

Entertainment
‘FLUME’ ดีเจแดนจิงโจ้เจ้าของรางวัล GRAMMY AWARDS ผู้ก้าวสู่โลกดนตรีจากซีเรียลกล่องเดียว
By: unlockmen July 19, 2019 154002
หากพูดชื่อ Flume คอเพลงที่ไม่ใช่สายดีเจอาจจะยังไม่คุ้นเคย แต่หากลองเปิดเพลงฮิตอย่าง Never be like you, Say it (feat.Tove Lo) หรือ Drop The Game ฟังก็อาจจะพอคุ้นหูกันอยู่บ้าง รู้หรือไม่ว่าในเวลาสั้น ๆ จากปี 2011 จนถึงปัจจุบัน และด้วยวัยเพียง 28 ปี เท่านั้น เขาสามารถก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในศิลปินสายอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้รางวัลการันตีมากมาย แถมยังอยู่เบื้องหลังผลงานศิลปินชั้นนำระดับโลกหลายต่อหลายคน วันนี้ UNLOCKMEN จะขุดเอาเบื้องลึกเบื้องหลังของชายผู้นี้มาตีแผ่ให้คุณได้รู้จัก เขาเป็นใคร เก่งมาจากไหน เราจะได้รู้ไปพร้อม ๆ กัน!
credit: https://www.facebook.com/flumemusic
Flume มีชื่อจริงว่า Harley Streten อายุ 28 ปี เติบโตมาในย่าน Northern Beaches มหานคร Sydney ประเทศ Australia ที่มาของชื่อ ‘Flume’ นี้เขานำมาจากชื่อเพลง Flume ของ Bon Iver ศิลปินสาย Indie-Folk ที่เป็นแรงบันดาลใจส่วนตัว โดยให้เหตุผลว่าเพลงนี้เป็นเพลงที่สำคัญมาก ๆ ในชีวิตเขา อีกทั้งเขายังรู้สึกว่าคำว่า Flume ดูสวยดีเวลาอยู่บนสิ่งพิมพ์อีกด้วย
เขามีความสนใจด้านดนตรีตั้งแต่ยังเด็ก เขาเคยเล่นแซกโซโฟนให้วงโรงเรียนตั้งแต่อายุเพียง 9 ขวบ ก่อนจะเริ่มทำเพลงเองตอนอายุ 13 จาก Music Production Disk ที่แถมมากับกล่องซีเรียล! หลังเขา install ลงในคอมพิวเตอร์เรียบร้อย ภาพของดนตรีที่เขารู้จักมาทั้งชีวิตก็เปลี่ยนไป เพลงกลายเป็นสิ่งที่มีเลเยอร์แยกระหว่างเสียงเครื่องดนตรี เสียงร้อง การควบคุมจังหวะและเสียงที่แตกต่าง นั่นเป็นจุดกำเนิดที่ทำให้เขาสนใจในเพลงอิเล็กทรอนิกส์และมุ่งมาในเส้นทางนี้ด้วยเหตุผลหนึ่งที่เคยให้สัมภาษณ์ไว้ใน When everything was new สารคดีชีวประวัติของเขาว่า
“I want to hear music that I never heard.”
ต่อมาในปี 2011 เส้นทางชีวิตในสายดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ก็เริ่มต้นขึ้น เขาปล่อยเพลงรีมิกซ์แนว House ออกมา 2 เพลงชื่อ Flow กับ Fizz ภายใต้ชื่อโปรเจกต์ว่า HEDS (ยังไม่ใช้ Flume) ซึ่งปัจจุบันสองเพลงนี้มีให้ฟังทาง Youtube เท่านั้น โดยซาวด์ค่อนข้างห่างไกลกับ Flume ในปัจจุบันมากทีเดียว
ตัวอย่างแผ่นซีดีที่แถมมากับกล่องซีเรียลสำหรับเด็ก ๆ มีอยู่จริงตั้งแต่ยุคปลาย 60’s (credit: www.metv.com)
ในปี 2011 ปีเดียวกันกับที่เขาปล่อยเพลง Flow และ Fizz ออกมา Harley Streten ได้ส่งเพลงเข้าประกวดการแข่งขัน ‘Originals’ ของค่าย Future Classic (ค่ายเพลงอิสระค่ายหนึ่งของออสเตรเลีย) ซึ่งเขาไม่ใช่ผู้ชนะ (ได้ที่สอง) แต่ก็ได้เซ็นสัญญากับค่ายนี้เช่นกัน ตอนนี้เองที่เขาได้มีโอกาสปล่อย EP Album ชื่อ ‘Sleepless’ ออกมาให้ชาวโลกได้ฟัง ในฐานะของศิลปินที่ชื่อ Flume เป็นครั้งแรก และอัลบั้มเต็มที่เป็น self-titled ก็ได้ตามมาในปี 2012 อัลบั้มนี้ปล่อยมาได้ไม่นานก็ขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ต iTunes ของออสเตรเลียอย่างรวดเร็ว ใครจะรู้ว่าอัลบั้มฮิตติดลมนี้จะทำเสร็จด้วย Laptop ตัวแรกที่เขาซื้อ ในขณะที่เขาไปเที่ยวทริปสุดประหยัดอยู่ที่ London!
แม้เพลงจะมาจากอุปกรณ์และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ แต่ภายใต้เมโลดี้ชวนขยับตัวที่ทำให้ฝูงชนต้องคลั่งไคล้กลับไม่ได้มาอย่างง่ายดาย เขาเผยว่าแต่ละบทเพลงของเขาได้แรงบันดาลใจจากการออกเที่ยว ออกจากกรอบความคิดตัวเอง ซึ่งสถานที่ที่เดินทางไปต้องเสี่ยงหน่อย ผจญภัยบนความไม่แน่นอนนิด ๆ เพราะถ้าเที่ยวในที่สบาย ๆ เขาจะไม่ได้ไอเดียอะไร
เดือนธันวาคมปี 2012 เขาได้ทำการย้ายมาทำงานกับค่ายเพลงอเมริกัน Mom + Pop Music และปล่อยอัลบั้ม Flume Deluxe Edition ออกมาช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2013 แน่นอนว่าได้รับเสียงตอบรับอย่างเยี่ยมยอดจากแฟนเพลงในอเมริกา Flume กลายเป็นชื่อดีเจหน้าใหม่อันดับต้น ๆ ในช่วงนั้นที่เหล่าแฟนเพลงและนักวิจารณ์ต่างให้ความสนใจ
credit: https://www.facebook.com/flumemusic
ปี 2013 Flume ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลในงาน Australian Independent Record Awards ถึง 5 สาขา ซึ่งเขากวาดไปได้ถึง 4 สาขา แม้จะเป็นการเสนอชื่อครั้งแรกในชีวิต!!! หลังจากนั้นงานเพลงของ Flume ก็กวาดรางวัลจากเวทีต่าง ๆ อย่างไม่หยุดหย่อน จนกระทั่งปี 2017 Skin อัลบั้มที่สองของเขาก็ได้รับรางวัลใหญ่อย่าง Grammy Awards สาขา Best Dance/Electronic Album มาครองจนได้
หลายคนเข้าใจว่าเพลงอิเล็กทรอนิกส์เกือบทุกชนิดคือเพลง ‘สายตื๊ด’ หรือ ‘EDM’ แต่ Flume กลับไม่ได้มองเพลงของเขาเป็นเช่นนั้น เขาเคยให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับมุมมองเรื่องนี้ผ่านสื่อเอาไว้ได้อย่างเจ็บแสบและน่าสนใจว่า
“ผมไม่เคยรู้สึกว่าผมเป็นส่วนหนึ่งกับวงการ EDM เลย แต่ผมเคยถูกถามว่า ‘คุณคิดว่าคุณอยู่ส่วนไหนในวงการ EDM?’ ผมเองไม่รู้จะตอบอะไร เพราะผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร Electronic Dance Music เหรอ? เพลงผมมันแดนซ์เหรอ? คือมันแม่งไม่มีทั้ง BPM และอะไรแบบนั้นอยู่ในงานผมเลย ไม่มีเพลงไหนใช้จังหวะ 4/4 แบบดนตรี House ผมไม่เคยคิดว่าผมทำเพลง House หรือเพลงแดนซ์”
เขาได้เสริมอีกว่าเพลงของเขา โดยเฉพาะอัลบั้ม Skin นี้ มีจุดมุ่งหมายในการคิดค้นและทดลองอะไรใหม่ ๆ ให้กับเพลงป๊อป นอกจากนั้นยังมีความฝันที่จะได้ร่วมงานกับ Damon Albarn สักครั้ง เพราะเขาคือแฟนตัวยงของวง Gorillaz อีกด้วย
credit: https://www.facebook.com/flumemusic/
“ผมเป็นแฟนตัวยงของวง Gorillaz พวกเขาแตกต่าง มีทั้งเมโลดี้และการประพันธ์เพลงที่น่าสนใจ ผมชอบที่ Damon Albarn นำเอาเทคโนโลยีมาหลอมรวมกับความสามารถทางการร้องและแต่งเพลงของเขา เป็นคนเก่งระดับสุดยอดไปเลย”
นอกจากความสำเร็จของตัวเองแล้ว Flume ยังอยู่เบื้องหลังงานเพลงต่าง ๆ ของศิลปินระดับโลกมากมาย เช่น ช่วยโปรดิวซ์เพลง The Louvre ในอัลบั้ม Melodrama ของ Lorde, เคยรีมิกซ์เพลง Lay Me Down ของ Sam Smith อีกทั้งยังมี Side Project ภายใต้ชื่อ What So Not ที่ทำร่วมกับโปรดิวเซอร์ Emoh Instead โดยเพลงจะเป็นอิเล็กทรอนิกส์ที่นำเอา Hip-hop และ Trap Music มาผสมผสานเข้าด้วยกัน (ตื๊ดกว่า Flume แต่บีทไม่เร็วเท่า EDM)
สำหรับแฟนเพลงชาวไทยที่อยากชมโชว์สด ๆ แบบชุดใหญ่ไฟกะพริบสักครั้ง เตรียมพบกับ White Noise Present FLUME Live in Bangkok ในวันที่ 21 สิงหาคมนี้ ที่ Centerpoint Studio (ลาซาล) บัตร Early Bird ราคา 1,800 บาท และบัตรธรรมดาราคา 2,300 บาท อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง www.theconcert.co.th ส่วนวันนี้เราจะขอลาทุกท่านกันด้วยซิงเกิลล่าสุดของเขา Let You Know ที่ได้วงอัลเทอร์เนทีฟจากอังกฤษอย่าง London Grammar มาร่วมงานด้วย ไว้ UNLOCKMEN จะนำข่าวสาร หรือเรื่องราวต่าง ๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับ Flume และดีเจเจ๋ง ๆ คนอื่น มาพูดถึงกันใหม่ในโอกาสหน้าอย่างแน่นอน