CARS

New ASTON MARTIN ‘VANTAGE’ SUPERCAR นักล่าสายเลือดแชมป์ตัวจริงจากประเทศอังกฤษ

By: HYENA June 4, 2021

ถ้าหากให้เลือก Supercar คันหนึ่ง คุณจะเลือกรถแบรนด์อะไร? เชื่อว่าหลายคนอาจจะมีคำตอบในใจที่แตกต่างกันไป เพราะความชอบและคาแรคเตอร์ของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน

แต่ถ้าหากคุณกำลังมองหารถ Supercar ที่ครบเครื่องจริง ๆ ไม่ได้มีดีแค่ Performance แต่มันมีทั้งเรื่องราวประวัติความเป็นมาของ Supercar ที่สืบทอด DNA ผู้ชนะมาจากสนามแข่งแบบ 100% และที่สำคัญมันเป็น Supercar ที่ถูกประเมินค่าให้เป็นงานศิลปะระดับ Masterpiece

รถ Supercar คันนั้นจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจาก ‘Aston Martin’


 History of Aston Martin

ชื่อของ Aston Martin เป็นที่รู้จักในวงกว้างกว่าบรรดานักเล่นรถ Supercar หลังจากที่คนเห็นมันปรากฏตัวในภาพยนต์จากการเป็นรถคู่ใจของสายลับ James Bond 007 แต่จริง ๆ แล้ว แบรนด์ Aston Martin นั้น ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1913 โดย 2 ผู้ก่อตั้งอย่าง Lionel Martin และ Robert Bamford ซึ่งในปัจจุบัน Aston Martin ก็อายุครบ 108 ปีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ก่อนที่ Lionel Martin และ Robert Bamford จะเปิดบริษัท Aston Martin นั้น พวกเขาเคยก่อตั้งบริษัทที่ชื่อว่า Bamford & Martin บริษัทจัดจำหนายรถยนต์ที่ผลิตโดยบริษัท Singer

แต่ด้วยความที่ทั้งคู่ชื่นชอบในการแข่งรถ พวกเขาจึงร่วมมือกันสร้างรถแข่งของพวกเขาขึ้นมา และนำไปลงแข่งขันที่ Aston Hill ตั้งอยู่บริเวณหมู่บ้าน Aston Clinton ในเมือง Buckinghamshire จนได้รับชัยชนะ จากนั้นจึงได้นำเอาชื่อของเนินเขา Aston Hill มารวมเข้ากับนามสกุลของ Lionel Martin ซึ่งเป็นคนขับรถคว้าชัยชนะมาในวันนั้น จนกลายมาเป็นชื่อ Aston Martin ในที่สุด จึงถือเป็นแบรนด์รถแข่งที่เกิดมาจากชัยชนะอย่างแท้จริง

หลังจากนั้นในปี 1959, Aston Martin ได้ทำรถเพื่อลงแข่งขันในรายการ ’24 Hours of Le Mans’ ซึ่งผลที่ออกมาก็คือ รถ Aston Martin DBR1 สามารถคว้าชัยชนะมาครอบครองได้สำเร็จ โดยผู้ที่ขับรถในวันนั้นก็คือ Caroll Shelby ผู้ที่ภายหลังไปโด่งดังอยู่กับค่าย Ford และนั่นถือเป็นการประกาศศักดาให้โลกได้รู้ว่า Aston Martin สามารถสร้างรถที่ทรงพลังได้ไม่แพ้ใครในโลก กลายเป็นรถที่ดึงดูดผู้หลงใหลในยานยนต์และความเร็วตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา


THE ART AND SCIENCE BEHIND ASTON MARTIN’S BEAUTIFUL DESIGN

ผู้คนมักพูดว่าสวยงามหรือไม่ มันขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นคนมองความสวยงามนอกจากจะเป็นเรื่องของศิลปะแล้ว มันยังเป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์อีกด้วย ซึ่ง Aston Martin ก็เข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี

เมื่อเรามองไปที่บางสิ่ง สมองของเราจะเริ่มค้นหารูปทรงที่ดูเป็นธรรมชาติ หาความเกี่ยวข้องกันระหว่างสิ่งต่าง ๆ ปรากฏการณ์นี้ถูกค้นพบเป็นครั้งแรกโดยชาวกรีกโบราณเมื่อ 2,000 ปีก่อน โดยกฎที่ว่านี้เรียกว่า ‘Golden Ratio’ หรือที่คนไทยมักเรียกว่าสัดส่วนทองคำซึ่งเป็นการออกแบบสัดส่วนที่สมบูรณ์แบบมากที่สุด มักถูกนำมาใช้กับการทำงานศิลปะเช่นรูปวาดระดับโลก ‘Mona Lisa’ เองก็ถูกสร้างสรรค์ขึ้นภายใต้กฎนี้เช่นกัน

Aston Martin ได้นำกฎ ‘Golden Ratio’ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการออกแบบรถทั้งในตระกูล DB, Vanquish รวมไปถึง Vantage เป็นอีกหนึ่งสาเหตุว่าทำไม supercar จากค่าย Aston Martin ถึงดึงดูดสายตา และดูสวยสมบูรณ์แบบทุกมุมมองอยู่เสมอ

ที่สำคัญมันยังให้อารมณ์ที่แตกต่างจาก Supercar แบรนด์อื่นได้อย่างชัดเจน เพราะมันเปรียบเสมือนงานศิลปะเคลื่อนที่ที่สร้างสรรค์ขึ้นมาบนแนวคิดของตัวเอง


If you’ve heard of Aston Martin, then you know the ‘Vantage’

ไม่ว่าคุณจะเป็นแฟน Aston Martin หรือไม่ เชื่อว่าคุณต้องเคยได้ยินชื่อ ‘Vantage’ อย่างแน่นอน

สำหรับ ‘Vantage’ นั้น เปรียบเสมือน Iconic ของวงการ Supercar และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ Aston Martin ประสบความสำเร็จมาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี 1950 ซึ่งเป็นปีที่ Aston Martin ได้เปิดตัว ‘DB2 Vantage’ ออกมาเป็นครั้งแรก พร้อมสมรรถนะที่โดดเด่นของเครื่องยนต์ 2.6 ลิตร ผลิตแรงม้าได้สูงถึง 126 ตัว การพัฒนาบนพื้นฐานของรถแข่งสายพันธุ์แท้ที่น่าจับตามองมากที่สุดในยุคนั้นเลยทีเดียว

หลังจากนั้นในปี 1961, Aston Martin ก็ได้เปิดตัว ‘DB4 Vantage’ ออกมา ว่ากันว่านี่คือ ‘The First Real Vantage’ ด้วยเครื่องยนต์ที่ถูกพัฒนาต่อยอดขึ้นจากรุ่นเดิมจนมีความแรงทะลุ 270 แรงม้า เพิ่มขึ้น 10% จากตัว DB4 ธรรมดา หลังจากนั้น Aston Martin ยังพัฒนารถตระกูล ‘Vantage’ ออกมาอย่างต่อเนื่องไล่มาตั้งแต่

  • Aston Martin (AM) Vantage ในปี 1972
  • Aston Martin Vantage V8 ในปี 1977
  • Aston Martin V8 Vantage V600 ในปี 1993
  • Aston Martin DB7 Vantage ในปี 1999
  • Aston Martin V8 Vantage ในปี 2008
  • Aston Martin V12 Vantage ในปี 2009

หลังจากนั้นชื่อของ ‘Vantage’ ได้หายไปนานถึง 12 ปี ก่อนจะกลับมาอีกครั้งในปี 2018 การกลับมาครั้งนี้มีการปรับเปลี่ยนให้ ‘Vantage’ อยู่ในหมวดของ Supercar ขนาดเล็กที่เต็มเปี่ยมไปด้วยสมรรถนะ หันไปใช้เครื่องยนต์ V8 4.0 ลิตร Twin-Turbocharged ที่พัฒนาโดย Mercedes-AMG มาใช้ ทำให้ ‘Vantage’ กลายเป็นรถ ‘Entry-Level’ ของ Aston Martin ที่คนสามารถจับต้องได้มากขึ้น แต่ความพิเศษของมันไม่ได้ลดลงไปเลยแม้แต่นิดเดียว


All-New Aston Martin Vantage

สำหรับการกลับมาของ New Aston Martin Vantage โฉมใหม่ล่าสุดนี้ ไม่ใช่เฉพาะแฟนพันธุ์แท้เท่านั้นที่จะต้องถูกใจ เพราะรูปลักษณ์ใหม่ที่ถูกออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน สวยงามลงตัวไร้ที่ติ ยังคงใช้กฎ Golden Ratio ที่สัดส่วนสมบูรณ์แบบเช่นเคย พร้อมการผสมผสานความ Modern เข้าไปในความ Classic ของ Vantage ดั้งเดิมได้อย่างลงตัว

EXTERIOR

New Aston Martin Vantage รุ่นล่าสุดเป็นรถ Supercar ในร่าง Sport Coupe ที่มีขนาดไม่ใหญ่โตเทอะทะ มีความน่าเกรงขามด้วยทรวดทรงและมัดกล้ามจากลายเส้นที่บึกบึน โดยเฉพาะบริเวณตัวโป่งล้อหน้า-หลัง

หากมองที่บริเวณด้านหน้าจะเห็นไฟหน้า และ Front grill ที่มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบใหม่ จากที่เคยชินตาให้ดูมีความบางเรียบง่าย แต่แฝงไว้ด้วยเส้นสายที่เฉียบคมคล้ายนักล่าแห่งท้องทะเลอย่างปลาฉลาม สะท้อนให้เห็นถึงอุปนิสัยของรถที่เหมือนกับนักล่า ดูนิ่งสุขุม แต่ก็พร้อมกระโจนออกไปล่าเหยื่อในทันทีเช่นกัน

ในวันปกติสามารถขับใช้งานในชีวิตประจำวันได้สบาย ๆ แต่ก็พร้อมดึงสมรรถนะที่ซ่อนไว้ออกมาใช้ได้ทันทีที่ต้องการ ตอบโจทย์ได้ตั้งแต่ใช้งานบนท้องถนนจนไปถึงการขับลง Track แข่งขันเลยทีเดียว

บริเวณฝากระโปรงหน้าเป็นแบบ Clamshell ส่วนที่ฝากระโปรงท้ายประดับไฟ LED ที่มีเรื่องราวจุดกำเนิดของแบรนด์ Aston Martin ซ่อนไว้อยู่ด้วย โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจาก ‘Aston Hill’ ซึ่งถ้าหากสังเกตดี ๆ จะเห็นได้ว่าไฟเบรคที่เป็นเส้นบางเฉียบพาดยาวตลอดด้านท้ายรถจะมีรายละเอียดเหมือนเทือกเขาตั้งเด่นเป็นตระหง่านซ่อนอยู่อย่างประณีต

Badge ของรถ Aston Martin ทุกคันนั้นจะเป็นงานสร้างแบบ Handmade ในทุกขั้นตอน ผลิตขึ้นจากโรงงาน Jewelry ชื่อดังในประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นที่นิยมแพร่หลายในสังคมชนชั้นสูงเท่านั้น

ประตูของตัวรถก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่มีการเปิดปิดอย่างเป็นเอกลักษณ์ และเป็นประตูแบบ Frameless Door ตามแบบฉบับเฉพาะของ Aston Matin ซึ่งองศาการเปิดประตูจะถูกออกแบบให้เชิดขึ้น 30 องศา หรือที่เรียกว่า ‘Swan Door’ นั่นก็เพื่อให้ประตูมีน้ำหนัก และเกิดแรงส่ง ลดการออกแรง และลดการปิดกระแทกโดยไม่จำเป็น


INTERIOR

การตกแต่งภายในของ Aston Martin ก็แน่นอนว่า ยังคงคอนเซ็ปต์ ‘Craftsmanship’ ด้วยเช่นกัน เมื่อเป็นรถในระดับ Supercar ทุกอย่างย่อม Custom ได้ตามใจปปราถนา ไม่ว่าจะเป็นสีของหนัง สีของด้าย Stitching ทุกจุดภายในสามารถเลือกเป็น Option ตามใจเจ้าของ โดยการผลิตภายในรถยนต์ของ Aston Martin นั้น จะใช้ช่าง 1 คนต่อรถ 1 คัน เนื่องจากระยะการเย็บเดินด้ายด้วยมือของแต่ละคนนั้น จะมีระยะที่ไม่เท่ากัน และนั่นคือรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่รถระดับ Supercar อย่าง Aston Martin ไม่มองข้ามอย่างเด็ดขาด

สำหรับหนังที่ใช้ในการผลิตรถ Aston Martin คันนี้เป็นหนังแท้คุณภาพสูงสุดจากบริษัทหนังเก่าแก่ที่มีชื่อว่า ‘Bridge of Weir’ ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานไม่แพ้ Aston Martin

เบาะนั่งมีการออกแบบมาเป็นพิเศษ ซึ่งทาง Aston Martin บอกว่าผู้ขับขี่จะสามารถนั่งขับติดต่อกันเป็นเวลา 3 ชั่วโมงโดยไม่เกิดอาการเมื่อยล้า ซึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เห็นว่า New Aston Martin Vantage คันนี้ เป็นรถที่สามารถใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างสะดวกสบายจริง ไม่ใช่ขับใน Track หรือขับได้แค่ระยะทางใกล้ ๆ เท่านั้น

แม้จะเป็นรถสไตล์ coupe’ 2 ที่นั่ง แต่ช่องเก็บของใต้ฝากระโปรงหลังกลับมีพื้นที่เก็บสัมภาระขนาดใหญ่อย่างเหลือเชื่อ ซึ่งทาง Aston Martin บอกว่ามี capacity มากที่สุดในรถ Segment เดียวกันในตลาดตอนนี้อีกด้วย

ระบบอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ของ Aston Martin Vantage มีติดตั้งมาให้ใช้แบบเต็มพิกัด ออกแบบทุกรายละเอียดโดยแฝงจิตวิญญาณความสปอร์ต แผงหน้าปัด และแผงควบคุมต่าง ๆ ถูกดีไซน์ให้ใช้งานได้ง่าย ดูทันสมัย ควบคุมการใช้งานฟังก์ชันต่าง ๆ ผ่านหน้าจอ LCD ขนาด 8 นิ้ว ระบบ Entertainment ใน Supercar คันนี้รองรับการเชื่อมต่อกับ iPod, iPhone ช่องเสียบ USB พร้อมระบบนำทางผ่านดาวเทียม GPS Navigation System

พวงมาลัยของ All New Aston Martin Vantage เป็นทรงสี่เหลี่ยมเหมือนกับที่นิยมใช้ในรถแข่ง นอกจากจากนี้ยังมีการรวมปุ่มควมคุมการใช้งาน Multifunction มาไว้บนพวงมาลัยเพื่อการขับขี่พร้อมควบคุมรถที่ปลอดภัยมากขึ้นตามสไตล์ Supercar ไม่ว่าจะเป็นชุดควบคุมเครื่องเสียง ระบบควบคุมความเร็วคงที่อัตโนมัติ Cruise Control ระบบ Trip Computer และปุ่มปรับโหมดการขับขี่ที่มีให้เลือกถึง 3 โหมด ปุ่มปรับความแข็งช่วงล่าง และก้านเปลี่ยนเกียร์สไตล์สปอร์ตหลังพวงมาลัย

โหมดการขับขี่ประกอบด้วย Sport, Sport Plus และ Track จะเห็นได้ว่าโหมดเริ่มต้นที่ให้มานั้นก็เป็นโหมด Sport แล้ว ซึ่งต้องบอกเลยว่า “แรงจัดจ้าน แต่ควบคุมง่าย” ไม่แข็งกระด้าง ขับใช้งานได้ในชีวิตประจำวันได้โดยไม่กระแทกกระทั้นจนปวดเมื่อย

ส่วนโหมด Sport Plus จะเพิ่มความเร้าใจทันที ไม่ว่าจะเป็นเสียงท่อ หรือความเร็วของจังหวะการเปลี่ยนเกียร์ และสำหรับโหมด Track นั้น บอกเลยว่าอาจจะเหมาะกับผู้ที่มีสกิลในการขับขี่พอสมควร เพราะตัวรถจะตัดระบบช่วยเหลือในการควบคุมทุกอย่างออกหมด ปลดปล่อยพละกำลังออกมาเต็มที่เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมแรงม้ากว่า 500 ตัวได้อย่างสนุกสนาน เรียกอะดรีนาลีนให้เดือดพล่านได้ทุกเมื่อที่ต้องการ


Engine, Transmission, and Performance

ขุมกำลังของ All New Aston Martin Vantage เป็นเครื่องยนต์เบนซิน V8 4.0 ลิตร Twin-Turbocharged จาก AMG ให้แรงม้าสูงถึง 503 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดหนักหน่วยถึง 685 นิวตันเมตร ที่ 2,000-5,000 รอบ/นาที ตำแหน่งเครื่องยนต์ถูกติดตั้งให้ชิดกับตัวถังมากสุด เพื่อการกระจายน้ำหนักที่สมดุล 50:50 ทำให้ Supercar คันนี้ควบคุมง่ายแม้ในความเร็วสูง

แต่ที่หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมถึงเลือกใช้เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะของ ZF เหตุผลเพราะนักออกแบบตั้งใจที่จะให้ All New Aston Martin Vantage เป็นรถที่ขับง่าย ใครก็ขับได้ และที่สำคัญต้องขับได้ทุกวัน ซึ่งเกียร์ ZF จะตอบโจทย์มากกว่า เป็นเกียร์ที่ทำงานเรียบง่าย ทนทาน ให้ความนุ่มนวล และมีสุนทรียภาพในการขับขี่ที่ดีกว่า แต่เมื่อต้องการซิ่ง เกียร์ก็พร้อมตอบสนองรอบให้สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ภายใน 3.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 314 กม./ชม

ด้วยน้ำหนักตัวรถเพียง 1,530 กก. และตำแหน่งการวางเครื่องยนต์ที่ดีเยี่ยม เมื่อจับคู่กับล้อขนาด 20 นิ้ว และช่วงล่าง Adaptive Damping System สามารถปรับรูปแบบให้สอดคล้องกับโหมดการขับ Sport, Sport Plus และ Track ได้ โดยโช็คหน้า-หลังยังแตกต่างกันอีกด้วย โช้คหน้าดับเบิลวิชโบน และด้านหลังเป็นแบบมัลติ-ลิงค์ ปรับความหนืดอัตโนมัติ ระบบเฟืองท้ายอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Rear Differential) ช่วยกระจายกำลังสู่ล้อคู่หลังอย่างเหมาะสมซึ่งทำงานอย่างรวดเร็วเสริมให้รถคันนี้มีการควบคุมที่ดียิ่งขึ้น

หลังจากห่างหายไปจากวงการ F1 นานถึง 60 ปี Aston Martin ก็กลับมาอีกครั้งด้วยการเปิดตัว All-New Aston Martin Vantage และ DBX F1® Edition ออกมารับหน้าที่เป็นรถรักษาความปลอดภัยและรถพยาบาลในการแข่งขัน Formula One ฤดูกาล 2021 เริ่มสนามแรกที่สนาม Gulf Air Bahrain Grand Prix อีกด้วย

โดยทั้ง Aston Martin Vantage และ DBX จะสวมชุดแต่งสีเขียว Racing Green ซึ่งเป็นสีประจำทีม Aston Martin Cognizant Formula One ตกแต่งด้วยสีเขียวสะท้อนแสง Lime Essence นอกจากนี้ยังมีการปรับเปลี่ยนองค์ประกอบบางอย่างเพื่อให้เหมาะกับวัตถุประสงค์มากขึ้น เช่น แถบไฟ LED ที่ติดตั้งบนหลังคา เครื่องหมาย FIA พร้อมกับตัวถังที่ปรับปรุงให้เหมาะกับอากาศพลศาสตร์ ซึ่งรถทั้งสองถูกเพิ่มพละกำลังมากขึ้นเป็น 528 แรงม้าสำหรับ Vantage และ 542 แรงม้าสำหรับ DBX

ถ้าคุณกำลังมองหา Supercar ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว คุณภาพสูง มีความสปอร์ต แรง หรูหรา โดดเด่นไม่ซ้ำใครบนท้องถนน ที่สำคัญคือมีประวัติศาสตร์ DNA ของผู้ชนะอยู่ในตัวแบบเข้มข้น New Aston Martin Vantage คันนี้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่คุณควรจะไปลองสัมผัสดูด้วยตัวเอง

สำหรับใครที่สนใจสอบถามข้อมูลของ Aston Martin เพิ่มเติม ทำการนัดหมาย หรือสนใจบริการ Valet Test Drive ก็สามารถติดต่อไปได้ที่ Aston Martin Bangkok ได้ที่เบอร์ 02 670 6040 RAMA III SHOWROOM, 02 610 9775 PARAGON SHOWROOM หรือ Facebook: Aston Martin Bangkok ก็ได้เช่นกัน

HYENA
WRITER: HYENA
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line