโจทย์เป็นอย่างมาก 


น่าเสียดายที่เรายังไม่มีโอกาสได้นำ Mercedes-AMG GT C Roadster ไปลงสนามเพื่อรีดเค้นสมรรถนะให้สำแดงพลังออกมาเต็มที่ เพราะบนถนนในชีวิตประจำวันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะใช้ประสิทธิภาพของรถคันนี้  อันที่จริงแม้แต่เครื่องเสียงรอบทิศทาง Burmester เราก็ไม่ทันได้เปิดฟังว่ากระหึ่มแค่ไหน เพราะเราเชื่อว่าใครที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถยนต์คันนี้ น่าจะอยากฟังเสียงเครื่องยนต์ที่ดังกระหึ่มราวกับรถ Hot Rod มากกว่า ยิ่งเป็นตัวถัง Roadster หลังคาผ้าใบ เสียงเครื่องยนต์ในทุกอิริยาบถยิ่งเร้าใจขึ้นไปอีก และมีอีกหลายรายละเอียดที่เราไม่ทันได้สังเกต เพราะความตื่นเต้นและการตั้งใจขับรถทุกครั้งที่ได้ขับมัน (เชื่อว่าหลายคนที่ได้ไปลองขับจะเข้าใจความรู้สึกนี้)

จุดเด่นของภายในห้องโดยสาร Mercedes-AMG GT C Roadster ที่เห็นได้ชัดเจนคือความหรูหราของห้องโดยสาร วัสดุทุกอย่างมีคุณภาพสูงสุด เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกที่อัดมาเต็มรถ ออกแบบให้ใช้งานได้ง่ายด้วยหน้าจอ infotainment screen ขนาด 10.2 นิ้ว และ digital gauge cluster ขนาด 12.3 นิ้ว เช่นเดียวกับในรถยนต์ Mercedes-Benz Generation เดียวกัน จึงคุ้นเคยและใช้งานได้ทันที

สิ่งที่เพิ่มมาในรถ MY ล่าสุดคือพวงมาลัยแบบ AMG Performance steering wheel หุ้มด้วยหนัง nappa/DINAMICA microfibre ที่มาพร้อมฟังก์ชันให้หมุนปรับ Mode การขับขี่ได้ที่ด้านขวาของพวงมาลัย ส่วนด้านซ้ายมีปุ่มปรับระดับความแข็งอ่อนของช่วงล่าง รวมถึงโหมดท่อไอเสีย Start/Stop และอื่น ๆ ที่ปกติต้องละสายตาหันไปควานหาปุ่มบนคอนโซลกลาง ซึ่งเป็นไปได้ยากถ้าคุณกำลังขับมันด้วยความตั้งใจอยู่

ส่วนความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็น Blind-spot monitoring, Lane-keeping assist ก็ทำงานได้ดี ช่วยให้การขับ Mercedes-AMG GT C บนถนนที่การจราจรหนาแน่นทำได้อย่างมั่นใจขึ้น ส่วนขนาดของตัวถังที่ยาวและกว้างก็ไม่เป็นปัญหาในการใช้งานจริงด้วยกล้องแสดงภาพด้านหลัง และด้านหน้าขณะถอยจอด และอีกฟังก์ชันที่มีประโยชน์มากสำหรับล้อและยางแก้มบางขนาดนี้ก็คือระบบตรวจวัดแรงดันลมยางอัตโนมัติ (tyre pressure monitoring system) ที่แสดงแรงดันลมแบบ Real-time มีประโยชน์มากหากต้องเดินทางไกล

สำหรับ Mercedes-AMG GT C Roadster V8 Biturbo 550 แรงม้ากับค่าตัวราว 17 ล้านบาท พูดได้เต็มปากว่ามันคือสมรรถนะและอารมณ์การขับที่ยกมาจากรถแข่ง เพิ่มความหรูหรา เทคโนโลยี และความปลอดภัยจาก Mercedes-Benz การผสมผสานสองขั้วที่ลงตัว

ไม่ต้องถกเถียงกันว่าคุ้มหรือไม่ เพราะมันคือรถ Roadster ที่เน้นฟีลลิ่งการขับและสมรรถนะอย่างแท้จริง มันขับสนุกและมีคาแรคเตอร์ชัดเจน ดีไซน์ที่เหมือนกับรถแข่งจากสนาม GT ที่ใคร ๆ ก็ต้องหันมามองตาม แม้จะไม่ใช่รถที่ลายเส้นฉูดฉาดแฟนซี แต่ทุกองศา ทุกมุมมองของมัน ก็เต็มไปด้วยความเท่ ดุดัน คลาสสิคในทุกองค์ประกอบ

ทำให้นึกถึงคำพูดของคุณเจ เจตริน ที่เราเคยพูดคุยกับเค้าถึงเหตุผลที่ตัดสินใจเลือก Mercedes-AMG GT R ซึ่งตอนนั้นคุณเจบอกเราว่า

“วินาทีที่คุณได้นั่งอยู่หลังพวงมาลัยของรถยนต์ตระกูล Mercedes-AMG เลือดจะสูบฉีด ความตื่นเต้นเร้าใจ สัมผัสที่รับรู้ได้ถึงคุณภาพระดับ Exceptional มันเป็นความรู้สึกตื่นเต้นที่คุณจะไม่มีวันผิดหวัง และเป็นความรู้สึกที่จะไม่สามารถหาได้จากรถคันอื่น”

ตอนนี้เราเข้าใจเป็นอย่างดี ถึงเหตุผลที่เลือกรถตระกูล Mercedes-AMG GT R และเข้าใจถึงสิ่งที่คุณเจต้องการจะบอกอย่างชัดเจน

 

Chaipohn
WRITER: Chaipohn
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line