Entertainment

‘เกาที่ไม่มีเจ Effect’ ในวันที่เหล่า 6 ศิลปินดังขาดคนซัพพอร์ต ชีวิตของพวกเขาจะเป็นอย่างไร

By: GEESUCH July 19, 2022

“เห็นไหม ไม่มีเราเธอก็ทำได้”

“เชื่อเหอะ ไม่มีเธอเราทำไม่ได้หรอก”

ดู Fast and Feel Love ของ ‘เต๋อ นวพล’ แล้วอินจัง สำหรับคนที่ยังไม่เคยดูหนังเรื่องนี้ แต่เสพมีมของหนังเข้าไปเยอะจนคิดว่าอันนี้หนังตลกใช่ปะ? คุณคิดถูกครับ (อ้าว) ยังพูดไม่จบ ๆ จะบอกว่านี่คือหนัง Action Comedy ที่พยายามให้เรามองแง่บวกกับชีวิต ถึงแม้หลาย ๆ เรื่องจะยากเกินกว่าหัวเราะออกก็ตาม และไม่ต้องอายที่จะร้องไห้เพื่อความฝัน ในวันที่ชีวิตจริงปล่อยหมัดฮุกใส่ตลอดเวลา เพราะเหล่าตัวละครจะตบบ่าคุณเบา ๆ พร้อมพูดว่า “เราเข้าใจแกว่ะ”

หนังเล่าเรื่องของ ‘เกา’ ชายหนุ่มอายุใกล้ 30 ที่พยายามอย่างหนักทุกวันตั้งแต่สมัยเรียน เพื่อจะเป็นแชมป์ผู้ครองความเร็วที่สุดในโลกของกีฬา Sport Stacking โดยมี ‘เจ’ คอยซัพพอร์ตทุกด้านของชีวิตเสมอ แต่! (เสียงเอฟเฟกต์ฟ้าผ่าเข้า) เจมีเหตุจำเป็นจนไม่สามารถช่วยเกาได้อีกแล้ว และเกาก็ทำอะไรไม่เป็นเลยนอกจากเล่นสแต็ก ภารกิจพิชิตชีวิตประจำวันของเขาก็เริ่มต้นขึ้น

ขอใช้พื้นที่ในบรรทัดนี้ขอบคุณ ‘เจ’ ในชีวิตจริงของตัวเอง ที่คอยซัพพอร์ตเสมอ ไม่ว่าทางข้างหน้าของเราจะยังอีกยาวไกลขนาดไหน ขอบคุณจริง ๆ ครับ : )

คอลัมน์นี้ UNLOCKMEN อยากชวนคิดไปด้วยกันว่า “ถ้าศิลปินที่คุณชอบขาดเจของตัวเองไป เขาจะมาถึงจุดปัจจุบันที่เราเห็นกันมั้ย” หรือจะเกิดเหตุการณ์แบบ Butterfly Effect ขึ้น จะมีใครบ้างไปดูกัน


The Duffer brother

ผู้กำกับที่ฮอตที่สุด (และน่าจะเป็นคนที่ถูกหวงที่สุด) จาก Netflix ในเวลานี้ Ross และ Matt Duffer ผู้สร้างจักรวาลโลกกลับด้านใน Stranger Things นั่นเอง

ทั้งคู่เคยให้สัมภาษณ์หลังจาก Stranger Things ซีซั่นแรกไฮป์มาก ๆ ในรายการเบื้องหลังของ Netflix ว่า ตั้งแต่เด็กทั้งคู่มีกันเป็นเพื่อนแค่ 2 คนเท่านั้น และไม่สนิทกับใครเลย แถมออกจะเป็นเด็กเนิร์ดด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่โชคดีคือเหมือนว่าพระเจ้าจะไม่ใจร้ายจนเกินไป สร้างให้ทั้งคู่มีความชอบที่เหมือนกันเป๊ะ คือ ‘ภาพยนตร์’ ให้ละเอียดกว่านั้นคือเป็นหนัง 80s ที่เป็นระทึกขวัญ ทั้ง Evil Dead, The Thing, alien อันเป็นแรงบันดาลใจให้เด็กน้อยตระกูล Duffer สองคนเป็นผู้กำกับ และส่งจินตนาการในวัยเยาว์ต่อยอดเป็นซีรีส์ย้อนยุค 80s ชื่อดังที่เรากล่าวไปข้างต้นให้โลกนี้เอง

Ross กับ Matt ในวันที่ไม่มีกันและกัน : ทั้ง Ross และ Matt ต่างเป็น ‘เจ’ ในชีวิตจริงของกันและกันก็ว่าได้ และบางครั้งก็อาจจะผลัดกันเป็น ‘เกา’ บ้าง (ตามประสาพี่น้องเนาะ) สิ่งที่เป็นสิ่งน่าเสียดายต่อ Netflix และ คนดูทั้งโลกอย่างแรกเลย เราจะไม่มีวันได้ดู Stranger Things แน่นอน บอกลาน้องแอลและเหล่า Hellfire Club ไปเลย

แต่ส่วนที่ผู้เขียนคิดว่าสำคัญกว่า คือการที่ไม่อยากจินตนาการว่าทั้ง Ross และ Matt จะใช้ชีวิตได้อย่างดีมั้ยในวัยเด็ก จะมีเพื่อนรึเปล่า ได้แต่หวังว่าจะไปได้ดีทั้งคู่


Stephen King & Tabitha King

ราชานิยายสยองขวัญ ต้นแบบของนักเขียนผู้มุมานะ ด้วยรูทีนที่ชัดเจนในทุกวันของชีวิต จนออกมาเป็นหนังสือที่หวาดผวาแต่ทำผู้อ่านติดหนึบไปทั่วโลก อย่าง It, Misery, The Shining, The Stand เป็นต้น แต่รู้หรือไม่ ก่อนที่สตีเวนจะเป็นนักเขียนมือทอง ออกหนังสือเล่มใหม่แทบจะทุกปีแบบทุกวันนี้ เขาเคยเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเองเอามาก ๆ จนเกือบไม่ได้เป็นนักเขียนมาแล้ว

Stephen ที่ไม่มี Tabitha ในชีวิต : ในหนังสือ Different Season ที่เปิดเผยเคล็ดลับในการเขียน พร้อมกับชีวประวัติของสตีเวนนั้น คุณภรรยา Tabitha King จะถูกพูดถึงในส่วนที่มีความสำคัญกับชีวิตของเขาเสมอ และถ้าไม่มี ‘ทาบิธา’ สตีเวนจะขาดคู่ชีวิตที่ดีที่สุด ที่เป็นคนคุ้ยกองต้นฉบับของ Carrie จากถังขยะนำไปส่งสำนักพิมพ์ จนนิยายเล่มแรกนี้เปลี่ยนชีวิตของเขาและภรรยาไป และเมื่อไม่มีเล่มนี้ ก็จะไม่มีคนให้คำวิจารณ์ที่ดีที่สุดสำหรับงานต่อ ๆ มา ของเขา และโลกก็คงจะไม่ได้รู้จักนักเขียนชื่อ ‘สตีเวน คิง’ ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ภาพยนตร์ เกม และอื่น ๆ แต่จะเหลือเพียงคนไม่กี่คนที่รู้จักเขาในฐานะ ‘ครูสอนภาษาอังกฤษ’ ของโรงเรียนในรัฐเมน


Walter White & Jesse Pinkman (Breaking Bad)

มาที่ฝั่งตัวละครจากซีรีส์กันบ้าง จะเป็นยังไงถ้าเกิดลูกศิษย์กับครูคู่นี้เขาแยกกัน

Walter กับ Jesse ในวันที่ไม่มีกันและกัน : ความเป็นไปได้ของเรื่องนี้ดูจะแบ่งเป็นโลกคู่ขนานได้หลายแบบทีเดียว (แต่เราจะเลือกมา 1 แบบ) และเมื่อไม่มี ‘เจ’ เพื่อให้ไปถึงเป้าหมายต่อกันและกัน ชีวิตของทั้งคู่ก็อาจจะเปลี่ยนไปจากในซีรีส์ประมาณนี้

‘วอลเตอร์ที่ไม่มีเจสซี่’ คงจะไม่เลือกเส้นทางขายยา และทำงานพาร์ทไทม์ล้างรถ พร้อมกับหางานอื่นทำคู่กับการเป็นครูเคมีเพื่อเก็บเงินไปเรื่อย ๆ และชีวิตก็อาจจะยืนยาวกว่าตอนเป็น ‘ไฮเซนเบิร์ก’ เพราะเมื่อเครียดน้อยลง มะเร็งก็รุกรามช้าขึ้น แต่อาจจะไม่มีเงินมากพอให้ครอบครัวในวันที่จากไปแล้ว แต่อย่างน้อยก็ไม่มีใครเกลียดเขาในตอนจบ

‘เจสซี่ที่ไม่มีวอลเตอร์’ เล่นยาแบบชิล ๆ กับแก๊งเพื่อนสนิท 3 คนไปเรื่อย ๆ ขายยาบ้างเล็กน้อยแต่ไม่พยายามเป็นใหญ่ในวงการ และท้ายที่สุดก็อาจจะไม่ต้องหนีไปต่างประเทศ พร้อมมีความรักกับ ‘เจน’ ไปเรื่อย ๆ (อย่างหลังนี่อยากเห็นมากที่สุด)


John Lennon & Yoko Ono

คู่รักที่ถูกเป็นที่พูดถึงอย่างมาก ในการเป็นเหตุผลที่ทำให้วง The Beatles ยุบตัวตอนปี 1970 แต่บ้างก็ว่าทั้งสี่คนตัดสินใจจะเลิกก่อนหน้านั้นแล้ว และความจริงจะเป็นอย่างไรโลกก็คงไม่มีวันได้รู้อย่างแน่ชัด แต่ที่ชัดเจนคือโยโกะเป็นแรงบันดาลใจให้เลนนอนหลังจากที่ออกจากวงในการทำเพลงอย่างแน่นอน

John ที่ไม่มี Yoko ในชีวิต : ถ้าทั้งคู่ไม่ได้เจอกันในปี 1966 จะไม่มีเพลงเพื่อสันติภาพของโลก Imagine ที่เลนนอนได้แรงบันดาลใจมาจากงานศิลปะของเธอในแกลรอลี่คืนนั้น และพอไม่มีโยโกะ Julian Lennon ก็จะไม่ได้เกิดมา และจะไม่มีเพลง Hey Jude เพลงคลาสสิกตลอดกาลของ The Beatles ด้วย

ในอีกด้านนึง ณ ช่วงเวลา 4 ปีก่อนที่ The Beatles จะปล่อยอัลบั้ม Let It Be พร้อมกับยุบวงไป ถ้าใครได้ดูสารคดี Get Back ใน Disney Plus จะเห็นว่าตอนนั้นโยโกะมาด้วยทุกครั้งที่เลนนอนมีซ้อมกับวง ซึ่งไม่แน่ว่า เธอคงจะเป็น ‘เจ’ ในชีวิตของเขา ที่ทำให้เลนนอนมีแรงเฮือกสุดท้ายอยู่กับวงจนจบ ถึงโชว์บนดาดฟ้าบนตึกค่าย Apple อันเป็นตำนานด้วยกันก็ได้


Glen Hansard & Marketa Irglova

ในฐานะที่เป็นแฟนคลับ และใช้ชีวิตโดยมีภาพยนตร์เรื่อง Once (2007) เป็นแรงขับเคลื่อนชีวิตในการทำเพลงของตัวเองมาโดยตลอด การจินตนาการว่าสองคนนี้ไม่ได้เจอกัน เป็นสิ่งที่เจ็บปวดมาก

สำหรับบางคนที่อาจจะยังไม่รู้จักทั้งคู่ Glen Hansard กับ Marketa Irglova เป็นนักแสดงนำจากหนังเรื่อง Once ของผู้กำกับ john carney (Begin Again, Sing Street) หนังทุนต่ำที่ประสบความสำเร็จไปทั่วโลก และทั้งคู่ตกหลุมรักกันจริง ๆ ระหว่างการถ่ายทำ จนพัฒนาเป็นความสัมพันธ์ที่สวยงามนอกจอ ก่อนจะเลิกราและกลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันจนถึงปัจุบัน

Glen ที่ไม่มี Marketa ในชีวิต : เราลองแบ่งเรื่องนี้ออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้

‘เกล็นที่ไม่มีมาร์เกตาร์’ คงจะใช้ชีวิตทัวร์กับวง The Frames ของตัวเองไปเรื่อย ๆ และมุ่งตามความฝันต่อไปจนถึงปัจจุบัน โดยไม่มีทางรู้เลยว่ามีคู่ชีวิตทางดนตรีอีกครึ่งหนึ่งอยู่บนโลกนี้

‘มาร์เกตาร์ที่ไม่มีเกล็น’ เธอก็คงจะยังอยู่ในสาธารณรัฐเช็กบ้านเกิด เล่นเปียโนอยู่ที่บ้านกับพ่อแม่ และเหล่าคนเดินทางที่มาพักแรมที่บ้านของครอบครัวที่เปิดให้นักเดินทางเช่าค้างแรม และมีเคมีทางดนตรีบางสิ่งที่ไม่เคยถูกเติมเต็มจนสมบูรณ์

‘โลกที่ไม่มีทั้งคู่’ หนังเรื่อง Once ของ john carney อาจจะไม่เกิดขึ้นจริงในปี 2007 หรือถ้าเกิดขึ้นจริง ก็อาจจะไม่มีช่วงเวลาต้องมนตร์ระหว่างเคมีนักแสดงที่ทำให้ดังไปทั่วโลกแบบนี้, ไม่มีวง The Swell Season ที่ทั้งคู่ทำด้วยกัน, ไม่มีเพลง Falling Slowy ให้ใช้เป็นเพลงของคนที่ตกหลุมรักจนหมดหัวใจ


Liam & Noel Gallagher

ตำนาน British Sound ที่ยังมีลมหายใจ และตำนานของ ‘น้องงอน-พี่ไม่ง้อ’ แห่งวงการดนตรีตลอดไป เข้าปี 2022 แล้ว เปลี่ยนรูปโปรไฟล์แอคเคาต์หลักของวงใน FaceBook ก็แล้ว ยังไม่คัมแบ็คกันสักที เฮ้อออ

Liam และ Noel ในวันที่ไม่มีกันและกัน : จริง ๆ เหมือนทั้งคู่จะเป็น ‘เกา’ ในชีวิตต่อกันและกันนะ ไม่มีกันอาจจะดีกว่ารึเปล่า 555 แล้วถ้าทั้งคู่ไม่ได้ทำ oasis ด้วยกัน จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

‘เลียม’ ทำวง Oasis โดยขาดเพลงที่โนลแต่งจนดังไปทั่วโลก ขาดคนคอยตามเก็บความเรื้อนระหว่างทัวร์ให้ ไม่ได้ทำงานแบบมืออาชีพเหมือนตอนที่โนลอยู่ เอาจริง ๆ โนลมีความเป็น ‘เจ’ แบบโหด ๆ เหมือนกันนะ

‘โนล’ เป็นเทคนิเชียนให้กับวงดนตรีพร้อมออกทัวร์ไปเรื่อย ๆ และพอไม่มีเคมีบางอย่างตอนทะเลาะกับเลียม ไม่แน่ว่าโนลอาจจะไม่มีแรงแต่งเพลงแบบ Stand By Me, Don’t Go Away และทุกเพลงที่เกิดขึ้นกับ Oasis ก็เป็นได้นะ อาจจะได้ทำมากสุดคือเป็นแบ็คอัพกีตาร์ให้วงที่ทัวร์ด้วยกัน

สรุปว่ากลับมาทำ Oasis ด้วยกันเถอะครับ ถือว่าแฟนเพลงขอร้อง

GEESUCH
WRITER: GEESUCH
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line