Music

NEXT COVER, SAME MOOD 04 : ดูหนังเรื่องไหนต่อดี เมื่ออินกับเพลงในอัลบั้ม ‘Ceramics Runway’ ของ Dept

By: GEESUCH November 28, 2022

Next Cover, Same Mood ตอนที่ 4 นี้เราขอเปลี่ยนอารมณ์กันเล็กน้อย จาก ‘หนังสือ’ สู่ ‘ภาพยนตร์’ หลังจากที่ทำไป 3 ตอนแรกแล้วพบว่า เพลงบางเพลงจะมีภาพยนตร์อันเป็นตัวแทนอารมณ์ที่เหมาะกว่าหนังสืออยู่บ้างเสมอ ๆ และเพราะวง Dept เอง ก็มีจุดกำเนิดชื่อวงมาจาก Johnny Depp ที่มีความเกี่ยวข้องกับหนังอยู่ด้วย (พยายามหาเหตุผลสุด 555) แต่เชื่อใจเราได้เลย ว่าหนังเองก็สามารถต่ออารมณ์อันไม่ยอม Move On จากเพลงที่รักได้ดีไม่ต่างกันอย่างแน่นอน   

Dept : Ceramics Runway (2022)

ถ้าให้พูดถึงหน้าตาของ Sound of Smallroom ใน gen 3 เราสามารถยกเอาวง Dept ขึ้นมาอยู่หัวแถวได้เลย ในความหมายที่ว่า เป็นประตูสู่ซุ่มเสียงเพลง POP ยุคใหม่ของค่ายห้องเล็ก และเป็นเพลงตัวแทนของหลากความรู้สึกของวัยรุ่นไทย Gen y และ Gen z ด้วย .. อัลบั้ม Ceramics Runway (2022) นั้นเต็มไปด้วยเพลงของคนที่เขาจากไปไม่กลับมา ไปจนถึงเพลงของคนแอบรักใครบางคนที่เราคุ้นเคยกันดีตั้งแต่ปี 2020 อัลบั้มซึ่งเราอยากนิยามความรู้สึกหลังฟังจบของตัวเองว่า Addict Broken Heart Song แม้จะเศร้าแต่เราก็หยุดฟังไม่ได้ 

หยิบป๊อปคอร์นให้พร้อม หรี่โคมไฟให้มืดลง จับมือคนรักที่อยู่ข้างคุณให้ดี แล้วเปิด Next Cover, Same Mood เข้าไปอ่านพร้อมกันเลย  


เพลง : 17  
ภาพยนตร์ : Rushmore (1998) / Wes anderson

เพลงนี้สองหนุ่ม เบนซ์ กับ ลุค สวมบทเป็นเพื่อนพระเอก เชียร์อัพให้เหล่าคนขี้กลัวทั้งหลายสตาร์ทออกตัวลุยเพื่อความรักของตัวเองได้แล้ว เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าคนที่ใช่จะเป็นใครถ้าไม่ลองดูสักตั้ง  

ฟังเพลงนี้จบแล้วทำให้คิดถึง Max Fischer เด็กหนุ่มผู้ตกหลุมรัก Rosemary Cross อาจารย์สาวคนใหม่ตั้งแต่แรกเห็น ตัวละครจาก Rushmore (1998) หนังเรื่องแรก ๆ ของผู้กำกับเพอร์เฟ็คชั่นนิสต์ Wes Anderson ซึ่งเป็นเรื่องที่เราชอบมากที่สุดของเขา เพราะถ้าติดตามงานของผู้กำกับคนนี้มาโดยตลอด จะพบว่า Rushmore คือหนังที่มีรายละเอียดด้านงานศิลป์น้อยที่สุดเมื่อเทียบกับเรื่องอื่น ๆ แต่น้ำหนักไปอยู่ที่บทซะมากกว่า จนทำให้เกิดเป็นหนังรักของเด็กหนุ่ม High School ที่จริงใจที่สุดเท่าที่หัวใจจะจริงใจได้ 

เรื่องราวของ Max คือการที่เขาทุ่มเทเพื่อใครสักคนที่ตัวเองรักมาก ๆ เพื่อให้ใครคนนั้นตอบรับเป็นความรักเขากลับมา โดยอุปสรรคใหญ่อย่างเดียวคือ ‘ความห่างของช่วงอายุ’ และถึงรู้ดีว่าปลายทางที่อาจไม่เป็นอย่างหวัง จะทำให้เขาต้องเจ็บปวดอย่างที่ยากจะยอมรับ Max ก็ไม่เคยยอมแพ้ “เพราะการพยายามรักคนที่เขาไม่ได้สนใจเรา มันไม่ยากเท่ากับการเห็นคนนั้นไปรักคนอื่นโดยไม่ทำอะไรหรอก”


เพลง : หมดนี้ให้เธอ  
ภาพยนตร์ : Forrest Gump (1994) / Robert Zemeckis

“I’m Not a Smart man, But I Know What Love Is”

ประโยคบอกรักสุดคลาสสิค จากตัวละครที่คนทั้งโลกหลงรัก Forrest Gump หนังชีวประวัติ (เรื่องแต่ง) ของชายผู้มีภาวะออทิสซึมคนหนึ่ง กับเหล่าสิ่งมหัศจรรย์ที่ผ่านมาเข้ามาในชีวิตเขาอย่างไม่ตั้งใจ ทั้งการเข้าเป็นทหารพร้อมแล้วถูกส่งไปรบที่เวียดนาม, การเป็นเจ้าของบริษัทขายกุ้งที่ดังที่สุดในโลก, การได้เป็นนักกีฬาปิงปองทีมชาติของอเมริกา เป็นต้น ความสนุกของหนัง มาพร้อมกับพาร์ทดราม่าความรักซึ่งตรงกับเพลงนี้ของ Dept สำหรับเรา 

สำหรับคนที่ดูหนังเรื่องนี้ไปแล้ว ไม่แน่ใจว่าจะคิดเหมือนกับเรามั้ยนะ ในส่วนที่ว่า ‘ความรัก’ อันซื่อสัตย์ของฟอร์เรสท์ที่มีให้กับ Jenny รักแรกในชีวิตของตัวเอง ไม่ได้เป็นเพราะภาวะออทิสซึมของเขาหรอก เพราะความรักอย่างหมดใจที่มีให้กับใครคนนึงตั้งแต่วันแรกโดยที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลย แม้กระทั่งในวันที่คน ๆ นั้นได้เปลี่ยนแปลงไปมาก มันอยู่เหนือกฎเกณฑ์ใด ๆ จะนิยามได้ล่ะ


เพลง : เพราะเธอนั้นเป็นเหมือนโลกทั้งใบ  
ภาพยนตร์ : Eternal Sunshine of the Spotless Mind (2004) / Michel Gondry

ไม่ว่าจะเปิด ‘เพราะเธอนั้นเป็นเหมือนโลกทั้งใบ’ ฟังอีกกี่รอบต่อกี่รอบ ใจของผมก็ยังคงแตกสลายโดยที่ไม่เคยรู้สึกว่านี่คือเพลงของรักที่สมหวังเลยสักครั้ง แต่กลับเห็นเป็นความรักที่เกิดขึ้นเพียงในฝันข้างเดียวของใครคนหนึ่งเท่านั้น และแม้ว่าจะต้องร้องไห้อยู่เพียงลำพังอีกกี่ครั้งก็ตาม ผมก็ไม่เคยหยุดฟังเพลงนี้ได้จริง ๆ สักที … (กดเปิดเพลง ‘เพราะเธอนั้นเป็นเหมือนโลกทั้งใบ’ ครั้งที่ 365) 

แด่คนที่เสพย์ติดความเศร้าทุกคน Eternal Sunshine of the Spotless Mind หนังปี 2014 ที่แสดงนำโดย Jim Carrey กับ Kate Winslet คือหนังของคุณครับ เหมือนที่ ‘เพราะเธอนั้นเป็นเหมือนโลกทั้งใบ’ ก็เป็นซาวด์แทร็คของคุณเช่นกัน

เรื่องย่อ : Joel ชายหนุ่มผู้ฟูมฟายให้กับรักที่เพิ่งผ่านไป แต่ตัวเองไม่เคยพ้นผ่านออกไปได้เลยแม้สักวินาที ทางออกเดียวที่จะทำให้เขาหลุดพ้นจากความทรงจำแสนสวยงามที่มีร่วมกันกับ Clementine ได้ คือเข้ารับขั้นตอนลบความทรงจำที่มีเธออยู่ออกไปให้หมด แต่การต้องจำทุกอย่างเพื่อลืมใครสักคนนั้นไม่ง่ายเลย

Michel Gondry ผู้กำกับของเรื่องเป็นคนใจร้ายมาก เขาทำให้ภาพของโลกทั้งใบที่สองตัวละครนั้นมีร่วมกันสวยงามราวกับอยู่ในฝัน ก่อนที่จะปลุกเราด้วยความจริงว่า ‘ความฝันนั้นจะกลายเป็นความฝันจริง ๆ แล้วนะ’ เพราะในความจริงเขาทั้งคู่ไม่ได้เป็นโลกทั้งใบของกันและกันอีกแล้ว  


เพลง : แค่วันพรุ่งนี้ที่ไม่มีเรา  
ภาพยนตร์ : A Ghost Story (2017) / David Lowery

มันจะมีวันหนึ่งของชีวิตที่เรารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เป็นประชากรของโลกใบนี้ ความสุข ความเศร้า ความเหงา และความรู้สึกต่าง ๆ กลายเป็นเมฆหมอกในจิตใจคลุมเครือเกินกว่าจะรู้สึกอะไรได้อย่างชัดเจน เป็นหนึ่งวันที่เราอยากหายไป ออฟไลน์ตัวเองออกจาก ‘ตัวเอง’ ไปก่อน และแน่นอนว่าการจะพูดกับใครสักคนไม่ใช่เรื่องง่ายเลย การมีเพลง ‘แค่วันพรุ่งนี้ที่ไม่มีเรา’ เป็นตัวแทนวันนั้นจึงเป็นสิ่งที่วิเศษมาก   

ถ้าให้เลือกพักร้อนเป็นตัวละครในหนังสักเรื่องล่ะก็ คำตอบของเราคือการเป็นผีใน A Ghost Story สัก 1 วัน ใช้ชีวิตแบบที่ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่า ลอยไป ลอยมา แล้วก็ลอยไปในบ้านของตัวเอง ดูความเคลื่อนไหวของเพื่อนบ้านนอกหน้าต่างบ้าง จ้องมองพัดลมบนเพดานบ้าง แล้วเมื่อวันนั้นจบลง เราก็หวังว่าตัวเองจะกลับมาออนไลน์บนโลกได้อย่างไม่ยากเย็นจนเกินไป 


เพลง : ฤดู  
ภาพยนตร์ : Blue Valentine (2010) Derek Cianfrance   

‘ฤดู’ ของเพลงนี้คือความรักที่เป็นเหมือนกับฤดูกาล ผ่านมาล้วก็จากไปเท่านั้น แม้จะอ้อนวอนอีกสักเท่าไหร่ ความรักในครั้งนี้ก็จะไม่มีทางใช้คำว่า ‘ตลอดไป’ ได้อีกแล้วล่ะ

ใน Blue Valentine (2010) เราจะได้ดูภาพ Flash Back ช่วงเวลาที่ภาพความรักกำลังเบ่งบานของ Cindy กับ Dean คู่รักที่ในปัจจุบันแต่งงานกันและมีลูกสาว 1 คน ผู้กำลังหาทางผสานรอยร้าวเรื่องราวชีวิตคู่ ที่ดูเหมือนว่าอาจจะต้องจบลงในไม่ช้า .. หนังยอดฮิตของคนเหงา ที่บอกกับเราว่าช่วงเวลาเพียงคืนเดียวซึ่งใช้ไปกับการปรับความเข้าใจกัน ไม่ได้ช่วยให้ความรักที่พังมาตลอดหลายปีฟื้นคืนกลับมาได้เสมอไปหรอก


เพลง : คงต้องบอกลาแล้ว  
ภาพยนตร์ : Her (2013) / Spike Jonze   

เพลงที่ถูกต้องที่สุด สำหรับการส่งให้คนที่ไม่ได้เหมือนเดิม แต่ทำให้เราสงสัยว่า “แล้วทำไมไม่บอกลาออกมานะ” 

ในหนังเรื่อง Her (2013) คนดูจะได้รู้จักกับ Theodore Twombly ชายหนุ่มเปลี่ยวเหงาผู้โหยหาใครสักคน ที่ทำงานเป็นนักเขียนการ์ดอวยพร ที่บังเอิญได้รู้จักกับระบบปฎิบัติการณ์อัจฉริยะชื่อ Samantha แล้วเธอก็กลายเป็นเพื่อนที่คุยได้ในทุกเรื่อง ตั้งแต่เรื่องเบาสมองอย่างกินอะไรดี ไปจนถึงปัญหาควาสัมพันธ์ในที่ทำงาน หลับพร้อมกันในทุกคืน พัฒนาความสัมพันธ์กับ Theodore สู่คนรัก ก่อนที่เธอจะเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม นำไปสู่การเลิกราในที่สุด 

ถึง Her จะเป็นหนังที่ถูกกำหนดให้อยู่ในหมวด Sci-Fi เซ็ทฉากของยุคอนาคตเหนือจริง แต่ไม่สามารถปฎิเสธได้เลยว่า เรื่องราวระหว่าง Theodore กับ Samantha คือกระจกสะท้อนความสัมพันธ์ในความจริงมาก ๆ คนหนึ่งคนเข้ามาแล้วก็จากไป แต่ทำไมนะ ตอนที่หมดใจถึงไม่ยอมพูดทุกอย่างออกมา จะอยู่ตรงนี้รอให้มันได้อะไร


เพลง : Let’s Cry  
ภาพยนตร์ : The Perks of Being a Wallflower (2012) / Stephen Chbosky  

คอนเซปต์ของหนังประเภท Coming Of Age คือการที่ตัวละครสามารถก้าวผ่านเหตุการณ์กระเทือนใจบางอย่างมาได้ แม้ว่าในทุกครั้งพวกเขาจะสูญเสียบางสิ่งบางอย่างในตัวเองไปด้วยเสมอ แต่ก็เพื่อที่จะได้พบว่าในท้ายที่สุดแล้วตัวเองได้เติบโตขึ้นจากวันเมื่อวานไปแล้ว … ชีวิตจริงเองก็ไม่ต่างกัน  

The Perks of Being a Wallflower (2012) พาไปเราไปติดตามชีวิตในช่วงเวลาไฮสคูลของ Charlie คนประเภทที่เรามักจะลืมเสมอตอนเรียนจบไปแล้วว่าเขามีตัวตน เพราะการเป็นคนเก็บตัวนั่นเอง ทำให้ Charlie ไม่มีคนที่เรียกว่าเพื่อนได้เลย แต่เรื่องนี้ก็มีสาเหตุพราะเขามีปมบางอย่างฝังใจตั้งแต่เด็ก ทำให้ไม่กล้าพาตัวเองไปมีความสุขอีก แล้วจู่ ๆ วันหนึ่ง เขาบังเอิญได้รู้จักกับ Sam และ Patrick จนเกิดเป็นความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนโลกของเขาไปตลอดกาล

สิ่งที่เราไม่ได้เล่าในบรรทัดก่อนหน้า ก็คือ ‘การร้องไห้’ ไม่ใช่สิ่งที่ Charlie เลือกที่จะทำเลยสักครั้งเวลาเขาเศร้าจนทนไม่ไหว จนเมื่อตัวเองร้องไห้ออกมา (โดยไม่ตั้งใจ) ถึงรู้ตัวว่าการเก็บทุกอย่างเอาไว้กับตัวเองจนมันระเบิดออกมาไม่ใช่เรื่องดีเลย เพราะการร้องไห้ไม่เคยเป็นเรื่องที่ผิดสำหรับคนที่เสียใจ .. Let’s Cry คือเพลงที่ทำให้ช่วงเวลาที่แสงแดดของเช้าวันใหม่ส่องมาถึงทุกคนอีกครั้ง โดยการบอกกับเราว่า “ร้องไห้เถอะ ไม่เป็นไรหรอก : )”


เพลง : หยุดสักที  
ภาพยนตร์ : 10 Things I Hate About You (1999) / Gil Junger  

High School Song ว่ะวัยรุ่น! เออ ๆ จะคลั่งรักทั้งทีมันก็ต้องให้เท่แบบนี้สิ ขอชมก่อนเลยว่าเราชอบพาร์ท Rock ที่ดนตรีมีกลิ่นอายความเป็น 90s ของ Dept มากกก มันคือการเจือกลิ่นอายของยุคสมัยก่อน ในอะเรนจ์ที่ร่วมสมัยกลายเป็นเพลงของวัยรุ่นยุคนี้ 

ภาพของ Heath Ledger วิ่งโลดเต้นบนอัฒจันทร์ของสนามอเมริกันฟุตบอลโรงเรียน เพื่อร้องเพลง ‘Can’t Take My Eyes Off You’ ง้อ Julia Stiles ในหนัง 10 Things I Hate About You (1999) คือภาพที่แทนความรู้สึกเพลงนี้ของ Dept ได้ถูกต้องที่สุดสำหรับเรา


เพลง : 202X  
ภาพยนตร์ : The Breakfast Club (1985) / John Hughes 

ในวันที่หม่นหมองของทุกคนมาถึง อยากให้เปิดเพลง 202X ของอัลบั้มนี้ฟังกันครับ แล้วคุณจะได้เจอกับเพื่อนที่เข้าใจปัญหาตลอดวันของเรา-คนที่บอกกับเราว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป

นอกจากฟังเพลง 202X แล้ว เราอยากแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักกับ Breakfast Club กลุ่มรวมตัวของเหล่าเด็กมีปัญหา 5  คน ที่ถูกกักตัวในห้องสมุดตอนวันเสาร์ เพื่อทำงานชดใช้ความผิดที่ตัวเองก่อไว้ในโรงเรียน คำถามก็คือ “อะไรทำให้พวกเขาทำสิ่งเหล่านั้นล่ะ?” เราจะไม่ขอสปอยล์รายละเอียดตรงนี้ แต่เอาเป็นว่าเพราะทุกคนมีปมบางอย่างในจิตใจ และการที่ได้ล้อมวงพูดคุยฟังกันและกันมันช่วยให้เช้าวันจันทร์ตอนเปิดเรียนของเขาไม่แย่อีกต่อไป 


เพลง : ตรงนี้แสนไกล  
ภาพยนตร์ : Lost in Translation (2003) / Sofia Coppola 

ฮือออ เพลงใหม่ของอัลบั้ม Ceramics Runway ที่ไม่ได้โปรโมทซิงเกิลดีงามทุกเพลงเลย โดยเฉพาะ ‘ตรงนี้แสนไกล’ ที่ปิดอัลบั้มอย่างสวยงาม ด้วยการถอดอะเรนจ์สีสันทุกอย่างออก จนเหลือแต่ความอคูสติค กีตาร์โปร่ง 1 ตัว + เสียงร้องของคุณเบนซ์ อีกสมการความเพราะของ Dept ที่แฟนเพลงทุกคนคู่ควร

แปลกดีเหมือนกันนะ และไม่ได้เกี่ยวกับพล็อตหนังโดยตรงสักเท่าไหร่ แต่เพลงนี้ทำให้เราคิดถึงช่วงเวลายามค่ำคืนในโตเกียวของ Lost In Translation (2003) ที่เต็มไปด้วยห้วงเวลาแห่งความสับสน ปนกับการหลงทางท่ามกลางผู้คนมากมายของเมืองใหญ่  อ๊ะ แต่จริง ๆ ที่เราคิดถึงหนังเรื่องนี้ขึ้นมาอาจจะเป็นเพราะการจากลาระหว่าง Bob กับ Charlotte ก็ได้นะ .. ระหว่างที่เขียนอยู่นี้ มันทำให้เรายิ่งคิดไปไกลนอกซีน ว่าหลังจากกอดครั้งสุดท้ายนั้น พวกเขาจะจากกันไปไกลเสียไกลโดยที่ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกมั้ย มันจะทำให้ทั้งคู่เหงามากกว่าตอนอยู่โตเกียวตัวคนเดียวมั้ยนะ

GEESUCH
WRITER: GEESUCH
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line