Entertainment

Drive My Car ความสำเร็จที่น่าศึกษา ของหนังอาร์ตแดนอาทิตย์อุทัยสะเทือนวงการภาพยนตร์โลก

By: Chaipohn March 2, 2022

ในปี 2021 ที่ผ่านมา ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า Drive My Car หนังอาร์ตจากแดนอาทิตย์อุทัยที่มีความยาวเกือบ 3 ชั่วโมง คือปรากฏการณ์สำคัญที่สะเทือนวงการภาพยนตร์ ที่ไม่ใช่เพียงปลุกกระแสของหนังญี่ปุ่นให้เจิดจรัสบนเวทีโลกเท่านั้น แต่ยังพาตัวเองไปได้ไกลถึงเวทีใหญ่สุดอย่างออสการ์โดยเข้าชิงถึง 4 รางวัล โดยเฉพาะรางวัลใหญ่สุดอย่างภาพยนตร์ยอดเยี่ยม

เพราะอะไร ในยุคที่เวลาเป็นสิ่งที่มีค่าแต่ความยาวของหนังเกือบ 3 ชั่วโมง ซ้ำยังไม่ใช่หนังที่หมู่คนดูแมสจะสนใจง่าย ๆ กลับกลายเป็นปรากฏการณ์ที่ใครต่อใครต่างพูดถึง

Drive My Car คือ 1 ในเรื่องสั้น Men without Women (แปลไทยในชื่อว่า ชายที่คนรักจากไป) ของนักเขียน Haruki Murakami ที่รวมความช้ำรักอันหลากหลายของชายหนุ่มที่ถูกพลัดพรากจากคนรัก ไม่จากเป็นก็จากตาย ซึ่งชื่อหนังสือ Men without Women นั้นได้มาจากหนังสือรวมเรื่องสั้นของ Ernest Hemingway อีกที ส่วน Drive My Car ตัว Murakami ก็อ้างอิงจากชื่อเพลงของ The Beatles อีกที

โดย Drive My Car เล่าเรื่องการเผชิญหน้ากับความทุกข์อันแสนหนักหน่วงของชายหนุ่มนักแสดงละครเวที Uncle Vanya ที่แบกรับความรู้สึกที่ซ่อนเร้นเอาไว้ในใจจากการเห็นคนรักของตนแอบมีอะไรกับชายคนอื่น และคนรักก็เสียชีวิตกระทันหันในเวลาต่อมา จนทำให้ชีวิตของเขาเสียศูนย์ไป

เขาได้รับการว่าจ้างให้ไปกำกับละครเวทีเรื่องที่เคยสร้างชื่อให้กับเขาที่เมืองฮิโรชิม่า โดยมีพนักงานสาวขับรถมารับส่งเขาตลอดเวลา อดีตอันแสนเจ็บปวดของแฟนสาวที่จากไป เหลือทิ้งไว้เพียงเสียงอ่านบทละครที่อัดไว้เพื่อให้เขาฝึกซ้อม กลายเป็นสิ่งมีค่าและเป็นเข็มทิ่มแทงชีวิตของเขาที่ยังคงหลงเหลือไว้ได้ยินต่างหน้า

จนได้พบว่าเมื่อเขาเปิดรับออดิชั่น คนที่มาแสดงนำในบทบาทที่เขาเคยแสดงนั้น คือเด็กหนุ่มที่เคยมีเซ็กซ์กับคนรักของเขา อดีตที่ตามมาหลอกหลอน กำลังขับเคลื่อนความเศร้าที่กัดกินใจบนรถ SAAB 900 สีแดงที่เก่าแต่คงความคลาสสิคคันนั้นไว้ เป็นความเศร้าที่รอให้ใครสักคนปลดโซ่ตรวนแห่งความเจ็บปวดนี้ให้หลุดพ้น

นับเป็นความกดดันไม่ใช่น้อย สำหรับตัวผู้กำกับ Ryusuke Hamaguchi ที่ต้องแปลภาษาเขียนที่พรรณาในแบบนามธรรมให้เป็นรูปธรรม จนสุดท้าย Hamaguchi ก็เลือกเรื่องสั้นเรื่องนี้มาทำ

“เมื่อเราพูดถึงนิยายหรือเรื่องสั้นของ Murakami ความยากคืองานเขียนของเขามักอยู่กึ่งกลางระหว่างความจริงกับจินตนาการ ซึ่งมันเป็นเรื่องยากมากที่จะทำมันออกมาเป็นภาษาหนัง

โปรดิวเซอร์ได้เสนอว่า อยากทำเรื่องไหน สุดท้ายผมก็เลือก Drive My Car มาทำ เพราะเหตุผลคือมันเป็นหนังที่เกี่ยวกับรถยนตร์ ที่ขับเคลื่อนด้วยการขับรถและการสนทนา

การพูดคุยกันในที่แคบมันคือการพัฒนาความสัมพันธ์ของตัวละคร มันคือสิ่งที่ท้าทาย ซึ่งการขับรถของผมคือการเปิดใจเพื่อเดินทางไปสู่จุดหักเหของตัวละคร”

และท้ายที่สุด Hamaguchi ก็ทำหนังเรื่องนี้ พร้อมกับการขยายรายละเอียด ผ่านการค่อย ๆ คลี่คลายปมของตัวละครอย่างเชื่องช้า แต่ช่วงเวลาตลอด 179 นาทีนั้นกลับกลายเป็นช่วงเวลาอันแสนวิเศษ ที่ผู้ชมจะค่อย ๆ ถูกดูดกลืนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในหนัง ก่อนจะค่อย ๆ พบแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ในนาทีสุดท้าย


เมื่อหนังเรื่องนี้ได้ฉายในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ปีที่ผ่านมา ก็สามารถคว้าได้ถึง 3 รางวัล ได้แก่ บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, FIPRESCI Prize และ Prize of the Ecumenical Jury

ทำให้เหล่าสื่อและนักวิจารณ์ที่ได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ ต่างจับตามอง Drive My Car กันเป็นสายตาเดียว ในฐานะหนังอาร์ตที่ยกระดับมาตรฐานการสร้างสรรค์ และเป็นหนังกล้าหาญท่ามกลางดงหนัง Blockbuster และหนัง Superhero ที่โปรแกรมแน่นโรงหนังในขณะนี้

ในช่วงแรก ตลาดใหญ่สุดอย่างอเมริกา ก็ยังมองว่าหนัง Drive My Car คงเป็นแค่หนังอาร์ตง่วง ๆ ทั่วไปที่ไม่ควรจะลงทุนซื้อมาฉาย แต่ด้วยกระแสทั้งจากนักวิจารณ์ และนักวิจารณ์หนังที่ได้รับชมเรื่องนี้ ต่างพากันเขียนชื่นชมกันกระหึ่มโลกโซเชี่ยลมีเดีย ยิ่งปลุกกระแสให้นักดูหนังชาวอเมริกันอยากเสพภาพยนตร์ญี่ปุ่นเรื่องนี้เป็นทวีคูณ

แต่หนังความยาวร่วม 3 ชั่วโมง ที่ทำรอบได้น้อย ในยุคที่โลกยังต้องเผชิญสภาวะโรคระบาด การลงทุนล้วนมีความเสี่ยงไม่ใช่น้อย ในที่สุด Jonathan Sehring ผู้บริหารที่อยู่เบื้องหลังหนังอาร์ตมากมาย อาทิเช่น Boyhood ก็วางเดิมพันกับหนังเรื่องนี้ ภายใต้บริษัทใหม่ที่ชื่อว่า Sideshow ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ Janus Films และเจ้าของ Home Entertainment สุดอาร์ตอย่าง Criterion Collection

และผลลัพธ์ของหนังเรื่องนี้คือการฉายเรื่อย ๆ มาเรียง ๆ อย่างยาวนาน โดยล่าสุดหนังเรื่องนี้เก็บเกี่ยวรายได้ในอเมริกาถึง $1,600,000 USD และกว่า $4,800,000 USD จากทั่วโลก ทำให้ Drive My Car กลายเป็นหนังอาร์ตเฮาส์ที่ทำรายได้เกินคาดเมื่อเทียบกับหนังอาร์ตเรื่องอื่น ๆ


ท่ามกลางไลฟ์สไตล์การดูหนังที่เปลี่ยนไป จากระบบสตรีมมิ่งที่มาทดแทนการไปดูหนังในโรงท่ามกลางยุคที่โรคระบาดดูสุ่มเสี่ยงจนหลายคนยังไม่กล้าเข้า แต่ Hamaguchi กลับยืนกรานที่จะฉายหนังเรื่องนี้ในโรง เนื่องจากอยากให้คนดูได้ซึมซับอรรถรสในการชมหนังเรื่องนี้อย่างเต็มที่ ไม่อยากให้นั่งดูทางออนไลน์แล้วมีสิ่งใดมารบกวนอรรถรสและสมาธิในการรับชมภาพยนตร์เรื่องนี้

ทำให้ Drive My Car ยืนเด่นโดยท้าทายในโรง และจากกระแสชื่นชมปากต่อปาก ก็ทำให้หนังเรื่องนี้สร้างปรากฏการณ์ “ฉายน้อย แต่ฉายนาน” ในทั่วทุกมุมโลก ไม่เว้นแม้กระทั่งบ้านเรา ที่ออกฉายมาได้กว่า 4 เดือนแล้ว แต่ยังไม่มีวี่แววจะออกจากโรง รวมไปถึงที่บ้านเกิดอย่างประเทศญี่ปุ่น ที่มีกำหนดการวางจำหน่าย DVD และ BluRay แต่หนังก็ยังยืนโรงฉายไปอย่างไม่มีกำหนดถอดจากโปรแกรม

ทำให้ Drive My Car คือคำตอบว่า ดูหนังที่ไหนก็ไม่ได้บรรยากาศอย่างที่ผู้กำกับตั้งใจจะสื่อสารเท่าในโรงหนัง ทำให้โรงหนังยังเป็นสถานที่ที่ไม่มีวันตาย หากยังมีโปรแกรมเจ๋ง ๆ เข้าฉายให้ได้ชม ผู้คนก็พร้อมที่จะออกจากบ้านเพื่อไปรับอรรถรสอันยอดเยี่ยมที่หาไม่ได้จากที่อื่น


กระแสหนังเอเชียบุกเวทีโลก จาก Parasite Fever ยังคงเป็นที่จับตาของเหล่าฝรั่งตาน้ำข้าว และหากหนังเรื่องไหนที่เหมาะสมที่สุดในการรับไม้ต่อจากหนังเกาหลีเรื่องนั้น แน่นอนว่าต้องเป็น Drive My Car เมื่อหนังได้เดินสายคว้ารางวัลจากสถาบันต่างๆในสาขา ภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม ตั้งแต่ปลายปี 2021 จนข้ามปีมา 2022 ก็ยังไม่หยุดที่จะสร้างกระแสไปเรื่อย ๆ จากคานส์ มาโตรอนโต้ จากลูกโลกทองคำมาจนถึงเวทีออสการ์

ไม่เพียงเข้าชิงรางวัลภาคบังคับอย่างภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยมเท่านั้น แต่ Drive My Car ยังได้เข้าชิงบนเวทีออสการ์ถึง 4 รางวัล ได้แก่ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม / บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ม / ผู้กำกับยอดเยี่ยม ไปจนถึงรางวัลใหญ่สุดอย่าง ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจของชาวเอเชียอีกครั้งที่หนังสามารถพาตัวเองเข้าสู่รอบลึกของเวทีอันทรงเกียรตินี้ได้

แม้ผู้เชี่ยวชาญในวงการภาพยนตร์จะมองว่า Drive My Car อาจจะไม่สามารถไปถึงฝั่งฝันในฐานะผู้ชนะแบบที่ Parasite ทำได้ แต่ในฐานะของหนังอาร์ตที่ผู้คนหมู่มากมักมีอคติมองว่ากำจัดอยู่ในวงแคบ ๆ เท่านั้น หนัง Drive My Car สามารถดันเพดานจนกลายเป็นกระแสที่นักดูหนังทุกคนต้องไม่พลาด หนังเรื่องนี้กำลังพิสูจน์ว่าโลกของหนังอาร์ตกำลังกลายเป็นเทรนด์สำคัญ ที่สามารถพลิกฟื้นโรงหนังที่ซบเซาให้กลับฟื้นคืนมาได้ในอนาคต และกำลังปลุกโลกของหนังอาร์ตจากฝั่งเอเชียให้หวนคืนสู่กระแสอีกครั้ง

Chaipohn
WRITER: Chaipohn
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line