Business

Man Up : เรียนรู้เพื่อเติบโตเป็น Grower ที่ดี กับ “GrowStuff” กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่อยากเห็นอนาคตของพืชสีเขียวงอกงามอย่างแข็งแรง

By: GEESUCH April 9, 2023

เมื่อเราพูดถึงสมุนไพรสายเขียวในปี 2023 ซึ่งเปิดกว้างมากในประเทศไทย เป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะไม่พูดกันถึงนักเพาะปลูกหรือที่ทั่วโลกต่างเรียกพวกเขาว่า Grower อาชีพอันทรงเกียรติ เป็นที่ต้องการของตลาด และมีรายได้สูงมาก (ในต่างประเทศ) แต่ประเทศไทยยังไม่ถูกพูดถึงมากนัก   

ด้วยความหลงไหลในพืชใบแฉกปนกับความสงสัยซึ่งมาพร้อมกับคำถามสำคัญว่า “เราจะปลูกพืชชนิดนี้ด้วยตัวเองกันไปทำไมในวันที่สามารถหาซื้อได้ง่ายดาย” คอลัมน์ Man Up ประจำเดือนเมษายน UNLOCKMEN จึงชวน ‘เตอร์’ หรือที่ในวงการรู้จักเด็กหนุ่มวัย 26 คนนี้ดีในชื่อ ‘พี่หมีแห่ง GrowStuff’ เปิด Private Workshop ที่ให้ Exclusive Group ของเราเข้าคลาสเรียนวิชา Grower 101 กันแบบใกล้ชิด รู้ทุกสิ่งที่ควรรู้เบื้องต้น ไปจนถึงการเก็บเกี่ยวผลิตผล พร้อมเปิดมุมมองว่าจริง ๆ แล้วพืชชนิดนี้คือศิลปะที่ล้ำลึกมากกว่าแค่เพื่อเก็ทไฮน์


ทำความรู้จัก GrowStuff กันก่อน (ฉบับย่อ)

GrowStuff Shop คือร้านขายอุปกรณ์การเกษตรโดยเน้นที่สมุนไพรใบแฉกเป็นหลัก (ภายใต้ชื่อบริษัท GrowStuff Supply and Service) ซึ่งอย่างที่รู้กันว่ามี ‘เตอร์-ฉัตรทอง ริมทอง’ เป็น CEO ของบริษัทนี้ จุดเริ่มต้นของ GrowStuff เกิดขึ้นจากความหลงใหลของเตอร์ที่มีต่อเจ้าสมุนไพรตัวนี้ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย จนถึงขนาดว่าขอที่บ้านไปเรียนต่อเยอรมันเพื่อจะได้เอาตัวเองไปรู้จักกับสายพันธุ์ต่างประเทศดี ๆ    

“พอไปที่เยอรมันอันดับแรกคือซื้อบ้องแล้วไปหาลองสูบก่อนเลยที่ Amsterdam ทำให้เราเริ่มรู้ว่าแต่ละสายพันธุ์มันเป็นอย่างที่เขาบอกจริง อย่างช่วงนั้นจะมี Skunk หรือ Gorilla Glue กำลังดัง พอเราได้ลองจริง ก็พบว่ามันมีคาแรคเตอร์ที่ต่างกัน ทั้งกลิ่น รูปทรง สีสัน และเอฟเฟกต์ ซึ่งเรื่องเอฟเฟกต์นี้สำคัญ ผมรู้สึกมันน่าตื่นเต้นและเริ่มอยากศึกษาเพิ่มขึ้นอีก”

พอกลับไทย ความหลงใหลที่เพิ่มขึ้นแบบ 100% ของเตอร์ก็ถูกแพ็คใส่กระเป๋ากลับมาด้วย จากที่เคยเป็นลูกค้ามาโดยตลอด เตอร์ผันตัวเองเป็น Grower เริ่มศึกษาการปลูก หลังจากลองผิดลองถูกมาหลายปี GrowStuff Shop ร้านขายอุปกรณ์สำหรับสมุนไพรใบแฉกที่เหล่าสายเขียวทั่วประเทศใจให้ความวางใจก็เกิดขึ้นมา    

ถ้าทุกคนพร้อมแล้ว ตั้งแต่บรรทัดต่อไปเราจะให้เตอร์เริ่มเข้าสู่บทเรียนแรกของ Grower 101 แบบไม่มีหยุดพักพร้อมกันเลย ไป้ ! (เสียงน้าค่อม) 


สมุนไพรสีเขียวมีกี่สายพันธ์ุ แล้ว Beginner Grower ควรจะเริ่มปลูกจากสายพันธุ์อะไร ?

สายพันธุ์ที่สายเขียวทุกคนรู้จักโดยพื้นฐานจะมีทั้งหมด 3 สายพันธุ์ คือ Sativa / Indica / Hybrid ซึ่งมีที่มาที่ไปแตกต่างกันตามนี้  

  • Sativa : คือพันธุ์ที่มาจากโซนเขตร้อนละแวกประมาณประเทศไทย Sativa จึงไม่ค่อยมีปัญหากับอากาศบ้านเรา ถ้าสังเกตเวลาปลูกแบบ outdoor ในไทย ต้นใหญ่ ๆ พันธุ์ไทยจะออกดอกตามฤดู ไม่ค่อยออกดอกเร็วกว่ากำหนด เพราะปูมหลังเขาอยู่ในละแวกนี้อยู่แล้ว
  • Indica : เป็นสายพันธุ์ที่มาจากเมืองหนาว ต้นจะแคระกว่าเล็กกว่า Sativa มาก ปริมาณ THC (Tetrahydrocannabinol) น้อยกว่า แต่จะออกดอกได้เร็วมาก ระยะเวลาปลูกสั้นกว่า ขณะที่ต้นของพันธุ์เขตร้อนใช้เวลาทำดอกสูงสุดเลยประมาณ 15 สัปดาห์บวกบวก แต่ต้นสำหรับของเขตหนาวใช้เวลาแค่ 8-9 สัปดาห์เท่านั้นเอง 
  • Hybrid : จากข้อดีข้อเสียของทั้ง 2 สายพันธ์ุก่อนหน้า วิทยาศาสตร์ปัจจุบันเขาจึงนำต้นของทั้งสองสายพันธุ์นี้มาผสมกัน เอาข้อดีทั้งคู่มารวมกัน ปัจจุบันจึงกลายเป็นพันธุ์ Hybrid หมดเลย เพราะมันได้ข้อดีที่ปลูกเร็ว ต้นไม่ใหญ่เกินไป THC สูง
  • Ruderalis : นอกจาก 3 สายพันธ์ุที่กล่าวมา ก็ยังมีอีกสายพันธุ์พิเศษอีกแบบคือ Ruderalis ซึ่งเป็นสายพันธุ์ต้นกำเนิดของเมล็ดพันธุ์แบบ Auto (เมล็ดที่ทำดอกแบบไม่สนใจชั่วโมงแสง ) คือสมุนไพรที่เกิดในพื้นที่ที่แสงน้อยมาก ๆ โตโดยแทบไม่มีแสงเลย หรือแสงมั่วไปหมดในแต่ละวัน เขาจะเป็นสมุนไพรที่เติบโตโดยไม่สนใจระยะชั่วโมงของแสง แต่ก็มีข้อเสียคือต้นเล็ก ผลผลิตน้อย แต่ปัจจุบันก็ถูกแก้ไขทั้งหมดด้วยการ Cross Bleeding (ผสมข้ามสายพันธ์ุ) เพื่อหาสายพันธุ์ที่ดีที่สุด เสถียรที่สุด

ประเภทของวิธีการปลูก Photo / Auto

โดยพื้นฐานจะแบ่งวิธีการปลูกออกเป็น 2 แบบ 

  • การปลูกแบบ Photo (Photoperiod) : คือการปลูกแบบ Standard มันคือวิธีการปลูกในลักษณะเดียวกับการ ‘ปลูกข้าวนาปี’ เป็นการดูชั่วโมงของแสงว่าแสงถึงมากกว่าหรือน้อยกว่า 12 ชั่วโมง ซึ่งจะมีผลต่อการเจริญเติบโตและการปรับฮอร์โมนของต้นไม้ 
  • การปลูกแบบ Auto (Autoflowering) : จะไม่สนใจแสงเลย เหมือน ‘ข้าวนาปลัง’ คือ พอมันโตและพร้อม-พร้อมคือรากเต็มกระถางสมบูรณ์ ใช้เวลาประมาณ 3-4 สัปดาห์ขึ้นไปจะเริ่มออกดอกเองโดยไม่สนใจสภาพแสงเลย จะให้แสงกี่ชั่วโมงก็ไม่มีผลกับต้น จะมีผลเพียงแค่ว่าแสงที่ให้ไปเพียงพอต่อ 1 วันหรือเปล่า

เราอาจให้แสงเข้มข้นมาก 12 ชั่วโมง หรือจะให้แสง 70% แต่ให้ 16 ชั่วโมง ต้นไม้ก็โตเท่ากัน อยู่ที่เราจะดูแลอย่างไร ข้อดีของ Auto คือหากปลูกในคอนโด ไม่มีเต็นท์ ไม่มีการควบคุมแสง ไม่สะดวกจะควบคุมแสง เราสามารถปลูกใกล้กับหน้าต่างห้องได้ เพราะต้นที่ปลูกด้วยวิธี Auto จะไม่สนใจแสง มันก็ไม่ทำดอกก่อนฤดู มันจะดูตอนที่มันพร้อมถึงจะทำดอก 

 

** GrowStuff Recommend : ส่วนตัวผมชอบการปลูกแบบ Photo นะ เพราะว่า Photo มีข้อดีคือเรามีเวลาได้เล่น ได้เทรนมัน เราจะปลูกกี่สัปดาห์ก็ได้ เราได้เทรน ได้แต่งต้นไม้อย่างที่เราต้องการ สมมุติว่าถ้าต้องการเลี้ยงเป็นไม้ประดับสวยงามแบบต้นบอนไซ ก็ต้องเลือกปลูกแบบ Photo อยู่แล้ว เพราะมันมีเวลาให้เราได้เทรน และ photo มีข้อดีคือหากเราทำอะไรผิดพลาดต้นไม้มันโตใหม่ได้ มันไม่มีเวลากำหนด และมันทำกิ่งโคลน ทำแม่พันธุ์ได้ซึ่ง Auto จะทำไม่ได้ **

 

UNLOCKMEN : ความแตกต่างของสมุนไพรที่ปลูกด้วยวิธี Photo กับ Auto คืออะไร ?

จากที่ผมสัมผัสมามันเหมือนกันเลย แยกไม่ออกด้วยซ้ำว่าดอกไหนปลูกมาจากวิธีแบบ Photo หรือ Auto เรื่องปริมาณของผลิตผลจะขึ้นอยู่กับเทคนิคการปลูก ว่าเราถนัดการปลูกแบบไหน ถ้าเราถนัดปลูก Auto ผลผลิตที่ปลูกแบบ Auto ก็สามารถเยอะกว่าปลูกแบบ Photo ได้ แต่โดยค่าเฉลี่ยแล้วการปลูกแบบ Photo จะได้ผลผลิตเยอะกว่า แต่ก็ไม่ใช่เสมอไป บางคนที่ปลูก Auto เก่งมากเขาก็ปลูกได้ผลผลิตเยอะเหมือนกัน 

การจะเลือกว่าปลูกแบบไหนนั้น มันแล้วแต่ความถนัดและสิ่งแวดล้อมที่เราเลือกปลูก ถ้าเราปลูกแบบไม่สนใจอะไร อยากลองสายพันธุ์ใหม่บ่อย ๆ Auto ก็ตอบโจทย์นี้ การปลูกทั้งสองแบบมีวิธีการเลี้ยงเหมือนกันต่างกันแค่ชั่วโมงแสง


ขั้นตอนที่ 1 การคัดเลือกเมล็ด

“มือใหม่พยายามหาเมล็ดที่มาจากฟาร์มที่ได้มาตรฐาน เมล็ดที่ระบุว่าเป็นเพศเมีย”

ก่อนที่จะรู้วิธีการเลือกเมล็ด ต้องเข้าใจก่อนว่าสมุนไพรชนิดนี้สามารถปลูกได้ด้วยการ ‘เพาะเมล็ด’ กับ ‘โคลนนิ่ง (เพาะชำ)’ ซึ่งวันนี้เราจะปลูกด้วยวิธีการแบบง่ายและเป็นที่นิยมสำหรับ Grower มือใหม่ซึ่งก็คือการปลูกด้วยการใช้เมล็ด

เริ่มบอกแบบนี้ก่อน ในการเลือกเมล็ดเราไม่มีทางรู้เลยว่าเมล็ดเป็น ‘เพศเมีย’ หรือ ‘เพศผู้’ ถ้ามีคนบอกว่า ก็เช็คดูที่ตูด ที่สี หรือที่ลายสิ นั่นคือไม่จริงเลย ความเป็นจริงก็คือเราสามารถดูได้แค่ว่าเป็นเมล็ดที่สมบูรณ์หรือเปล่าแค่นั้น

 

‘เมล็ดที่ไม่สมบูรณ์’ คือเมล็ดที่ยังอ่อนเกินไป ยังเขียวอยู่ ยังไม่แข็ง หรือบางทีก็เป็นเมล็ดที่แก่เกินไป แต่การจะเช็คเพศของเมล็ด สายพันธุ์ หรือ THC นั้นยังไงก็ดูด้วยตัวเองไม่ได้ และเพราะความเสถียรของสายพันธุ์ส่งผลต่อความยากง่ายในการปลูก เราจึงควรเลือกเมล็ดจากฟาร์มที่ไว้ใจได้ หรือแหล่งที่มีเครดิตเท่านั้น

การจะรู้ว่าเมล็ดเป็นเพศอะไรมีวิธีเดียวคือ ‘ดูบนกล่องของผู้ผลิต’ ผู้ผลิตจะเขียนมาว่าเป็น ‘เมล็ดสุ่มเพศ’ หรือเป็น ‘เมล็ดเพศเมีย’ การที่เป็นเมล็ดเพศเมียคือเขาทำมาด้วยเทคนิคพิเศษ ทำให้เมล็ดทั้งต้นมาเป็นเพศเมียหมดเลย ถ้าปกติที่เราเอาเกสรมาผสมกันเองเราจะได้สุ่ม ๆ ประมาณว่าเพศพ่อ 25% เหมือนเพศแม่ 25% สุ่ม 50% เพศก็จะสุ่ม ๆ หมดเลย

อย่างที่บอกไปก่อนหน้าว่าผมแนะนำให้เลือกปลูกด้วย ‘เมล็ดเพศเมีย’ เพื่อความชัวร์และจะได้ไม่ปวดหัวทีหลัง บางครั้งเราปลูก 10 ต้น เป็นตัวผู้ 8 ต้น ‘ตัวผู้มันจะทำดอกไม่ได้’ เราจะใช้แค่ตัวเมียเท่านั้น กว่าเราจะรู้ว่าต้นเป็นตัวผู้หรือตัวเมียจะเสียเวลาไปเกือบเดือน อย่างน้อย 3 สัปดาห์ เพราะเราต้องเพาะเมล็ดโตขึ้นมาจนแสดงเพศ ถึงจะรู้ว่าเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย


ขั้นตอนที่ 2 การเลือกดินและสารอาหารสำหรับเมล็ด

ถ้าเริ่มต้นที่หาได้ง่ายแนะนำให้ใช้ ‘พีทมอส (Peat Moss)’ ผสมกับ ‘เพอร์ไลต์ (Perlite)’ ครับ

พีทมอส (Peat Moss) : เป็นวัสดุปลูกประเภทหนึ่งที่คล้ายกับดินแต่ค่อนข้างสะอาดและไม่มีแมลงติดมา ถ้าเราใช้ดินทั่วไป จะมีราคาถูกกว่าก็จริง แต่จะมีไข่แมลงซึ่งเป็นสิ่งที่เราไม่ต้องการติดมาด้วย เพราะการปลูกเราไม่ต้องการศัตรูพืช ซึ่งพีทมอสค่อนข้างสะอาดและร่วนซุยกำลังดีเราจึงเลือกใช้พีทมอสเป็นหลัก 

เพอร์ไลต์ (Perlite) : แต่ถ้าใช้พีทมอสอย่างเดียวดินจะแข็งไป จึงใช้เพอร์ไลต์เข้ามาช่วยด้วย เพอร์ไลต์เป็นหินที่ถูกเผามา มีน้ำหนักเบาช่วยให้อากาศเข้าถึงในดินได้ดีขึ้น ดินจะไม่แน่นมาก

ใช้ 2 อย่างนี้ผสมกันอัตราส่วน 50:50 เท่านี้ก็ถือว่าเตรียมดินเสร็จแล้ว 

เสริมเพิ่มอีกนิดหนึ่ง เนื่องจากการปลูกมีหลากหลายแบบ การใช้ดินแบบ 50:50 ที่กล่าวข้างต้นคือการ ‘ปลูกแบบทั่วไป’ ใช้ดินที่มีสารอาหารไม่มาก แล้วคอยเติมสารอาหารไปทางปุ๋ยที่รด ทุกครั้งจะมอนิเตอร์ได้ว่าต้นรับปุ๋ยไปเท่าไร จะเปลี่ยนสูตรหรือเพิ่มลดอะไรเราทำได้ทันที

แต่บางคนอาจจะชอบแบบ ‘ดิน Living Soil’ ซึ่งจะมีไส้เดือน มีสารอาหารในตัวเป็นแบบออแกนิกมันก็ได้เหมือนกัน แล้วแต่ถนัด แต่ผมถนัดแบบนี้คือใช้ดินสะอาดแล้วดูการใส่ปุ๋ยซึ่งดูแลและติดตามได้ง่าย หรือบางคนอาจใช้ ‘ขุยมะพร้าว’ ก็ได้เช่นกัน

ดินกับปุ๋ยที่แตกต่างกันมีผลต่อผลผลิตมาก ๆ เพราะว่าสมุนไพรตัวนี้เป็นต้นที่ต้องการการสังเคราะห์แสงเยอะ ต้องการการเบิร์นพลังงานเยอะ ถ้าเราเอาดินไม่ได้มาตรฐาน ดินเหนียว ดินเปียกไม่ระบายน้ำมาปลูก ต้นก็โตได้ไม่เต็มที่ของมัน ต้นไม่แตกยอด เปรียบเทียบให้เห็นภาพง่าย ๆ คือเราไม่สามารถเอาปุ๋ยซึ่งเป็นเหมือนน้ำมัน 91 มาใส่พืชระดับรถแข่ง F1 ได้นั่นเองครับ


ขั้นตอนที่ 3 การเพาะเมล็ด

การเพาะเมล็ดโดยพื้นฐานปกติจะทำตามขั้นตอนตามนี้ 

เอาเมล็ดทิ้งในน้ำประมาณ 1 วัน ควรเปลี่ยนน้ำทุกวันถ้าเมล็ดยังไม่แตกออก และทันทีที่เห็นเมล็ดแตกออก ปลายเมล็ดแตกมีรากออกมานิดนึง เราสามารถเอาไป ‘บ่มในทิชชู’ ต่อได้ หรือจะเอา ‘ลงดิน’ เลยก็ได้ ซึ่งมันจะมีข้อแตกต่างกันนิดหนึ่ง

  • การเอาเมล็ดลงลงดินเลย : จะใช้เวลานานกว่า รากของเมล็ดจะลงไปถึงกระถางใช้เวลานาน บางทีอาจเกิดรากเน่าก่อนได้ โอกาสผิดพลาดจะสูงขึ้น
  • การบ่มในทิชชูก่อน : แต่ถ้าลงทิชชูหยาบ ๆ ก่อน ทิชชูพรมน้ำเบา ๆ บิดให้หมาด (ถ้าเปียกเกินรากจะเน่าได้)  แล้วเก็บในที่ไม่โดนแสง ปิดในกล่องไม่ให้โดนอากาศ เก็บไว้ประมาณ 1 วัน รากจะเริ่มโตเหมือนถั่วงอก เราค่อยเอาลงดินเบา ๆ ไม่ให้รากเสียหาย ก็เป็นวิธีการที่แนะนำมากกว่าเพื่อลดการผิดพลาดตั้งแต่ต้น

การลงดินในตอนแรกอาจใช้กระถางเล็ก ๆ หรือแก้วพลาสติกก่อนก็ได้ สำคัญเลยคืออย่าลืมเจาะรูด้านล่าง แล้วเอาเมล็ดที่มีรากแล้วใส่ลงไป แล้วกลบดินเบา ๆ รอประมาณไม่เกิน 48 ชั่วโมง เมล็ดก็จะเริ่มโตออกมา

ในระยะแรกที่โต ต้นจะเล็กมาก อย่าเพิ่งไปใส่ปุ๋ย และอย่ารดน้ำเยอะจนเกินไป ให้รดน้ำแค่นิดเดียว และอย่าให้ดินแห้งจนเกินไป ดินโดยรวมต้องชื้นด้วย การรดน้ำมากเกินไปแต่รากยังเล็กอยู่อาจทำให้รากเน่าได้

  • การให้แสงในช่วงเพาะเมล็ด

ในช่วงแรกที่เลี้ยงจะให้แสงเข้าได้ประมาณ 18 หรือ 24 ชั่วโมงต่อวัน เพราะนี่คือพืชที่ดูฤดูคล้ายกับข้าวนาปี ถ้าแสงมากกว่า 12 ชั่วโมงต่อวันเขาจะอยู่ในช่วงทำใบตลอดไม่ว่าเราจะเลี้ยงช่วงทำใบเขา 3 เดือนหรือ 1 ปีเขาก็จะทำใบตลอด ทันทีที่แสงต่ำกว่าหรือประมาณ 12 ชั่วโมง เขาจะเริ่มปรับฮอร์โมนตัวเองและเริ่มออกดอก เพราะฉะนั้นช่วงทำใบเราต้องควบคุมแสงให้มีอย่างน้อย 18 ชั่วโมงหรือมากกว่า 12 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อให้ต้นทำใบตลอด 

สำหรับการปลูก indoor จะไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องให้แสงเท่าไหร่เพราะใช้ LED ในการปลูกอยู่แล้ว แต่ถ้าปลูกแบบ Green House อาจจะหาหลอดไฟ E27 ถูก ๆ ที่ไม่ได้วัตต์สูงมาเสริมกลางคืนเพื่อหลอกไม่ให้ต้นทำดอกก่อนกำหนด

 

  • ข้อเสียของการทำดอกก่อนกำหนดคืออะไร ?

ในกรณีที่หากต้นยังมีขนาดเล็กอยู่ ต้นจะแคระ ออกดอกก็จะแคระ ผลผลิตได้ไม่เยอะ ส่วนมากคนปลูกเพื่อเอาดอกจะเจอกับเหตุการณ์นี้ แนะนำให้ใช้ LED E27 ง่าย ๆ มาติดเลี้ยงมันไว้ก่อน

ในส่วนสุดท้ายของขั้นตอนการเพาะเมล็ด สิ่งที่ต้องรออย่างใจเย็นคือรอให้รากเต็มกระถางก่อน โดยปกติเทคนิคคือ “ถ้ารากลงถึงใต้กระถาง ต้นก็จะโตไซส์ประมาณเท่ากระถางพอดี” แต่ถ้าเกิดว่าเราใช้กระถางดำหรืออะไรก็ตามที่ทำให้มองไม่เห็นการเติบโตของราก เราคอยสังเกตเอาก็ได้ว่ารากมันทะลุออกจากรูที่เจาะเอาไว้ตอนแรกแล้วหรือยัง และเมื่อรากเต็มกระถางแล้ว เราก็สามารถรดน้ำให้ท่วมได้เลย เพราะเขาจะสามารถดูดน้ำได้ทันแล้ว รากจะไม่เน่า ซึ่งนั่นจะนำไปสู่ขั้นตอนการย้ายกระถางเพื่อทำใบต่อไป 


ขั้นตอนที่ 4 การย้ายกระถาง

หลังจากที่ควบคุมแสงในขั้นตอนการเพาะเมล็ดได้แล้ว ก็ถึงเวลาจัดการย้ายต้นมากระถางที่ใหญ่ขึ้นเพื่อเตรียมเข้าสู่ช่วง ‘ทำใบ’ 

การย้ายกระถางให้เตรียมดินในภาชนะที่มีขนาดเท่ากับกระถางที่ต้องการเปลี่ยน ทำรูทิ้งไว้เหมือนเดิม อย่าใส่ดินแน่นหรือหลวมจนเกินไป จากนั้นค่อย ๆ จับต้นดึงออกจากภาชนะเดิม หากรากเต็มกระถางจะดึงต้นง่าย แต่ถ้ารากยังไม่เต็มกระถางเมื่อดึงออกมาดินจะรุ่ยหมด เมื่อดึงจากภาชนะเดิมก็ใส่ต้นลงไปในรูที่ทำทิ้งไว้ของกระถางใบใหญ่กว่าที่เตรียมเอาไว้

หลักการง่าย ๆ สำหรับขั้นตอนนี้คือทันทีที่เราย้ายกระถางให้รดน้ำมันอย่างสม่ำเสมอ รดน้ำให้ถึงพื้น เพราะน้ำเป็นตัวนำพาราก ถ้าน้ำถึงตรงไหนรากก็จะไปถึงตรงนั้นด้วย ถ้ารดน้ำครึ่งเดียวรากก็จะถึงครึ่งเดียว ทำให้เกิดปัญหาเรื่องรากในอนาคตตามมาได้ เพราะฉะนั้นในครั้งแรกที่ย้ายกระถางมาแล้ว ให้รดน้ำให้ถึงด้านล่างเลยเพราะต้นพร้อมในระดับหนึ่งอยู่แล้ว 

เมื่อได้ขนาดต้นที่ต้องการแล้ว ต่อไปให้ดูว่าเราจะปลูกในพื้นที่ขนาดเท่าไร จะปลูกจำนวนกี่ต้น ? 

วิธีการดูผลผลิตควรดูว่าในพื้นที่ของเราต่อ 1 บล็อกจะได้ผลผลิตเท่าไร โดยปกติจะใช้พื้นที่ 1.2 x 1.2 ตารางเมตรในการคิดคำนวณ ตัวอย่าง (ตามภาพ) เอากระถางนี้วางในเต็นท์ใบนี้ ถ้าปลูก 1 ต้น เราต้องเลี้ยงต้นนี้ให้ใหญ่จนเต็มพื้นที่เต็นท์เพื่อเกิดความคุ้มค่ากับพื้นที่ได้มากที่สุด นั่นหมายความว่าเราอาจต้องเลี้ยงต้นนานประมาณ 2-3 เดือนขึ้นไปเพื่อให้ต้นใหญ่ได้ขนาดที่เราต้องการ แต่ถ้ากระถางเดียวกันนี้ เราปลูก 9 ต้น มันก็เต็มพื้นที่ได้เร็วอาจใช้เวลาแค่ 4 สัปดาห์ในการเตรียมช่วงทำใบให้ใบเต็มพื้นที่

ทุกยอดของต้นบริเวณด้านบนและตากิ่งต่าง ๆ สามารถเป็นดอกได้หมดเลย เราพยายามผลิตยอดออกมาให้ได้มากที่สุดและให้ทุกยอดโดนแสงเท่า ๆ กัน ดอกเราจะไซส์เท่ากัน ยิ่งเราเทรนให้ยอดเยอะเท่าไร ผลผลิตเราต่อพื้นที่เรายิ่งได้เยอะเท่านั้น อาจจะใช้วิธีการเทรนด้วยการดัดให้มันลงมา แล้วแตกกิ่งมากขึ้น ทุกตากิ่งถ้าเราดัดมันลงมามันจะมีโอกาสโตเป็นยอดใหม่ได้หมดและยอดเดิมก็ไม่เสีย ยอดเดิมก็จะโตเป็นยอดใหม่ได้อีก


ขั้นตอนที่ 5 เข้าสู่ช่วงทำดอก

ในการสลับไฟเข้าช่วงทำดอกนั้น ให้สลับไฟจาก 18 ชั่วโมงเป็น 12 ชั่วโมงต่อวัน และเร่งให้แสงแรงขึ้นกว่าเดิม ผ่านไปประมาณ 1-2 สัปดาห์ ถ้าช่วงกลางคืนมืดสนิทไม่ถูกรบกวน ต้นจะปรับฮอร์โมนและเริ่มทำดอก เราจะเลี้ยงดูแบบทำดอกต่อไป

เมื่อเข้าสู่ช่วงทำดอกเราจะไม่สามารถเทรนได้แล้ว ถ้าไปตัดยอดก็ไม่โตแล้วต้องระวังให้ดี และเมื่อต้นเริ่มทำดอก เราจะเริ่มเห็นว่ายอดต่าง ๆ เริ่มกลายเป็นช่อดอก เริ่มฟูออกมาเป็นดอกเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

สัปดาห์ที่ 1-3 อาจมีขนาดประมาณปลายนิ้วก้อย

สัปดาห์ที่ 3-6 อาจมีขนาดประมาณนิ้วโป้ง

ต้องบอกว่าช่วงสัปดาห์ที่ 6 คือสัปดาห์พีคของต้น ในช่วงเวลานั้นเราจะอัดปุ๋ย อัดไฟให้ได้มากที่สุด พอพ้นหลังจากสัปดาห์ที่ 6-7 ไปก็จะเริ่มดรอปลงเรื่อย ๆ พอเข้าสัปดาห์ที่ 7 เราก็จะเริ่มรู้แล้วว่าดอกจะไซส์ประมาณไหน ผลผลิตที่ได้จะอยู่ที่ประมาณเท่าไหร่


ขั้นตอนที่ 6 การเก็บเกี่ยว และ ตากแห้ง 

หลังจากเก็บเกี่ยวเสร็จ เราก็ตัดต้นแล้วนำไปตากให้แห้ง การตากให้แห้งต้องควบคุมความชื้นให้ดี อย่าให้สูงกว่า 55% เพราะไม่งั้นจะมีโอกาสเกิดเชื้อราสูง ยิ่งอากาศในประเทศไทยที่มีความชื้นสูงอยู่แล้วด้วย เราควรมีเครื่องลดความชื้นเข้ามาช่วยดูดความชื้นหรือให้อยู่ในห้องแอร์ตลอดเวลา 

การตากให้แห้งจะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ อย่างเร็ว 7 วัน ถ้าความชื้นต่ำมากประมาณ 10% แต่โดยปกติหากแห้งเร็วเกินไปดอกจะไม่ค่อยหอม ประมาณ 2 สัปดาห์คือระยะเวลาที่กำลังดี หากทำให้แห้งโดยใช้ระยะเวลาประมาณนี้โดยไม่เกิดเชื้อรา เราก็จะได้ดอกที่หอมขึ้นกว่าเดิม

 

UNLOCKMEN : ถ้าตากเองที่บ้านควรต้องเตรียมอุปกรณ์อะไรและควบคุมอย่างไรบ้าง ?

“ถ้าเรามีพื้นที่ในการปลูกจนทำดอกรอด เราก็สามารถใช้พื้นที่นั้นแหละในการตากได้เลย”

เพราะพื้นที่ที่จะใช้ในการปลูกทำดอกให้รอดมันจะต้องเป็นพื้นที่เย็นและควบคุมความชื้นให้ต่ำกว่า 55% ได้ ถ้าความชื้นสูงกว่า 55% ตั้งแต่ช่วงทำดอก ดอกก็จะมีโอกาสติดเชื้อราตั้งแต่ช่วงนั้นแล้ว ถ้าใช้เต็นท์ปลูกก็ใช้เต็นท์ปลูกในการตาก โดยอาจหาราวมาแขวนดอกตากแห้งไว้ เปิดพัดลมดูดอากาศไว้ แต่อย่าเอาพัดลมเป่าไปที่ตัวดอกโดยตรง เพราะจะทำให้กลิ่นหายไปเร็ว

“ถ้าหากดอกใดดอกหนึ่งติดเชื้อราแล้วเราเอาพัดลมเป่านะ ก็จะทำให้เชื้อราฟุ้งกระจายติดเชื้อรากันหมด” ถ้าเราไม่เอาลมพัดไปตรง ๆ แล้วเห็นเชื้อราก่อนเรายังสามารถควบคุมและผลผลิตที่เหลือยังมีโอกาสรอดอยู่

UNLOCKMEN : แล้วแต่ละสายพันธุ์ต้องการความชื้นแตกต่างกันไหม ?

แต่ละสายพันธุ์ต้องการความชื้นเหมือนกันคือต่ำกว่า 55% และอากาศต้องถ่ายเทได้ดีด้วยเพื่อไม่ให้เกิดเชื้อรา

เชื้อราเกิดจาก 2 สาเหตุคือ 1. ติดอยู่ในดอกอยู่แล้ว 2. ติดมาจากภายนอก เช่น มือเราที่สกปรกไปจับ ก็ทำให้เกิดโอกาสติดเชื้อราได้

ถ้าติดจากดอกตั้งแต่ตอนปลูก วิธีสังเกตคือถ้าเราแหวกช่อดอกออกมาดู เชื้อราจะติดจากด้านในตรงกลางดอกขยายออกมาจากด้านนอกให้เราเห็นเลย ถ้าติดช่วงแรกก็จะดูไม่รู้ เราต้องแหกดอกออกมาจึงจะเห็นเชื้อราด้านใน ถ้าเชื้อราติดทีหลัง เชื้อราจะโตจากด้านนอก จะเกาะด้านนอก ก็ทำให้รู้ได้เลยว่ามันอาจจะปนเปื้อนในภายหลัง


ขั้นตอนที่ 7 การตกแต่ง (Trim)

หลังจากตากจนแห้งแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการตกแต่งให้สวยงาม โดยจะตัดตกแต่งขอบใบ / ใบเลี้ยง / ส่วนใบที่ไม่ติด Trichomes ก็ให้ตัดทิ้งออกไปเพื่อให้ปริมาณดอกมากที่สุด การตกแต่งไม่ได้มีอะไรยากเย็น แค่ใช้กรรไกรเล็มกับความพยายามและอดทน

วิธีการ Trim สามารถทำได้ 2 แบบคือ ‘Trim เปียก’ กับ ‘Trim แห้ง’

  • การ Trim เปียก : คือการตัดตั้งแต่ก่อนจะตาก คือเมื่อตัดจากต้นมาเราเริ่ม Trim เลย ข้อดีคือตกแต่งได้ง่ายเพราะยังมองเห็นส่วนต่าง ๆ ของต้นได้ชัดเจนอยู่ และยังทำให้แห้งเร็วขึ้นและอาจเหมาะกับพื้นที่ที่อากาศมีความชื้นสูงอย่างประเทศไทย
  • การ Trim แห้ง : การเอาดอกไปตากเลย เหมาะกับพื้นที่ที่มีความชื้นต่ำมาก ๆ เอาทั้งดอกไปตากทั้งใบเลย จะช่วยให้แห้งช้าลง ข้อเสียคือมันจะ Trim ยากกว่าเพราะใบมันหงิกงอหมดแล้ว จะมองยากกว่าตกแต่งยากกว่านิดหนึ่ง แต่สุดท้ายแล้วไม่แตกต่างกันเท่าไร ขึ้นกับสภาพแวดล้อมและความถนัดของแต่ละคน

ขั้นตอนที่ 8 การบ่ม

เมื่อตากจนแห้งแล้ว ก็สามารถตัดตกแต่งให้เป็นดอกสวยงามมากขึ้นแล้วเก็บลงโหล การเก็บลงโหลควรใส่ซองคุมความชื้นลงไปด้วย ซึ่ง GrowStuff ก็มีโปรดักส์เป็นซองคุมความชื้นที่เรารีเสิร์ชขึ้นมา ชื่อแบรนด์ว่า Control ตอนนี้ยอดขายดีมาก เมื่อเก็บในโหลก็บ่มต่ออีกประมาณ 1 เดือน ดอกเราจะมีกลิ่นหอมพร้อมใช้งาน

‘การบ่ม’ : วิธีการจะคล้ายกับการบ่มกาแฟ อย่างกาแฟเมื่อเก็บเกี่ยวมาต้องนำมาบ่มด้วยยีสต์ สมุนไพรตัวนี้ก็เช่นเดียวกัน การบ่มมีไอเดียคือทำให้มันลืมต้น มันจะมีกลิ่น เทอร์พีน (Terpene)  ที่ชัดขึ้นมามากกว่าเดิม กลิ่นเขียว กลิ่นใบจะหายไป ถ้าเราบ่มได้ดีก็จะช่วยดึงเอาคาแรคเตอร์ของดอกออกมาได้มาก ซึ่งในวงการถ้าเราใช้อย่างเข้าใจ มันมีคาแรคเตอร์ของดอกที่ต่างกันมากเหมือนกับกาแฟเลย

เพราะฉะนั้นหากเราต้องการได้กลิ่นที่เพอร์เฟค เราต้องบ่มให้เพอร์เฟคด้วย การรับรู้ว่าบ่มได้ดีหรือไม่นอกจากการดมกลิ่น สามารถนำมาบดดูได้เพราะกลิ่นจะตีฟุ้งขึ้นมา และสุดท้ายคือต้องลองใช้จริง ถ้ากลิ่นยังไม่ฟุ้งในคอ ยังแสบคออยู่ก็ยังใช้ไม่ได้ ถ้าบ่มต่ออีกความแสบคออาจจะหายไป กลิ่นอาจจะฟุ้งกลบอยู่ในคอ ถ้าเป็นกลิ่นหอมดอกไม้ก็จะเหมือนดอกไม้ฟุ้งอยู่ในคอเรานาน ยิ่งนานคือดอกหอมมาก ซึ่งผมค่อนข้างนิยมดอกที่หอมมากกว่ าซึ่งดอกที่มีกลิ่นหอมมาก THC ก็จะไม่สูง ส่วนดอกที่ THC สูงก็จะไม่ค่อยหอม เป็นไปตามกฎของธรรมชาติ

UNLOCKMEN : แล้วการบ่มนานเกินไปมีข้อเสียมั้ย ?

“ไม่มีข้อเสียเลย มันไม่มีวันหมดอายุถ้าไม่ติดเชื้อรา” 

UNLOCKMEN : การเก็บในภาชนะที่ต่างกันส่งผลเสียในด้านไหนมั้ย ? 

ขนาดของบรรจุภัณฑ์มีผลเสมอ ในการเก็บรักษานั้นหลายคนมักจะเข้าใจผิด บางคนเก็บเต็มโหล 100% เลย คือผิดเพราะไม่มีพื้นที่ให้อากาศถ่ายเท สำหรับคนที่ไม่มีเครื่องตรวจความชื้น เราจะไม่รู้เลยว่ามันชื้นหรือไม่ชื้น ดังนั้นควรจะมีพื้นที่ในการ Buffer อากาศประมาณ 30% ภายในโหล

แต่สำหรับเรื่องของชนิดภาชนะที่ใช้เก็บไม่ว่าในซองซิปล็อกหรือในโหลแทบจะไม่มีความแตกต่างกัน นอกจากเรื่องปริมาณที่เก็บในภาชนะและเรื่องความชื้นแล้ว ที่สำคัญคือเรื่องของแสง ควรเก็บในที่มืด ไม่โดน UV จะดีกว่า จะคงสีสันของดอกได้ดีกว่า


ขั้นตอนที่ 9 วิธีการเช็คคุณภาพ

“การพูดถึง Product ที่ดีต้องดูก่อนว่าต้องการพูดถึงอะไร ?” 

เราไม่สามารถเอาดอก Greenhouse ไปเทียบกับการปลูก Indoor ได้ เราควรจะรู้ได้ว่าถ้าเราพูดถึง Greenhouse เราจะรู้อยู่แล้วว่าดอกจะไม่แน่นเหมือน Indoor ดังนั้นเราต้องรู้ว่ากำลังพูดถึงดอกอะไรอยู่ บางคนชอบเอาดอก Indoor มาเทียบกับ Greenhouse สำหรับผมมันไม่ถูกต้องเท่าไร มันดีคนละแบบ แล้วแต่คนชอบ 

สำหรับลักษณะภายนอกนั้น ถ้า Trichomes เยอะ ดอกมีลักษณะระยิบระยับแน่นไปหมด ก็หมายความว่ามันอาจมี potential ที่ดีกว่าอยู่แล้ว เราก็เช็กที่ความแน่นของดอก เช็กเชื้อรา เช็กการ Trim ว่าสวยงามหรือ trim ติดก้านติดใบมาเยอะมากจนเหมือนกับเศษขยะติดมาเยอะมั้ย ประมาณนี้


ขั้นตอนที่ 10 Be a Good Grower

การปลูกพืชชนิดนี้นอกจากความสนุก ผมมองว่าตำแหน่งงานในตลาดตอนนี้มันกำลังเติบโตสูงมาก ซึ่ง Grower ก็เป็นอาชีพที่จริงจังได้และมีสายงานที่ยั่งยืน เพราะนอกจากจะเป็น Grower ได้แล้วก็ยังมีตำแหน่ง Senior Grower, Manger Grower, Head Cultivation ถ้ามีประสบการณ์การปลูกหลัก 200-1,000 ต้น ก็จะทำให้ไปได้ไกล และฐานเงินเดือนค่อนข้างดี 

อาชีพ Grower ต้องมีทักษะของความเป็นทั้งนักกีฬา ต้องมีวินัย ต้องทำงานวันหยุดได้ เพราะต้นไม้ไม่หยุดโต ต้องมีความเป็นวิทยาศาสตร์ในตัว และต้องมีความเป็นศิลปะ เพราะการเทรนต้นไม้เพื่อได้ผลผลิตสูงสุดมันมีเทคนิคแตกต่างกันออกไปและค่อนข้างเป็นศิลปะมาก ๆ 

ในอนาคตผมก็อยากเห็นทิศทางของ Grower และวงการไปในทิศทางที่ดีขึ้น มีการแข่งขันด้านคุณภาพมากกว่าด้านราคา และอยากให้ทุกคนมองพืชตัวนี้ใหม่ในอีกมุมนึงได้แล้ว เพราะมันไม่ใช่แค่พืชที่สูบเพื่อให้มึนเมา เพื่อสันทนาการ แต่จริง ๆ แล้วการปลูกพืชตัวนี้มันยังช่วยขับเคลื่อนเทคโนโลยีทางด้านเกษตรได้มาก

ผมกล้าพูดเลยเพราะตลอด 4 ปีที่ผมเห็นมา การเกษตรไทยพัฒนาขึ้นมาก แม้ปัจจุบันยังไม่ได้มีความเข้มงวดกับผู้ประกอบการที่จะต้องตรวจบัตรกับคนซื้อ จนมันทำให้ภาพลักษณ์โดยรวมดูไม่ดี แต่ถ้าเราช่วยแก้ปัญหาตรงนี้กันเองก่อน เช่น ไม่เอาของมาโชว์หน้าร้าน เก็บในลิ้นชัก แนะนำลูกค้ารายคนไป แนะนำการใช้อย่างถูกต้อง ไม่มีใครเกิดปัญหา ทุกอย่างดูแลอย่างสงบสุข ผมว่าเราอยู่กับมันได้ยาว ๆ เลย


Photographer : Krittapas Suttikittibut

GEESUCH
WRITER: GEESUCH
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line