CARS

สัมผัสประสบการณ์ขับ NISSAN LEAF ขึ้น-ลงดอยอินทนนท์ด้วยการชาร์จเพียงครั้งเดียว

By: SPLESS October 28, 2019

รถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100 เปอร์เซ็นต์หรือ Electric Vehicle คือยนตรกรรมสมัยใหม่ที่มีบทบาทต่อชีวิตผู้ชายขึ้นเรื่อย ๆ และรูปแบบรถยนต์พลังงานสะอาดเหล่านี้ก็แสดงให้เห็นว่านอกจากระบบพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว สมรรถนะและอารมณ์การขับขี่ รถยนต์ไฟฟ้าเองก็สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างอิสระ

ล่าสุด Nissan ค่ายรถยนต์ที่มีประสบการณ์ในการออกแบบและสร้างสรรค์รถยนต์ไฟฟ้ามานานกว่า 70 ปีเปิดตัวรถเจเนอเรชั่นที่ 2 ของ นิสสัน ลีฟ (Nissan LEAF) ซึ่งคาดว่าหนุ่ม ๆ ในเมืองไทยคงมีโอกาสได้ทำความรู้จักกับยนตรกรรมคันนี้ไปแล้วไม่มากก็น้อย และคงไม่ข้องใจกับการขับขี่ในเมืองเพราะนิสสัน ลีฟ ตอบโจทย์การใช้งานชีวิตคนเมืองได้เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตามมีคำถามเกิดขึ้นเสมอว่า หากเราต้องเดินทางด้วยรถไฟฟ้าในเส้นทางที่ท้าทายมากขึ้น และมีระยะการขับขี่ไกลขึ้น ยนตรกรรมเหล่านี้จะยังสามารถแสดงสมรรถนะและตอบโจทย์การใช้งานได้สมบูรณ์แบบอยู่หรือไม่ ?

UNLOCKMEN ได้รับเกียรติจาก Nissan ให้เข้าร่วมทริป “การขับรถยนต์นิสสัน ลีฟ ขึ้นไปพิชิตดอยอินทนนท์ด้วยการชาร์จแบตเตอรี่เพียงครั้งเดียว” มาดูกันว่ารถยนต์ไฟฟ้าคันนี้จะพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทยซึ่งมีความสูงจากระดับน้ำทะเล 2,565 เมตร ได้หรือไม่ ?

การขับนิสสัน ลีฟ พิชิตดอยอินทนนท์ครั้งนี้ ระยะทางไป-กลับ 200 กิโลเมตร โดยรูปแบบเส้นทางมีทั้งทางถนนปกติ รวมถึงเส้นทางสุดท้าทายที่ต้องไต่ขึ้นลงดอยอินทนนท์ ทำให้เราได้เรียนรู้เทคโนโลยี นิสสัน อินเทลลิเจนต์ โมบิลิตี (Nissan Intelligent Mobility) รวมถึงพิสูจน์สมรรถนะของนิสสัน ลีฟในหลายด้าน

หลังจากตรวจเช็กเปอร์เซ็นต์แบตเตอรี่รถทุกคันเรียบร้อย ทริปพิชิตดอยอินทนนท์ของนิสสัน ลีฟทั้ง 10 คันก็เริ่มต้นขึ้น โดยทั้งหมดเริ่มเคลื่อนตัวออกจากโรงแรมวีรันดา ไฮ รีสอร์ต เชียงใหม่ เพื่อมุ่งหน้าไปยังด่านตรวจแรกซึ่งตั้งอยู่ที่ทางขึ้นดอยอินทนนท์ โดยรถยนต์นิสสันลีฟ เจเนอเรชันที่ 2 โดดเด่นด้านงานดีไซน์โฉบเฉี่ยวจากตัวรถสี Brilliant White Pearl และหลังคาสี Super Black ที่มาในคอนเซ็ปต์ “Cool Tech Attitude”  

นิสสัน ลีฟยังตอบโจทย์การเดินทางพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศไทยด้วยแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนขนาด 40 กิโลวัตต์ชั่วโมง (KwH) ทำงานด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลัง 110 kW แรงบิดสูงสุดที่ 320 นิวตัน-เมตร ซึ่งสร้างอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลา 7.9 วินาที

ตลอดระยะทาง 66 กิโลเมตรจากจุดเริ่มต้นสู่ด่านจุดตรวจที่ 1 กิโลเมตรที่ 8 เราทดสอบการขับขี่ของนิสสัน ลีฟ ไม่ว่าจะเป็นอัตราการเร่ง ถือว่าตอบสนองได้รวดเร็วมากสำหรับรถไฟฟ้า อีกทั้งรถใช้พลังงานไปเพียง 24 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นในการใช้เกียร์ D บวกกับโหมด Eco

นอกจากนี้  เรายังมีโอกาสได้ทดสอบหนึ่งในเทคโนโลยีการขับขี่อัจฉริยะคือ อี-เพดัล (e-Pedal) ซึ่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานใหม่สำหรับนิสสัน ลีฟที่จะช่วยเพิ่มความสะดวกให้ผู้ขับขี่ทั้งในระหว่างการออกตัว เร่งความเร็ว ชะลอความเร็วและหยุดรถโดยใช้แป้นคันเร่งเพียงอย่างเดียว โหมด e-Pedel มีอัตราการชะลอความเร็วสูงถึง 0.2 G หลังจากยกเท้าออกจากคันเร่งตัวรถจะหยุดนิ่งอย่างนุ่มนวลโดยไม่ต้องแตะเบรก ถือเป็นอีกหนึ่งฟังก์ชันที่นิสสันออกแบบมาช่วยให้การขับขี่ง่ายดายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานในเมือง รวมถึงการขับบนไฮเวย์เหมือนในการเดินทางครั้งนี้

หลังจากปล่อยให้ทดสอบและทำความคุ้นเคยกับรถแล้ว การเดินทางส่วนที่เรารอคอยก็เริ่มขึ้น โดยการขับขี่ต่อจากนี้ คือการขับขี่รถยนต์นิสสัน ลีฟขึ้นไปยังดอยอินทนนท์รวมระยะทาง 43 กิโลเมตร ที่มีทางลาดชันและโค้งที่ท้าทายจำนวนมาก

เมื่อเราเคลื่อนตัวผ่านจุดตรวจที่ 1 นิสสัน ลีฟทั้ง 10 คันก็เริ่มมุ่งหน้าสู่ยอดดอยอินทนนท์ โดยเราเลือกใช้เกียร์ D ผ่านสองข้างทางซึ่งเต็มไปด้วยธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ของอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ และอุณหภูมิที่ลดต่ำลงเรื่อย ๆ แม้เส้นทางจะท้าทายมากขึ้น อัตราเร่งและการทรงตัวในขณะเข้าโค้งของนิสสัน ลีฟก็ยังรวดเร็วและทรงตัวได้ดีไม่ต่างจากเส้นทางปกติ

เพราะมีระบบควบคุมการขับขี่อัจฉริยะ (Intelligent Ride Control) ที่จะช่วยให้มอเตอร์ไฟฟ้าทำงานได้แม่นยำขึ้นในการสร้างแรงบิดที่เหมาะในขณะเข้าโค้ง ก่อนรถทั้งหมดจะเคลื่อนตัวเข้าสู่ด่านจุดตรวจที่ 2 ของอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ซึ่งนั้นถือเป็นสัญญาณว่าเราเดินทางมาเกินครึ่งทางของการพิชิตความสูง 2,565 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลแล้ว จุดหมายต่อไปคือยอดดอยอินทนนท์

เส้นทางช่วงสุดท้ายรถยนต์นิสสัน ลีฟแต่ละคันยังคงวิ่งสู้แรงโน้มถ่วงแบบไร้ปัญหา ก่อนจะทยอยมาถึงจุดสูงสุดของดอยอินทนนท์ โดยจุดนี้จะมีการตรวจเช็กค่าพลังงานที่ใช้ไป โดยพลังงานที่เหลืออยู่ในแบตเตอรี่ของนิสสัน ลีฟของ UNLOCKMEN เหลือค่าพลังงานในแบตเตอรี่ที่ 21 เปอร์เซ็นต์ แม้จะเหยียบคันเร่งขึ้นวิ่งเขามาอย่างต่อเนื่องก็ตาม ก่อนทั้งหมดจะกลับรถลงมาแวะที่จุดจอดเฮลิคอปเตอร์ บริเวณกิ่วแม่ปาน เพื่อหยุดพัก พร้อมชื่นชมหมอกในตอนเช้ารอบ ๆ บริเวณพระมหาธาตุนภเมทนีดล-นภพลภูมิสิริอันสวยงาม

หลักจากทั้งรถและคนได้พัก ก็ถึงเวลาเดินทางกลับ โดยในเส้นทางกลับนิสสัน ลีฟทุกคันจะได้ทดสอบการชาร์จไฟเข้าสู่แบตเตอรี่ ด้วยระบบการฟื้นฟูพลังงานไฟฟ้าขณะเบรกและชะลอความเร็วหรือที่เรียกว่า Regenerative Braking System ซึ่งจะช่วยรีชาร์จพลังงานกลับคืนสู่แบตเตอรี่ในขณะที่เราขับขี่ลงจากยอดดอยอินทนนท์ และคราวนี้เราใช้การขับขี่ในโหมด B เพื่อให้สามารถฟื้นฟูพลังงานกลับสู่แบตเตอรี่ได้มากที่สุด

ตลอดเส้นทางขาลงสู่จุดตรวจที่ 1 บริเวณตีนดอยอินทนนท์ เราได้เห็นการทำงานของ Regenerative Braking System ซึ่งจะแสดงค่าการรีชาร์จพลังงานเมื่อเบรกและชะลอตัวบนหน้าจอดิจิทัลแสดงปริมาณแบตเตอรี่ที่ชาร์จเพิ่มขึ้นมา รวมถึงระยะโดยประมาณที่สามารถขับรถต่อไปได้

หลังเดินทางมาถึงจุดตรวจที่ 1 ซึ่งเป็นจุดเช็กพลังไฟของแบตเตอรี่ นิสสัน ลีฟของเราก็ชาร์จพลังงานกลับมาที่ 41 เปอร์เซ็นต์หรือกว่า 20 เปอร์เซ็นต์ที่เพิ่มกลับมา เรียกว่าเป็นระบบรีชาร์จที่มีประสิทธิภาพเยี่ยมทีเดียว

เมื่อทยอยลงสู่เส้นทางปกติ ก็ถึงเวลาที่นิสสัน ลีฟทั้ง 10 คันต้องขับกลับไปยังโรงแรมวีรันดา ไฮ รีสอร์ต เชียงใหม่ จุดเริ่มต้นของเราซึ่งคิดเป็นระยะทาง 66 กิโลเมตร โดยตลอดเส้นทางกลับ UNLOCKMEN ยังได้เห็นการทำงานของ นิสสัน อินเทลลิเจนต์ โมบิลิตี (Nissan Intelligent Mobility)

ไม่ว่าจะเป็น เทคโนโลยีช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงการชนด้านหน้าขณะขับขี่ (Forward Collision Warning) เทคโนโลยีช่วยเบรกฉุกเฉิน (Forward Emergency Braking) รวมถึงกล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทาง (Intelligent Around View Monitor) ที่ให้มุมมองแบบ 360 องศา ซึ่งทั้งหมดจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยและความสะดวกสบายขณะขับขี่ได้ในเส้นทางทุกรูปแบบ

ในที่สุดนิสสัน ลีฟทั้ง 10 คันก็เดินทางกลับถึงจุดหมาย โดยการเดินทางพิชิตยอดดอยอินทนนท์ครั้งนี้รวมแล้วมีระยะทางถึง 208 กิโลเมตร ขณะเดียวกันแบตเตอรี่ในรถยนต์นิสสัน ลีฟคันที่ UNLOCKMEN ใช้ในการทดสอบยังเหลือแบตเตอรี่อยู่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ เรียกได้ว่าเหลือให้วิ่งได้อีกพอสมควร ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม สำหรับการพิชิตจุดที่สูงที่สุดในประเทศไทยด้วยการชาร์จเพียง 1 ครั้ง

ทั้งหมดแสดงให้เห็นแล้วว่ารถยนต์ไฟฟ้า 100 เปอร์เซ็นต์อย่างนิสสัน ลีฟ คือยนตรกรรมที่ตอบโจทย์การใช้งานได้ครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานในเมืองหรือใช้งานในเส้นทางสุดท้าทายอย่างการขับขึ้น-ลงเขา

สำหรับหนุ่ม ๆ ที่สนใจอยากลองสัมผัสอารมณ์การขับขี่นิสสัน ลีฟด้วยตัวเอง ปัจจุบันในประเทศไทยมีผู้จำหน่าย รถยนต์ไฟฟ้านิสสัน ลีฟอย่างเป็นทางการกว่า 33 แห่งทั่วประเทศ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมของนิสสัน ลีฟและเยี่ยมชมคันจริงได้ที่โชว์รูมและศูนย์บริการของนิสสันทั่วประเทศ หรือติดต่อ Call Center ที่ 02 401 9600 และทางเพจ Nissan LEAF Thailand

นิสสันยังมีข้อเสนอพิเศษสำหรับลูกค้าที่สั่งจองนิสสัน ลีฟ ใหม่ โดยจะได้รับการประกันคุณภาพรถยนต์เป็นเวลา 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร พร้อมการรับประกันระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าเป็นเวลา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร และการรับประกันการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่เป็นเวลา 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร ห้ามพลาดหากคุณต้องการจะเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าที่ตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างครบครัน

 

SPLESS
WRITER: SPLESS
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line