World

NIHON STORIES: SHIRATORI YOSHIE ตำนานเทพเจ้าแหกคุกแห่งเกาะญี่ปุ่น

By: unlockmen June 16, 2020

เป็นที่รู้กันทั่วโลกว่าเมื่อไหร่ที่ประชาชนทำผิดจะต้องถูกจับ พวกเขาจะถูกพิจารณาคดีเพื่อประเมินความผิด รับฟังข้อกล่าวหาให้รู้ว่าตัวเองจะต้องติดคุกนานไหม จากนั้นก็เตรียมละทิ้งชีวิตอิสระไปอยู่ในกรอบที่เรียกว่า ‘เรือนจำ’ ลืมโซเชียลเน็ตเวิร์ก ลืมแฟชั่นเท่ ๆ ไปให้หมด เพราะชุดที่จะต้องใส่หลังจากนี้คือชุดที่เหมือนกับนักโทษอีกหลายหมื่นคนที่อัดอยู่ในพื้นที่เดียวกัน

หลายคนยอมผลจากการกระทำของตัวเอง อยู่ในคุกรอนับวันที่จะได้พบกับอิสรภาพอีกครั้ง แต่ชายนามว่า ชิราโทริ โยชิเอะ (Shiratori Yoshie) กลับรู้สึกต่างออกไป เขาคิดว่าตัวเองไม่สมควรติดคุก และด้วยความคิดไม่เห็นด้วยนี้เองที่ทำให้เขากลายเป็นตำนานนักแหกคุกสุดโหดของญี่ปุ่นออกมาได้หลายต่อหลายครั้งด้วยตัวคนเดียว

ก่อนหน้านี้ชื่อของชิราโทริเคยปรากฏอยู่ใน UNLOCKMEN มาแล้ว ใน NIHON STORIES: “PRISON IN JAPAN” ระบบเรือนจำและการใช้ชีวิตแดนขังของนักโทษญี่ปุ่น  กับเรื่องเล่าของคนคุกญี่ปุ่นที่มองจากมุมคนนอกอาจสะดวกสบายกว่าคุกหลายแห่งในโลก แต่ภายใต้ความสะดวกสบาย ข้าวอร่อย มีอ่างแช่ตัวแบบรวม พวกเขาต้องพบกับความกดดันทางอารมณ์อย่างมหาศาล และการกดดันทุกการกระทำอาจเป็นหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้ชิราโทริไม่อยากอยู่ในเรือนจำอีกต่อไป

ประวัติของชิราโทริ โยชิเอะ อาจคลาดเคลื่อนไปบ้างตามกาลเวลา มีบันทึกว่าเขามีชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ. 1907-1979 เป็นชาวอาโอโมริ จังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะญี่ปุ่น สร้างชื่อด้วยการแหกคุกสี่ครั้ง สาเหตุที่ทำให้เขาต้องวนเวียนอยู่กับการเข้าคุกแหกคุกอยู่หลายครั้งเกิดขึ้นเมื่ออายุได้ 26 ปี ก็กลายเป็นแพะรับบาปในคดีฆาตกรรมและชิงทรัพย์ ชิราโทริยืนยันหนักแน่นว่าเขาไม่ได้สังหารใคร เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องการจับเขายัดเข้าคุกเพื่อให้เรื่องจบ ปิดคดีโดยไม่ต้องสืบสวนอะไรมาก (มุมมองนี้มาจากฝั่งของชิราโทริที่ยืนยันว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์)

เขาติดคุกครั้งแรกที่เรือนจำอาโอโมริในจังหวัดบ้านเกิด ไม่นานหลังถูกยัดเข้าห้องขัง ชิราโทริสามารถแหกคุกออกมาได้อย่างง่ายดายด้วยการใช้ลวดสั้น ๆ ที่ได้จากถังไม้ตักน้ำปลดโซ่ตรวนที่ขาและปลดกุญแจมือของตัวเองออก และหนีจากคุกมาแบบสบาย ๆ แต่เขากลับพลาดตรงการซ่อนตัวเพราะหลบได้เพียงสามวันก็ถูกเจ้าหน้าที่จับได้ ขณะที่พยายามขโมยของบางอย่างในโรงพยาบาล

หลังแหกคุกครั้งที่หนึ่ง ชิราโทริถูกตัดสินให้มีโทษจำคุกตลอดชีวิตเพราะแหกคุก เกิดการหารือกันในหมู่เจ้าหน้าที่ว่าหากยังขังเขาไว้ในเรือนจำเดิม วันใดวันหนึ่งนักโทษคนนี้ก็คงหาหนทางหนีออกไปได้อีกครั้ง ในปี 1942 ตำรวจเมืองอาโอโมริจึงตัดสินใจส่งเขาไปยังเรือนจำอากิตะแทน

จากเรือนจำอาโอโมริพัฒนาสู่เรือนจำอากิตะ ชิราโทริแหกคุกเป็นครั้งที่สองด้วยการปีนกำแพงที่เป็นผนังเรียบ ๆ ที่มือของมนุษย์ไม่สามารถเกาะได้ เขาไม่ได้ปีนกำแพงและออกไปเลยในครั้งแรกแต่หมั่นฝึกซ้อมจนมั่นใจอยู่หลายหน ปีนขึ้นปีนลงจนชำนาญ เมื่อมั่นใจก็ก้าวไปขั้นต่อไปด้วยการลอดไปตามช่องระบายอากาศเพื่อสำรวจเส้นทางและหลบหนีออกมาได้เป็นครั้งที่สอง

คราวนี้เขาเหนื่อยที่จะซ่อนตัว หลังแหกคุกอากิตะชิราโทริได้ลอบเข้าไปยังบ้านของเจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งที่คิดว่าไว้ใจได้ พยายามเจรจา ขอความเมตตา แสดงตัวว่าเขาไม่ได้ทำผิดตามที่โดนตั้งข้อหาครั้งแรก เจ้าหน้าที่คนนั้นก็สัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะพยายามหาทางช่วยเขา แต่ผลคือตำรวจหลอกชิราโทริและจับส่งทางการ ทำให้ชายหนุ่มหมดศรัทธาจนถึงกับเอ่ยปากว่าชีวิตนี้จะไม่มีวันไว้ใจพวกตำรวจอีกต่อไปแล้ว

จากอาโอโมริสู่อากิตะ จากอิกิตะเดินทางสู่คุกที่ขึ้นชื่อว่าโหดสุดของญี่ปุ่นอย่าง ‘เรือนจำอะบาชิริ’ คุกแห่งเมืองฮอกไกโดอันหนาวเหน็บและทุ่งกว้างสุดลูกหูลูกตา สร้างขึ้นเมื่อปี 1890 นับเป็นสถานที่ขังนักโทษคดีร้ายแรงที่ขึ้นชื่อของยุคเมจิ ผู้ต้องหาคดีอาชญากรรมจะถูกส่งตัวมายังคุกแห่งนี้ คนคุกส่วนใหญ่จะเป็นพวกสมาชิกแก๊งยากูซ่า นักฆ่า และฆาตกรต่อเนื่อง

นักโทษเหล่านี้จะไม่ถูกขังเฉย ๆ พวกเขาต้องใช้แรงงานสร้างถนนกว่า 228 กิโลเมตร ที่จะเชื่อมฝั่งตะวันตกกับตะวันออกเข้าด้วยกัน เมื่อไหร่ก็ตามที่ฤดูหนาวมาเยือน พวกเขาที่ต้องออกมาขุดดินทำถนนก็จะหนาวไปถึงกระดูก มีนักโทษหลายร้อยชีวิตที่เสียชีวิตเพราะการสร้างถนนเส้นนี้ด้วยเหตุผลหลายอย่าง เช่น ไม่สามารถทนความหนาวได้ อ่อนแรงเพราะได้นอนเพียง 5 ชั่วโมงต่อคืน ถูกสัตว์ป่าโจมตี และอุบัติเหตุระหว่างก่อสร้าง

นับเป็นโชคดีในโชคร้าย ชิราโทริถูกส่งตัวมายังเรือนจำอะบาชิริหลังจากรัฐบาลญี่ปุ่นได้ยกเลิกการใช้แรงงานนักโทษสร้างถนนไปแล้วเมื่อปี 1894 เพราะเขาโดนส่งตัวมาที่นี่ในปี 1942 อย่างไรก็ตาม ถึงเรือนจำจะไม่ใช้แรงงานเถื่อนอีกต่อไปแต่นักโทษหนุ่มคิดว่าตัวเองไม่สมควรต้องมาอยู่ในคุกที่เลื่องชื่อว่าขังคนที่ชั่วร้ายที่สุดของเกาะญี่ปุ่นอยู่ดี

การแหกคุกครั้งที่สามในเรือนจำอะบาชิริถือเป็นครั้งที่โด่งดังที่สุด ชิราโมริเริ่มต้นขึ้นด้วยการวางแผนและทดลองนานนับสิบเดือน ทุก ๆ วัน เขาใช้ซุปมิโซะที่เป็นเมนูประจำมาเป็นกุญแจสู่อิสรภาพ ชิราโทริกินซุปและเหลือไว้ทุกมื้อเพื่อนำน้ำซุปมาหยอดตรงซี่ลูกกรงประตูไม้ ขอบหน้าต่าง กุญแจมือ ทำซ้ำ ๆ ทุกวัน เพราะประตูห้องในสมัยนั้นไม่ได้ใช้ประตูเหล็ก เมื่อไม้และเหล็กโดนน้ำที่มีส่วนผสมของเกลือในตำแหน่งเดิมนานกว่าสิบเดือนก็เริ่มผุกร่อน

ในค่ำคืนวันที่ 26 สิงหาคม 1944 ที่เขามั่นใจว่าสามารถขยับประตูให้มีช่องว่างพอออกไปได้ พยายามทำตัวให้ลีบที่สุดเพื่อออกจากห้องขัง ปีนขึ้นไปยังคานไม้ที่ค้ำหลังคาด้านในมองหาพื้นที่ที่เปราะบางที่สุดในคุก ชิราโทริเจอกับหนทางที่จะทำให้ตัวเองออกจากกำแพงอิฐหนาเมื่อพบกับแผ่นกระจก เขาใช้หัวโขกไปยังกระจกจนแตก กระโดดลงพื้นดินและวิ่งสุดชีวิต ในคืนนั้นเองเขาได้สร้างตำนานการแหกคุกสุดโหดที่ยากูซ่าตัวพ่อยังไม่เคยคิดทำ หรือเคยคิดแต่ก็ไม่สามารถทำได้อย่างชิราโทริ

 

 

เรื่องราวการหลบหนีของเขาได้ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ฮอกไกโดชิมบุน หลังแหกคุกเขาหลบตำรวจอยู่ในจังหวัดฮอกไกโดราวสองปี (หนีจากคุกในเขตอะบาชิริไปกบดานอยู่เขตซัปโปโรซึ่งทั้งสองเมืองอยู่ในจังหวัดฮอกไกโด) ซ่อนตัวอยู่ในห้างจากชุมชนได้พักหนึ่งก็โดนเจ้าหน้าที่เขตซัปโปโรจับตัวได้เพราะใบประกาศจับของเขาปลิวว่อนไปทั่ว ชิราโทริติดคุกอีกครั้งพร้อมโทษประหารชีวิต แต่ก็เหมือนเดิม เขาหาทางแหกคุกออกมาได้เป็นครั้งที่ 4 ด้วยการใช้ชามข้าวเป็นจอบ ขุดหลุมลึกพาตัวเองออกจากเรือนจำ

แม้คุกจะขังเขาไม่ได้ แต่การแหกคุกสี่ครั้งของเขาทำให้ชิราโทริรู้ตัวว่าสกิลการหลบหนีซ่อนตัวอยู่ในระดับต่ำ ไม่ว่าจะหนีออกมาได้กี่ครั้งก็โดนจับได้ทุกที แถมอายุมากขึ้นจนเหนื่อยจะหนีหรือหลบซ่อนไปตลอด ในที่สุดเมื่อสื่อตีข่าวว่าเขาแหกคุกได้สี่ครั้ง เกิดการเจรจาระหว่างรัฐกับชิราโทริ ชายวัยกลางคนตัดสินใจขึ้นศาลในจังหวัดซัปโปโรพร้อมกล่าวว่าสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดคืออิสรภาพ และได้รับคำยืนยันจากผู้คุมว่าทุกครั้งที่แหกคุก เขาไม่เคยทำร้ายเจ้าหน้าที่เลยแม้แต่คนเดียว

ในที่สุดศาลซัปโปโรตัดสินใจยกเลิกโทษประหารชีวิตให้กับนักโทษแหกคุก ชิราโทริให้คำมั่นว่าจะไม่แหกคุกอีกแล้วหากขังเขาไว้ในเรือนจำโตเกียว ซึ่งศาลก็บ้าจี้ตกลงตามที่ชิราโทริต้องการพร้อมกับลดโทษจากประหารชีวิตเป็นจำคุก 20 ปี และได้รับอิสรภาพแท้จริงโดยไม่ต้องระแวงให้ใครมาตามจับอีกต่อไปในปี 1961  ชิราโทริเป็นต้นแบบของตัวละครคนคุกนามว่า โนดะ ซาโตรุ (Noda Satoru) ในมังงะเรื่อง Golden Kamuy

ชิราโทริวนเวียนเข้าออกคุกบ่อยครั้ง ในเวลา 11 ปี เขาสามารถแหกคุกออกมาได้ถึง 4 ครั้ง ภายหลังได้ออกจากคุกเร็วกว่ากำหนด เรื่องราวของเขากลายเป็นตำนาน เขาถูกเรียกว่าราชาแห่งการแหกคุกญี่ปุ่น มีนักเขียนจำนวนมากสนใจเขียนเรื่องราวของเขาเป็นหนังสือ เขาได้มีชีวิตบั้นปลายตามที่ตัวเองต้องการหลังจากที่ได้ใช้ชีวิตวัยหนุ่มอยากโชกโชน จนกระทั่งปี 1979 ชิราโทริ โยชิเอะ ก็จากโลกใบนี้ไปด้วยวัย 72 ปี โดยอาการหัวใจวาย ปิดตำนานจอมเวทที่ทำให้เรื่องที่ดูเป็นไปไม่ได้สามารถทำได้ง่าย ปลดโซ่ตรวนที่จองจำสู่อิสรภาพได้ตามต้องการ

 

SOURCE: 1 / 2 / 3
SOURCE PHOTO:  1 / 2 / 3

unlockmen
WRITER: unlockmen
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line