Life

DON’T BULLSHIT ME: 5 STEP เทพจับผิดคนขี้โกหกตามแบบฉบับของนักจิตวิทยา

By: PEERAWIT March 2, 2021

ผมตื่นเช้ายิ้มรับโลกที่แสนสงบสุข เรียกแท็กซี่ออกไปทำงานในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนแบบชิล ทุกคันยินดีรับไปส่งทุกที่แบบไม่มีข้อแม้ ถนนหนทางในกรุงเทพฯ ก็ช่างโล่ง ทุกคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กันด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ทุก วันของผมเป็นวันที่ดี ชีวิตนี้ผมมีความสุขทุกนาที  ใช่ครับ ผมกำลังโกหกคุณอยู่      

ทำไมคนเราถึงชอบโกหกกันนัก ? เรื่องนี้นักจิตวิทยาให้คำตอบไว้ว่า เรามักจะเผลอโกหกเพื่อให้คนที่เจอกันครั้งแรกประทับใจ บ้างก็ไม่อยากให้คนอื่นเจ็บปวด อยากยุติปัญหา หรือพยายามปรุงแต่งคุณค่าของตัวเองเพื่อเข้าสังคม ส่วนที่หนักที่สุดก็คือการโกหกแบบไม่มีเหตุผล เรียกว่าติดเป็นนิสัยไปเลย

ถ้าโลกนี้มีแต่ความซื่อสัตย์ก็จะโคตรดี โชคร้ายที่โลกของความจริงมันไม่ใช่แบบนั้น อ่าว แล้วเราจะดูออกได้อย่างไรว่าคนข้างหน้ากำลังโกหกเราอยู่หรือเปล่า อย่ากังวลครับ ทีมงาน UNLOCKMEN มีวิธีอ่านความจริงเท็จจากภาษากายเบื้องต้นจากนักจิตวิทยาฝากกัน โดยจากผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ระบุว่า ท่าทางเหล่านี้ส่วนใหญ่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในร่างกายตามธรรมชาติ

เราไม่ได้บอกให้มองโลกในแง่ร้ายนะ แต่อยากให้เตรียมพร้อมรับมือจอมโกหกที่เราอาจเจอในชีวิตประจำวัน

 

Step 1: ดูท่าทีที่มือก่อน

ถ้าคนที่คุยคุยด้วยเอามือล้วงกระเป๋ากางเกง มีความเป็นไปได้ว่าเขากำลังคิดไม่ซื่อกับคุณ ไม่ก็กำลังเจ็บปวด เศร้าใจ วิตกกังวล อันนี้ต้องดูดี ว่าควรจะเผื่อใจระวังหรือควรถามสารทุกข์สุขดิบมากกว่ากัน

แต่ถ้ามือไม้เขาดูเป็นธรรมชาติ ปล่อยมือแบออกสบาย ก็พอจะเบาใจได้ว่าคนตรงหน้าไม่น่าจะโกหกกัน ในทางกลับกัน หากคู่สนทนากำหมัดคุยกับเราก็อาจตีความได้ว่าเขากำลังจะพูดปด มีความทุกข์ หรือไม่เห็นด้วยกับคุณ

 

Step 2: มองตาให้รู้ใจ

ถ้าคู่สนทนาหลบตากันก็เดาง่ายเลยว่าน่าจะมีกลิ่นแหม่ง แต่บางคนก็พยายามทำให้เราเชื่อใจด้วยการสบตาตลอด แบบนี้คงต้องดูความเคลื่อนไหวของดวงตากันหน่อยแล้ว

อย่างแรก ถ้าเขาดูจงใจจ้องตาเราขณะพูดกัน อาจแปลว่าเขาพยายามจะทำให้คำลวงจากปากดูเป็นความจริง แต่ถ้าตาคนข้างหน้าเป็นประกาย เป็นไปได้ว่าเขากำลังเห็นภาพสิ่งที่เขาคิดอยู่ในหัว

ภาพจาก testingtheglobe.com

ถ้าเขาเหลือบตาไปทางซีกซ้าย(ของเขา) ก็พอจะเบาใจได้ว่าไม่อำกัน ถ้าบนซ้ายหมายถึงเขากำลังนึกถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นจริง ส่วนด้านข้างซ้ายอาจหมายถึงคนนั้นกำลังนึกถึงสิ่งที่เคยได้ยินมาจริง ขณะที่ล่างซ้ายจะประมาณว่ากำลังพูดกับตัวเองอยู่

แต่ถ้าเหลือบตาไปทางซีกขวา(ของเขา) แนะนำให้ระวังไว้หน่อย บนขวาอาจหมายถึงกำลังสร้างมโนภาพโป้ปดอยู่ ส่วนด้านข้างขวาตีความได้ว่ากำลังคิดคำลวง ขณะที่ล่างขวาจะไม่ได้บ่งบอกว่าจริงหรือเท็จ แต่อาจหมายถึงว่าเขากำลังรู้สึกถึงสิ่งที่เคยทำ 

 

Step 3: สังเกตมือบนใบหน้า

คนที่กำลังโกหกหรือปิดบังอะไรอยู่ มักจะนำมือมาบดบังปากของเขา ไม่ก็เอาขึ้นมาอยู่ใกล้ และถ้าปากของคนข้างหน้าดูเกร็ง ริมฝีปากบิดเบี้ยว อาจหมายถึงเขากำลังเซ็งสุด

ถ้าเอามือมาแตะที่ปากหรือจมูก มีความเป็นไปได้ว่าเขาไม่ได้พูดความจริงหรือไม่ก็เครียดอยู่ แต่ถ้าเขาเอามือมาแตะปลายคางเบา แปลว่าเขากำลังสนใจเรื่องราวที่กำลังสนทนาหรือดูอยู่ และเป็นไปได้ว่าจะไม่โกหกกัน

 

Step 4: ตั้งใจฟังน้ำเสียง

นอกจากตาดูแล้ว หูก็ต้องฟังด้วย จะได้รู้ว่านายโม้หรือเปล่า นี่คือตัวอย่างของการใช้น้ำเสียงที่มีความเป็นไปได้ว่าผู้พูดกำลังโกหกคุณอยู่

  • พูดด้วยเสียงสูงกว่าปกติ
  • พูดเสียงสั่น (อากาศก็ไม่ได้หนาวนี่หว่า)
  • พูดติดอ่าง หรือพูดตะกุกตะกัก (ในกรณีที่ผู้พูดไม่ได้พูดติดอ่างโดยธรรมชาติ)
  • เน้นที่รายละเอียดมากเกินไป
  • ขยายความรายละเอียดเยอะเกินไป
  • พูดจาก้าวร้าว (อาจเกิดจากการโดนจับโกหกได้)
  • พูดเร็วหรือช้าเกินไป
  • เบี่ยงประเด็น
  • พูดถ่วงเวลา
  • พูดวนไปวนมา

 

Step 5: พิจารณาภาษากายโดยรวม 

นอกจากการดูท่าทางเบื้องต้นและตั้งใจฟังน้ำเสียงแล้ว ภาษากายก็เป็นอีกสิ่งที่พอจะบ่งบอกได้ว่าคนข้างหน้าคือจอมโกหกหรือไม่ ลองสังเกตดูจากอาการเหล่านี้ ถ้ามีก็อาจจะโม้

  • เหงื่อแตก
  • ตัวสั่น
  • หน้าแดง
  • ก้มหน้าพูดจา
  • กลืนอะไรไม่คล่องคอ
  • กลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่
  • กระแอมไอ
  • ขยับตัวถอยห่าง

ส่วนอาการอื่น เช่น ขยับปกเสื้อบ่อย , นวดคอ หรือ กอดอก อาจหมายถึงทั้งพูดไม่จริง เครียดอยู่ หรือเห็นแย้ง แต่ถ้าคนข้างหน้าเท้าเอว ก็พอจะเดาได้ว่าเขากำลังโกรธอยู่ ข่มใจอยู่ ถ้ามองในแง่ดีก็คือไม่ได้ปิดบังความรู้สึกอะไร 

แม้พฤติกรรมที่กล่าวมาทั้งหมดอาจจะบ่งบอกไม่ได้ 100% ว่าคู่สนทนาของคุณกำลังโกหกอยู่หรือไม่ แต่ก็พอจะเป็นแนวทางในการเดาทางผู้อื่นได้

สิ่งที่สำคัญกว่าคือตัวของเราเอง การมีเกราะป้องกันถือเป็นเรื่องดี แต่ต้องไม่กลายเป็นจอมลวงโลกเสียเอง

อย่าโกหกกันเลย พูดจริงทำจริงเท่กว่ากันเยอะ อันนี้ไม่ได้โกหกนะครับ

PEERAWIT
WRITER: PEERAWIT
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line