Entertainment

Free Blockbuster กระแส Rewind ความหลัง ด้วยการปลุกเทรนด์ดูหนังผ่านม้วนวีดีโอ VHS อีกครั้งนึง

By: Chaipohn November 2, 2021

ในยุคสมัยที่ความทันสมัยและความคมชัดของการดูหนังเป็นเรื่องที่แสนสะดวกสบายเพียงปลายนิ้วสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นการดูหนังผ่านสตริมมิงชื่อดังอย่าง Netflix ที่มีความคมชัดระดับ 4K แต่คนกลุ่มหนึ่งกำลังกำลังถวิลหาความสุขผ่านการเสพภาพยนตร์จากม้วนวีดีโอเทป สื่อในอดีตที่คมชัดเพียงระดับหนึ่ง แถมมีความยุ่งยากพอสมควรทั้งในการค้นหาซีนเวลาที่ต้องการ การดูแลรักษาไม่ให้เนื้อเทปเสียหาย รวมถึงฮาร์ดแวร์ที่หาได้ยากยิ่ง

แต่เพราะอะไรหลายคนกลับคิดถึง Home Entertainment ชิ้นนี้ และชุมชนคนดูหนังในแบบจับต้องได้กำลังค่อย ๆ ขยับขยายเพิ่มขึ้นทั้งคนเกิดทัน และในหมู่คนรุ่นใหม่ มาทำความรู้จักกลุ่มๆนี้ Free Blockbuster ตู้ปันสุขสำหรับคนที่ชอบเสพย์ความบันเทิงในแบบ Old School

VHS สื่อบันเทิงทันสมัยในยุคเทคโนโลยีค่อยๆเบ่งบาน

ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1970s โลกเริ่มทันสมัยรุดหน้าไปเรื่อยๆ สื่อบันเทิงก็เช่นกัน มีความพยายามที่จะทำสื่อพกพาเพื่อความสะดวกสบายและเม็ดเงินที่จะสะพัดตามมา โดยเฉพาะสื่อภาพยนตร์ หลังจากที่สื่อโทรทัศน์เริ่มแพร่หลาย และมีคนคิดค้นฟิล์ม Super 8 ขนาด 8 มิลลิเมตรเพื่อชมกันในครัวเรือนในยุค 60s แต่มันก็เทอะทะและยังเป็นเครื่องเล่นที่ราคาสูงจนเกินไป

บริษัทญี่ปุ่นสองแห่ง Sony และ JVC ได้คิดค้น VCR (Video Cassette Recorders) เพื่อรองรับความสะดวกสบายทั้งการบันทึกภาพและการดู โดยทั้ง 2 บริษัทต่างพยายามกันแข่งกันค้นคว้าและทดลอง จนในที่สุด JVC ก็สามารถพัฒนาม้วนวีดีโอระบบ VHS (Video Home System) ขึ้นมาได้สำเร็จและวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 9 กันยายน 1976 นับเป็น Home Entertainment รุ่นที่ 2 ที่รับไม้ต่อจาก Super 8 โดยหนัง 3 เรื่องแรกที่จัดจำหน่ายภายในรูปแบบ VHS นั่นคือ The Sound of Music, Patton และ M*A*S*H* ส่วนหนังที่ถ่ายทำในระบบ VHS เรื่องแรกคือหนังเกาหลีเรื่อง The Young Teacher ที่ออกวางจำหน่ายในปีเดียวกันนั่นเอง

แต่กว่าที่ VHS จะโด่งดังและเป็นที่ยอมรับในหมู่นักดูหนังก็ใช้เวลาพอสมควรนั่นคือช่วงกลางทศวรรษที่ 1980s และบูมสุดขีดจนเป็นหนึ่งในความบันเทิงที่อยู่แทบทุกบ้านสำหรับชนชั้นกลางก็ช่วงยุค 90s มีหนังหลายเรื่องล้มไม่เป็นท่าในโรงหนัง แต่เมื่อมีตลาดที่ 2 VHS หนังกลับสร้างปรากฏการณ์อย่างยิ่งใหญ่ 1 ในนั้นก็คือ The Shawshank Redemption (1994) รวมไปถึงหนังที่ฮิตในโรงแล้ว ก็กลับมาฮิตอีกใน VHS นั่นก็คือ The Lion King (1994) ที่สร้างปรากฏการณ์ขายดีระดับ 32 ล้านม้วน ทำเงินระดับ 540 ล้านเหรียญในยุคนั้นเลยทีเดียว

เนื่องจากวีดีโอนั้นสามารถดูซ้ำกี่รอบก็ได้ และคุณภาพถึงแม้จะไม่เท่าโรงหนัง แต่ก็ช่วยย่นระยะในการเดินทาง และประหยัดค่าใช้จ่ายสามารถดูกันได้ทั้งครอบครัวในราคาเดียวกัน ยิ่งที่ธุรกิจที่เปิดร้านเช่าวีดีโอก็ยิ่งทำให้ VHS บูมอย่างมาก จนเกิดร้านอย่าง Blockbuster / Tsutaya หรือของไทยเราก็มีร้านเช่าวีดีโอประจำอยู่ทุกตรอกซอกซอย ก่อกำเนิดหนังซูม / หนังจีนชุด / วีดีโอตลกคาเฟ่ / คาราโอเกะ ไปจนถึงหนังสอดไส้ใต้แผงที่หนุ่มๆเราชอบแอบใช้บริการเช่าดูแลกเปลี่ยนกันอย่างแพร่หลายในยุค 90s นี้นั่นเอง

และเทคโนโลยีมีไว้เพื่อทำลายเมื่อการมาของ LaserDisc ที่ให้ความคมชัดยิ่งกว่า และค่อยๆพัฒนาเป็น VCD, DVD, BluRay มาจนถึง 4K UltraHD และดูหนังผ่านระบบสตรีมมิ่งจวบจนปัจจุบัน และ VHS ก็กลายเป็นสิ่งตกยุคไปกับหนังเรื่องสุดท้ายที่ทำในระบบนี้ นั่นก็คือ A History of Violence ในปี 2006 นั่นเอง

แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การดูหนังผ่านระบบ VHS นั้นคลาสสิคและตรึงตราตรึงใจคนดูหนังมากที่สุด ซึ่งความทรงจำอันแสนงดงามนี้ Brian Morrison อดีตพนักงานร้าน Blockbuster ก็เห็นคุณค่าและเวลาอันสมควรแล้ว จึงจัดตั้งองค์กรไม่แสวงผลกำไรในชื่อ Free Blockbuster ขึ้นมา


Free Blockbuster ตู้ปันสุขที่บูมอย่างน่าประหลาดใจในช่วงโควิด

Free Blockbuster คือโครงการที่ไม่ต่างกับตู้ปันสุขที่เคยมีกระแสเมื่อปีก่อนของบ้านเรา แต่เปลี่ยนจากข้าวสารอาหารแห้งมาเป็นการหย่อนหนังไม่ว่าจะในรูปแบบ VHS หรือ DVD, BluRay หมุนเวียนดูกันแทน โดย Brian Morrison เล็งเห็นตู้หนังสือพิมพ์ที่เป็นสื่อที่ตายแล้วเช่นกัน ถูกทิ้งร้างในเมือง เขาจึงโมดิฟายใหม่ ทาสีน้ำเงินและแปะโลโก้ที่ชัดเจนว่าเป็นร้านวีดีโอ Blockbuster ที่คุ้นตา พร้อมกับเปิดเว็บไซท์ freeblockbuster.org เพื่อประชาสัมพันธ์และสร้างชุมชนนี้ขึ้นมา

แม้ Free Blockbuster จะเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2019 แต่ช่วงเริ่มต้นกลับเงียบเชียบ เพราะความยุ่งยาก และคุณภาพของภาพนั้นนั้นยังเป็นอุปสรรคสำหรับโครงการนี้ แต่อยู่ดีๆ ปี 2020 ดันกลับมาบูมอย่างน่าตกใจ

“พอเกิดช่วงเวลาโรคระบาด หลายคนอยู่บ้านไม่มีอะไรทำกัน ก็เลยใช้เวลานั้นจัดเก็บบ้านและโละของที่ไม่มีค่าทิ้งไป จนได้พบว่าทุกบ้านนั้นต่างมีม้วนเทป VHS ซ่อนไว้อยู่ในห้องเก็บของ โรงรถ หรือห้องใต้หลังคาอยู่มากมาย จะขายก็ไม่ได้ราคา พวกเขาเลยขนมาใส่ที่ตู้ Free Blockbuster แห่งนี้” ปรากฏการณ์อันน่าเหลือเชื่อลุกลามอย่างรวดเร็วจนคนพูดถึงโครงการนี้ในอเมริกาอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง บางที่มีคนโละม้วน VHS เยอะจนล้นตู้ก็มี “มากสุดผมเคยเจอคนเอาม้วนวีดีโอ 800 ม้วนมาลงจนล้นตู้”

จากที่หลายคนโละ กลับกลายเป็นเห็นคุณค่าของมัน เพราะมันได้ซ่อนความทรงจำดีๆเอาไว้มากมาย “มีบางคนเขียนแนะนำหนังแปลกๆด้วยลายมือ หนังบางเรื่องตกหล่นไปตามกาลเวลาจนสตรีมมิ่งบางเจ้าก็ไม่อยากจะรีมาสเตอร์ แต่เราสามารถนำกลับมาดูได้ในรูปแบบ VHS” จากกระแสเกิดเป็นชุมชน จากชุมชนกลายเป็นคอมมูนิตี้ขนาดใหญ่ที่ช่วยเติมเต็มความทรงจำจซึ่งกันและกัน

“ยุคสมัยนี้มันรวดเร็ว คมชัด และง่ายดาย จนบางทีเราก็รู้สึกว่ามันดีจนเกินไป เราอยากมีเวลานั่งละเมียดในการหยิบม้วนวีดีโอปกแปลกๆเพื่อนั่งอ่านเรื่องย่อของมัน เพื่อให้เกิดช่องว่างในการคิดตามบ้าง ไม่ใช่การเสิร์ซเพื่ออ่านรีวิวอันแสนแห้งแล้งตามทวิตเตอร์อย่างเดียว” Brian Morrison ทิ้งท้ายถึงปรากฏการณ์อันน่าสนใจนี้


Free Blockbuster จะเป็นกระแส หรือวูบวาบแล้วหายไป

แน่นอนว่า VHS ไม่อาจจะกลับมาเรืองรองได้ในแบบที่แผ่นเสียงหรือเทปคาสเซ็ทท์ทำได้ ด้วยการด้อยของคุณภาพของภาพและเสียง การหายากขึ้นของเครื่องเล่นวีดีโอ และคนที่ยังคลั่งไคล้ยังอยู่ในจำนวนน้อยนิด ซ้ำเจ้าของ Blockbuster เองที่ถูกฟ้องล้มละลายเมื่อปี 2011 ก็ไม่ได้ปลื้มเท่าไหร่ที่โลโก้ของเขาแผ่หลาในตู้ปันสุขที่กระจายไปกว่า 80 ตู้ในทั่วสหรัฐอเมริกา แต่ชมรมคนรัก VHS ก็ยังดิ้นรนเพื่อไม่ให้ฟอร์แมทนี้มันตายลงไป

“มันคงเป็นเพียงแฟชั่นวูบวาบ แต่เราไม่อยากให้มันหายไป เพราะเราก็อยากให้มีช่องว่างเล็กๆของเวลาให้คิดถึงความตื่นเต้นในยามไปร้านวีดีโอ ได้หยิบจับและเซอร์ไพร้ซ์กับหนังที่ดีอย่างไม่คาดคิด หรือผิดหวังกับหนังห่วย แต่ก็แอบขำในความเปื่นในการเลือกหนังบ้าง” พนักงานที่ร่วมโครงการนี้กล่าวความทรงจำของ Free Blockbuster ด้วยสายตาที่มีความหวัง

เป็นอีกหนึ่งโมเดลที่น่าสนใจมากๆ เพราะบ้านเมืองเรากับความทรงจำเกี่ยวกับวีดีโอนั้นก็มีอยู่มากมาย ถ้ามีตู้ปันสุขในการเลือกหนังแบบนี้ในไทยบ้างก็คงจะดีไม่ใช่น้อยนะครับ

Chaipohn
WRITER: Chaipohn
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line