Entertainment

รวมสุดยอดหนังอารมณ์เหงาที่เหมาะกับวันเทาๆ ของคุณ

By: unlockmen July 15, 2015

ว่ากันว่าความรู้สึกเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นเอง เกิดจากสิ่งที่เรารับเข้าไป สิ่งที่เราได้เผชิญมา การเก็บนำมาคิดนำมาใส่ใจ ล้วนเป็นสิ่งที่เกิดจากมือของเราเอง ซึ่งเราก็ไม่สามารถยืนยันได้เต็มปากว่ามันเกิดจากอะไร แต่หากพูดถึงความรู้สึกความเหงาก็คงเป็นหนึ่งในความรู้สึกที่เกิดขึ้นในจิตใจของเราบ่อยครั้ง บางทีก็บ่อยเสียจนไม่อยากให้มันมาทักทายเท่าไร

หลายคนก็ชื่นชอบกับความรู้สึกเหงา บางคนก็พยายามวิ่งหนีมัน แต่ความจริงแล้ว ความเหงาคือเพื่อนคนสนิทที่วันใดเราขาดไป เราอาจจะคิดถึงมันจับใจก็ได้นะ ต่อให้มีแฟนมีเพื่อนมากมาย ความเหงาก็แอบมาทักทายเราเสมอ ถ้าอย่างนั้นเราก็หันหน้ามายอมรับ และเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตไปกับมันดีกว่าไหมคะ

วันนี้ UNLOCKMEN ขอแนะนำหนังเหงาๆ สำหรับคนขี้เหงา และคนที่รู้สึกว่าท้องฟ้ามันเทาๆ เสียหน่อย เราเชื่อว่าคนที่รู้สึกเหงาก็อยากจะได้หนัง หรือเห็นเรื่องราวของคนที่มีฟิลลิ่งไม่ต่างจากตัวเอง ไม่ว่าจะดูเพื่อตอกย้ำความเหงา หรือจะดูเพื่อคลายเหงาก็ได้ทั้งนั้น สำคัญคือมีจำนวนเรื่องที่ไม่เยอะเกินไปสามารถหามาดูตามได้ไม่ยากเย็น

Lost in Translation

lost-in-translation-bill-murray

พูดถึงหนังเหงาจะขาดเรื่องนี้ได้อย่างไรจริงไหมคะ เราเชื่อว่าหลายคนคงเคยดู หรือไม่ก็ผ่านหูผ่านตากันมาบ้างแล้ว เพราะมันขึ้นชาร์จอันดับหนังเหงาตลอดกาล Lost in Translation ผลงานการกำกับของผู้กำกับสาวทายาทเจ้าพ่อ God Father Sofia Coppola เรื่องราวภายในหนังพูดถึง Bob (Bill Murray) นักแสดงชาวอเมริกาที่ต้องมาถ่ายงานในญี่ปุ่น และ Charlotte ( Scarlett Johansson ) สาวสวยที่ต้องตามแฟนมาทำงานในญี่ปุ่น ความเหงาเกิดขึ้นเพราะการอยู่ผิดที่ผิดทาง ไม่ได้อยู่ในบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง แล้วความบังเอิญก็พาทั้งคู่มาเจอกัน แลกเปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่อกัน มันไม่ใช่เรื่องของความรัก หรือความฉาบฉวยใดๆ แต่เปรียบเสมือนเรื่องของคนสองคนที่มีความรู้สึกเดียวกัน ได้พบเจอกัน เหมือนกับคำโปรยของหนังที่ว่า “Everyone Want to be found”  อ่อ! อีกสิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือการถ่ายทอดทางภาพที่ Sofia สามารถทำมันได้ดีจริงๆ เรารู้สึกถึงความเหงาของบรรยากาศและสิ่งที่ตัวละครเป็น เพลงประกอบที่ผ่านการเลือกมาเป็นอย่างดี (อาจเป็นเพราะส่วนหนึ่งเธอนำมาจากชีวิตจริงของตน) พร้อมกับฉากจบที่ตั้งคำถามให้เราได้กลับมานอนคิดต่อ ถือเป็นหนังขึ้นหิ้งของเราอีกหนึ่งเรื่องเลยค่ะ

Her

WithComp

มี Lost in Translation แล้ว ก็ต้องมี Her ตามติดมาด้วย หนังรักเหงาๆ ที่ต้องบอกว่าเหงาจริงๆ เพราะตัวเอกของเรื่องที่มีปฏิสัมพันธ์กับพระเอกนั้น ดันไม่ใช่คนแต่เป็นระบบ OS ! หนังเรื่องนี้เป็นผลงานกำกับของ Spike Jonze อดีตคนรักเก่าของ Sofia Coppola ที่มีผลงานที่ถือว่าเป็นลายเซ็นของเขามากมายอย่างเช่น Being John Malkovich (1999) ที่มีเสน่ห์ไม่แพ้ใคร ใน Her นี่เองที่เขาว่ากันว่าเป็นเรื่องที่ Spike Jonze ต้องการไถ่โทษและพูดถึงสิ่งที่มีกับ Sofia Coppola ค่ะ เรื่องราวคร่าวๆ ของหนังเรื่องนี้พูดถึง Theodore นักเขียนจดหมายในโลกที่ทุกอย่างง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส เขาต้องพบเจอกับเรื่องอ่อนไหวมากมาย มิหนำซ้ำชีวิตยังต้องเจอกับการหย่าร้างอีก แต่แล้วเขาก็ได้พบกับ Samantha (Scarlett Johansson ที่มาแค่เสียง​) ระบบปฏิบัติการ OS ที่เปรียบเสมือนปัญญาประดิษฐ์ (OS) เพราะสามารถโต้ตอบกับผู้ใช้งานได้อย่างชาญฉลาด และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาหลงรักกับ OS ความรู้สึกของเราที่ดูหนังเรื่องนี้ มันคือความเหงาจริงๆ คนที่จะรู้สึกอะไรๆ กับสิ่งที่เหมือนไม่มีเลือดเนื้อได้นั้น โหมดของความรู้สึกก็ต้องเข้าสู่จุดที่เหงาสุดๆ จริงๆ หนังเรื่องนี้ถือเป็น Sci-Fi ที่มีกลิ่นของความโรแมนติคดราม่าอย่างเต็มเปี่ยม

Drive

6874025-drive-movie

เหงา แต่โคตรเท่ น่าจะเป็นคำนิยามของหนังเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี Drive ผลงานกำกับของ Nicolas Winding Refn ผู้กำกับหนังรางวัลคานส์ หากคุณคิดว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังบู๊ มีฉากรถแข่งซิ่งกันทั้งเรื่อง ก็ต้องบอกว่าผิดถนัด เพราะหนังมันคือหนังเหงาๆ ที่มีความดราม่าแทรกซ้อนอยู่เต็มไปหมด เรื่องราวของหนังเล่าถึงสตั๊นแมนหนุ่ม (Ryan Gosling) ที่ไม่มีแม้กระทั่งชื่อ เขาทำหน้าที่เป็นสตั๊นแมน ที่รับจ๊อบขับรถให้กับแก๊งค์โจร ชีวิตที่ดาร์คๆ หม่นๆ ของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไปเมื่อเขาได้พบกับ Irene (Carey Mulligan) คุณแม่ลูกหนึ่งที่อาศัยอยู่ห้องพักข้างๆ ที่สามีของเธอติดคุกอยู่ เขาทั้งสองได้ใช้เวลาสั้นๆ อยู่ด้วยกัน จนสามีของเธอพ้นโทษออกมา แต่ก็มีเหตุทำให้ต้องกลับไปพัวพันกับเรื่องเลวร้ายอีก และ Driver คนนี้ก็เอื้อมมือเข้าไปช่วย ทำให้มีเหตุการณ์ต่างๆ ตามมา หนังเรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับนักแสดงนำทั้งสองคนที่สามารถถ่ายทอดอารมณ์ผ่านทางแววตาได้อย่างเหมาะสม สีภาพของหนังที่ให้ฟิลลิ่งเทาๆ ให้อารมณ์เหงาได้ดี อีกหนึ่งเรื่องที่ไม่พูดไม่ได้ก็คือ Ryan Gosling คูลมากทีเดียวสำหรับบทบาทนี้ ถึงจะเหงา แต่ก็มีความมันส์ที่หนุ่มๆ ไม่ควรพลาด

In the Mood for Love

011-in-the-mood-for-love-theredlist

หากจัดลิสต์หนังเหงา แล้วไม่มีหนังของหว่อง กา ไว อยู่ด้วย ก็คงจะโดนสาปแช่งเป็นแน่ เพราะฟิลเหงาถือเป็นลายเซ็นของหว่อง กา ไว เลยล่ะค่ะ สำหรับ In the Mood for Love นั้นเป็นหนังรักดราม่าแสนเหงา ที่ว่าด้วยเรื่องราวของความรักที่ถูกที่ แต่ผิดเวลา เพราะคนสองคนต่างก็มีคนรักของกันและกันอยู่แล้ว ฉากของฮ่อกกงในยุค 60s  Su Li-zhen หรือ Mrs.Chan (Maggie Cheung) ภรรยาของสามีที่ต้องบินไปทำงานต่างประเทศอยู่บ่อยครั้ง ทำให้เธอต้องเหงาอยู่คนเดียวในห้อง และ Chow Mo-wan (Tony Chiu Wai Leung) สามีของภรรยาผู้ที่ต้องทำงานกะดึกจนแทบไม่มีเวลาได้พบหน้ากัน Su Li-zhen และ Chow Mo-wan ได้พบเจอกันเป็นประจำเพราะห้องพักของพวกเขาอยู่ติดกัน ก่อเกิดเป็นความรักที่ห้ามรัก เพราะมันผิดจารีตประเพณี ทำให้เกิดความเหงาที่เกาะกินหัวใจแบบสุดๆ ฉากของหนังเรื่องนี้ส่วนใหญ่มาถ่ายทำในเมืองไทยด้วย เราชอบแบล็คกราว และมู้ดแอนด์โทนของเรื่องมากๆ ยิ่งเพลงประกอบที่ตั้งใจให้เราจดจำเพลง และฉากที่ทั้งสองต้องพบเจอกันก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่เป็นเสน่ห์ของหนังเรื่องนี้

Taxi Driver

0002131-1920x1080

หนังดราม่า คูลๆ จากฝีมือการกำกับของ Martin Scorsese กับเรื่องราวที่พูดถึงเมืองนิวยอร์กหลังสมัยสงครามเวียดนาม โดยมีตัวเอกเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง Travis Bickle (Robert De Niro) ที่ทำอาชีพเป็นคนขับแท๊กซี่ในเวลากลางคืน เพราะเขาเป็นโรคนอนไม่หลับ เขาได้จีบสาวคนหนึ่งที่ชื่อว่า Betsy (Cybill Shepherd) พนักงานสาวออฟฟิศ ที่ทำงานให้กับนักการเมืองคนหนึ่ง จนเกิดเป็นเรื่องราวต่างๆ รวมไปถึงการเข้ามาของเด็กสาวนามว่า Iris (Jodie Foster) ที่ทำให้ชีวิตเขาต้องพบกับชะตากรรมต่างๆ นานา ด้วยการถ่ายทอดเรื่องราวภายใต้แบล็คกราวของเมืองที่มีความวุ่นวายแบบสุดๆ อย่างนิวยอร์ก แต่ตัวละครกลับมีความรู้สึกเหงาหงอย มีปมด้อย มีอารมณ์น้อยใจในโชคชะตาต่างๆ และต้องการที่จะทำอะไรบางอย่างเพื่อพิสูจน์สิ่งที่ตัวเองมี เขามักจะนำเรื่องราวที่เขาเจอมาเขียนลง Diary ซึ่งยิ่งทำให้เรารู้สึกว่าอีตาคนนี้เป็นคนขี้เหงาเสียจริง เป็นหนังที่หนุ่มขี้เหงาต้องดู เรื่องนี้ยังคว้ารางวัลไปมากมายหลายเวทีด้วยค่ะ

Into the Wild

into-the-wild4

เรื่องราวของความขบถที่น่าจะเข้ากับหนุ่มสาวในสมัยนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะทุกคนต่างมีความต้องการที่จะออกไปทำอะไรที่เป็นของตัวเอง หรืออยากออกไปใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการ ควรที่จะดูหนังเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง เรื่องราวเล่าถึง Chris McCandless (Emile Hirsch) หนุ่มนักคิดที่มีความคิดว่าการตั้งใจเรียน และรับปริญญาให้พ่อแม่ได้เป็นความหวังสูงสุดที่พวกเขาต้องการ หลังจากนั้นเขาก็เริ่มแสดงอาการขบถต่อสิ่งต่างๆ อย่างเรื่องที่ชัดเจนเลยก็คือ การที่พ่อแม่อยากซื้อรถใหม่ให้ Chris แต่เขากลับเถียงว่ารถคันเก่ายังสามารถขับได้ดีอยู่ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจออกจากบ้านไปใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง เดินไป เข้าไปอยู่ในป่า หากินด้วยตัวเอง ทำให้เขาต้องเผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆ ที่ไม่สามารถหาได้จากในตำรา และไม่สามารถพบเจอได้ถ้าเขายังอยู่ในระบบตามแบบที่คนอื่นเป็น ความเหงาที่เกิดขึ้นจากความโดดเดี่ยว การเอาชีวิตรอดจากสิ่งต่างๆ สร้างอารมณ์เหงาเป็นอย่างมาก สิ่งที่ Chris จะต้องจดจำ คงเป็นสิ่งเดียวกันที่เราจะได้เรียนรู้จากหนังเรื่องนี้เช่นกัน ซึ่งเรื่องนี้เป็นผลงานกำกับของ Sean Penn นักแสดงมากฝีมืออีกหนึ่งคนของวงการ

Leaving Las Vegas

leaving-las-vegas-cage

เรื่องสุดท้ายที่จะขาดไม่ได้เลยสำหรับลิสต์นี้ Leaving Las Vegas เป็นผลงานที่ดัดแปลงมาจากเรื่องจริงนักเขียนชาวอเมริกัน John O’Brien เรื่องราวของนักเขียน Ben Sanderson (Nicolas Cage) ที่ติดเหล้าอย่างหนัก และอยากดื่มจนให้ตัวเองได้ตายๆ ไปเสียที จนกระทั่งเขาได้พบกับ Sera (Elisabeth Shue) หญิงขายบริการที่ชีวิตนี้ผ่านอะไรมาอย่างโชกโชน ทั้งสองต้องมาพบเจอกัน เกิดเป็นความผูกพันที่ไม่รู้ว่ามันจะจบลงแบบไหน สุข เศร้า เหงา หดหู่ อยากรู้ต้องลองชมและตัดสินใจด้วยตัวคุณเองค่ะ สำหรับเราดูแล้วมันเป็นความเหงา อึมครึมอย่างประหลาดทีเดียว

ชอบไม่ชอบอย่างไร สามารถพูดคุยกันได้ในเพจ UNLOCKMEN นะคะ เราจะพยายามหาหนังดีๆ มาแนะนำชาว UNLOCKMEN ได้อ่านกันเรื่อยๆ ค่ะ ติดตามเว็บไซต์เราให้ดีนะ

unlockmen
WRITER: unlockmen
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line