CARS

NISSAN SKYLINE GT-R ประวัติและที่มาของ ICONIC GODZILLA รถในฝันของมวลมนุษยชาติ

By: Chaipohn June 28, 2019

มีอะไรที่ทำให้เราแค่มองเห็นก็รู้สึกตื่นเต้นจนเลือดสูบฉีดได้บ้าง?
มีอะไรที่เราเห็นแล้วต้องคว้ากล้องขึ้นมาถ่าย ต้องสะกิดคนข้าง ๆ ให้หันไปดูด้วยกันได้บ้าง?

แม้ผู้ชายเราจะมีความชอบและไลฟ์สไตล์แตกต่างกันไป แต่สิ่งที่ทำให้พวกเราทุกคนเกิดปฏิกิริยานั้นได้ ก็เมื่อ Nissan Skyline GT-R ขับผ่านหน้าเราไป ไม่ว่าจะเป็น Skyline GT-R รุ่นไหนก็ตาม แม้คุณจะไม่ใช่ Hardcore Fans ในเรื่องรถยนต์ แต่ทุกครั้งที่เราได้เห็นไฟท้ายโดนัทคู่ เสียงท่อคำรามจากเครื่องยนต์ 6 สูบเทอร์โบคู่ ขับเคลื่อนสี่ล้อ เราก็รู้ทันทีว่ามันมีความพิเศษที่รถคันอื่น หรือแม้แต่ Supercar ราคาหลายสิบล้านไม่มี นั่นคือเสน่ห์ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ยุค 1969 ซึ่งถือเป็น Skyline GT-R รหัสแรกที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมีรถรุ่นไหนสามารถสืบทอดคุณค่าให้เป็นที่นิยมทั้งในและนอกสนาม ทำให้รหัส GT-R กลายเป็น Iconic Car แห่งความเร็วในฝันได้ทุก Generation

มีหลายอย่างที่เราเข้าใจผิดเดียวกับ GT-R อย่างเช่นไม่ใช่ทุก Skyline จะต้องมีรหัส GT-R หรือคำว่า GT-R ย่อมาจากคำว่า Gran Turismo Racer

ชื่อเสียงของ GT-R ถือกำเนิดขึ้นมาครั้งแรกในเดือนกุมภาพันธ์ปี 1969 ภายใต้รหัส C10 แต่เป็นรุ่นที่พัฒนาเป็นรถที่พร้อมลงสนามแข่ง มีพละกำลังสูง ภายใต้ชื่อ Nissan 2000GT-R รหัส PGC10 สำหรับตัวถังซีดาน 4 ประตู และ KPGC-10 สำหรับตัวถัง 2 ประตู รถทรงกล่องสี่เหลี่ยมขนาดเล็กแต่ใส่เครื่องยนต์​ขนาดใหญ่ของรถแข่งรหัส S20 ขนาด 2.0 ลิตร หกสูบ DOHC 160 แรงม้า ที่ใช้ในรถแข่ง Prince R380 ซึ่งเจ้าตัวแรงทรงกล่องเจ้าของฉายา Hakosuka  (Hako (ハコ) = Box และ suka(スカ) = Skyline) สร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ไว้มากมายภายในเวลาแค่หนึ่งปีครึ่ง

น่าเสียดายที่เมื่อเปิดตัว KPGC-10 2000GT-R ออกมา ทั่วโลกต้องเจอกับวิกฤตพลังงาน ทำให้ตลาดรถยนต์ทุกแบรนด์ รวมถึง GT-R ตัวถัง Coupe’ ต้องหยุดโปรเจคไปหลังจากผลิตได้เพียง 197 คัน (ถ้านับจำนวนรวมของทั้ง 2 ตัวถัง จะมีจำนวน 1,945 คัน) และนั่นก็ทำให้มันกลายเป็น Iconic Car ตำนานที่หายากสุด ๆ อีกหนึ่งรุ่น (โดยปกติจะเป็นการเอา 2000GT-X Coupe’ มาแต่งมากกว่า)

แม้ Nissan 2000GT-R จะประสบความสำเร็จมากในการแข่งขันบนสนามญี่ปุ่น แต่ในยุคนั้นชาวโลกไม่ได้รู้จักชื่อเสียงของมันแต่อย่างใด เพราะการทำตลาดที่ยังไม่มีรถยี่ห้อใดเริ่มบุกออกนอกประเทศญี่ปุ่น หลังจากโครงการ GT-R ถูกหยุดลงเนื่องจากวิกฤติพลังงาน และการพยายามดัน C110 GT-R Generation ที่ 2 ในปี 1972 ก็ไม่สามารถไปต่อได้ รหัส GT-R จึงหายไปจากโลกเป็นเวลานานถึง 16 ปี แม้หลังจากนั้นจะมี Skyline R30 และ R31 ออกมาสู่ท้องตลาด แต่ก็ไม่มีรหัส GT-R ออกมาด้วย เป็นการปิดตำนาน Skyline รูปทรงกล่องของ Shinichiro Sakurai ผู้จากโลกนี้ไปในปี 2011

หลังจากนั้นจึงเป็นยุคของ Naganori Ito ลูกศิษย์คนสนิทของอาจารย์ Sakurai ผู้เข้ามาชุบชีวิตรหัส GT-R สานต่อสร้างตำนานที่ยิ่งใหญ่กว่าเก่าทั้งในประเทศญี่ปุ่นและบนเวทีโลก กับรหัสที่ยังขลังอยู่ถึงวันนี้ นั่นคือ R32 Nissan Skyline GT-R

ต้นกำเนิดของ GT-R Generation ที่ 3 นั้นมาจากสนามแข่งอย่างแท้จริง ในปี 1989 Nissan ต้องการรถแข่งคันใหม่ที่จะสามารถคว้าชัยในรายการ Japanese Touring Car Championship (JTCC) ระดับ Group A จึงออกแบบ chassis ขึ้นมาใหม่ในรหัส E-BNR32 หรือที่โลกรู้จักกันในนาม “R32” และมันก็กวาดแชมป์ในประเทศไปจนเกลี้ยงตลอดระยะเวลาตั้งแต่ปี 1989 – 1993 ซึ่งผลพวงของการที่ Nissan คิดค้นเทคโนโลยีภายใต้ข้อบังคับของ Group A ไม่ว่าจะเป็นการขยายความจุเครื่องยนต์ ซึ่งต่อมากลายเป็นต้นแบบของหนึ่งในเครื่องยนต์ที่ดีที่สุดในโลก “RB26DETT” หรือระบบการขับเคลื่อน 4 ล้อ ATTESA (Advanced Total Traction Engineering System for All-Terrain) AWD ได้ถูกถ่ายทอดลงสู่ R32 Nissan Skyling GT-R จากเดิมที่ใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหลังใน GT-R รหัส C10 และ C110

หลายคนรู้ว่า GT-R มีฉายาเท่ ๆ ว่า ‘Godzilla’ แต่อาจะไม่รู้ว่าชื่อนี้ได้มาจาก R32 Nissan Skyling GT-R 

หลัง Nissan คว้าแชมป​์ในบ้านชนิดยึดโพเดี่ยมถาวร จึงเริ่มมองหาความท้าทายใหม่ ๆ ในสนามแข่งระดับสากลเพื่อแสดงให้โลกได้เห็นศักยภาพของรถจากญี่ปุ่น และเป็นครั้งแรกที่รถยนต์จากญี่ปุ่นจะขยายตลาดออกนอกประเทศ ในปี 1990 Nissan จึงเริ่มบุกตลาด Australia เป็นประเทศแรก โดยส่ง R32 Nissan Skyling GT-R ลงแข่งรายการ Australian Touring Car Championship และเพียงแค่รายการแรกที่รถยนต์จากญี่ปุ่นสัมผัสพื้นสนามแข่ง โลกที่เคยมั่นใจในสมรรถนะของรถแข่งจาก USA, Germany หรือ Italy ก็ต้องอ้าปากค้างไปพร้อม ๆ กัน เพราะ R32 GT-R สามารถเบียดคว้าแชมป์ได้ทันทีและครองโพเดี่ยมเป็นระยะเวลานานหลายปี ทำให้สื่อ Australia เรียกขานการมาทำลายล้างสถิติในวงการรถยนต์ Australia ของ R32 Nissan Skyline GT-R ว่าเป็น “The Godzilla” Monster from Japan

ด้วยความสำเร็จมากมายที่ R32 Nissan Skyline GT-R คว้าแชมป์ได้ทั้งในและนอกประเทศ ทำให้ Nissan ผลิตรถยนต์รุ่นย่อยพิเศษ ๆ ออกมามากมาย ไม่ว่าจะเป็น V-Spec และ V-Spec II (“Victory SPECification”) ใช้ฝากระโปรงหน้าและกันชนน้ำหนักเบาจากเวอร์ชัน NISMO ระบบขับเคลื่อน ATTESA E-TS system AWD มีการเพิ่มชุดเบรก Brembo และใช้ล้อ BBS 17 นิ้ว ผลิตออกมาเพียงรุ่นละ 1,3xx คันเท่านั้น

นอกจากนี้ยังมี NISMO เวอร์ชัน ที่ผลิตออกมาเพียง 560 คัน และ Rare Items ที่หายากสุด ๆ อย่าง N1 เวอร์ชันสำหรับแข่งในประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีการอัพเกรดความแรง และรีดน้ำหนักโดยการถอดทุกสิ่งอำนวยความสะดวกออกไปหมดสิ้น ผลิตออกมาทั้งหมดเพียง 245 คัน

ด้วยจำนวนที่น้อยและเรื่องราวที่ครบถ้วน ทำให้ทุกวันนี้มูลค่าของ R32 รุ่นพิเศษยังคงถูกประมูลกันสูงลิบลิ่ว และเป็นที่หมายตาของนักสะสมรถตัวจริงจากทั่วโลก

แม้ R32 Nissan Skyline GT-R จะถูกเรียกว่า Iconic Car ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ แต่ Nissan ก็ไม่เคยหยุดพัฒนาคำว่า “ดีที่สุด” ให้ “สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น” จึงเป็นที่มาของ “R33” Nissan Skyline GT-R Generation ที่ 4 ในปี 1995 ได้รับการพัฒนาทุกจุดอ่อนของ R32 ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเครื่องยนต์ RB26DETT บล็อกเดิมที่ได้รับการแก้ไขจุดอ่อนเรื่องท่อส่งน้ำมันเชื้อเพลิง มีการยืดขนาดตัวถังและฐานล้อให้กว้างขึ้นราว 1 นิ้ว และยาวขึ้นราว 4 นิ้ว เพื่อการทรงตัวที่ดีกว่า ผ่านการออกแบบ aerodynamic ใหม่ทั้งปรับย้ายตำแหน่งและชุดแต่งที่ดีไซน์ขึ้นมาใหม่ เพิ่มแรงบิดให้เครื่องยนต์ด้วยการปรับปรุง Turbo และ Intercooler และถูกรีดน้ำหนักลงให้เบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผลคือการควบคุมและความคล่องตัวที่เพิ่มขึ้น และได้ชื่อว่าเป็น Skyline GT-R ที่ทำเวลาทดสอบในสนาม Nurburgring ได้ดีที่สุด

ภายใต้รหัส R33 มี 2 โมเดลหายากระดับ Ultra Rare ซึ่งผ่านการโมดิฟายโดย NISMO และเป็นที่พูดถึงของนักสะสมตัวจริงอยู่ 2 รุ่นได้แก่ R33 NISMO LM Limited สำหรับฉลองการเข้าร่วมการแข่งขัน LeMans ซึ่งพิเศษด้วยสีฟ้า Champion Blue ชุดแต่ง Carbon Fibre และชุดแต่ง ผลิตออกมาเพียง 188 คัน

และอีกรุ่นที่หลายคนคุ้นหูมากกว่าคือ R33 NISMO 400R (Racing) มีการปรับแต่งไส้ในเครื่องยนต์ใหม่หมดตั้งแต่ลูกสูบ ก้านเหวี่ยง camshafts พร้อมไล่ทางเดินอากาศและน้ำมันใหม่ ไปจนถึงระบบไอดีไอเสีย รวมถึงมีชุดแต่งเพิ่ม aerodynamic ของตัวเองเพื่อให้รองรับแรงม้า 400 ตัว ทำเวลา 0-100 km/h ได้ภายใน 4 วินาที เป็นอีกรุ่นในฝันที่คนหากันชนิดพลิกแผ่นดิน เพราะถูกผลิตออกมาเพียงแค่ 44 คันในโลกเท่านั้น

สำหรับหลายคน R34 คือ Nissan Skyline GT-R ที่จดจำได้ดีที่สุด แทบจะไม่มีใครไม่รู้จัก และแทบจะไม่มีใครไม่หันไปมองตามจนลับสายตา เป็น GT-R Generation ที่ 5 ในยุคปี 1999 มีการลดขนาดมิติตัวถังให้เล็กลงกว่า R33 เพราะมี feedback ว่ารถใหญ่เทอะทะเกินไป แต่ยังคงรักษาความคล่องตัวและการขับขี่ได้อย่างดีเยี่ยม อีกทั้งยังเป็นรถที่มีเทคโนโลยีระบบ Infotainment บนจอ LCD ขนาด 5.3 นิ้ว เรียกว่า MFD (Multi Function Display) บอกตัวเลขที่สำคัญไม่ว่าจะเป็นวัดบูสต์เทอร์โบ, อุณหภูมินำ้มัน, การจ่ายเชื้อเพลิง และสถานะการขับขี่ทุกอย่าง ซึ่งนับว่าล้ำสุดในยุค 1999

เครื่องยนต์ของ R34 GTR ยังคงเป็น RB26DETT อยู่เหมือนเดิม แต่อัพเกรดเทอร์โบและ Intercooler ให้ได้แรงบิดเพิ่มขึ้น (ที่จริงแล้วเครื่อง RB26DETT มีแรงม้ามากกว่านี้มาตั้งแต่ใน R32 แต่จำเป็นต้องโฆษณว่ามีพละกำลังเพียง 280 แรงม้า)

R34 Nissan Skyline GT-R มีรุ่นพิเศษสำหรับนักสะสมออกมาเยอะกว่าที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็น V-Spec, V-Spec N1, V-Spec II, ซึ่งมีความพิเศษเหมือนกับที่ผ่านมา แต่ที่พิเศษกว่าและพึ่งจะมีเฉพาะใน R34 ก็คือ GT-R V-spec II Nur และ M-Spec Nur (Nurburgring racetrack) ซึ่งเป็นรุ่นส่งท้ายก่อนปิดสายพานการผลิต R34 ในปี 2002 มีความพิเศษที่มากกว่า V-Spec ปกติคือการใช้เครื่องยนต์ตัวแข่งของ N1 พร้อมเทอร์โบที่ใหญ่ขึ้น ผลิตจำนวน 750 คันเท่านั้น

และที่ต้องพูดถึงคือเวอร์ชัน Z-Tune ซึ่ง NISMO เกิดไอเดียนำเอา R32 V-Spec II มาอัพเกรดเครื่องยนต์ให้แรงแบบตัวแข่งในปี 2003 ได้เป็นเครื่องยนต์รหัส RB28DETT Z1 กับพละกำลัง 500 แรงม้า รถทั้งคันถูกรื้อออกจนหมด เพื่อทำการเสริมความแข็งแกร่งให้ Chassis เพื่อรองรับแรงบิดที่เพิ่มมากขึ้น พร้อมเสริม Carbonfiber ในจุดสำคัญ ๆ ออกแบบช่วงล่าง ระบบส่งกำลัง เกียร์ และอีกมากมายเพื่ออัพเกรดให้ดีที่สุดทุกจุด จากนั้นจึงค่อย ๆ ประกอบใหม่แบบ Handmade ทั้งคัน โดยมี R34 Z-Tune ผลิตออกมาเพียงแค่ 19 คันในโลก

เป็นอีกครั้งที่คนทั้งโลกต่างตั้งตารอว่า Nissan จะสามารถสร้างอะไรที่สมบูรณ์แบบยิ่งกว่าตำนานอย่าง R34 ได้ ในยุคที่เพื่อนร่วมตำนาน Iconic JDM ร่วมประเทศกลับออกแบบรถ Generation ใหม่ไม่น่าสนใจเท่ากับรถในยุค 90’s ของตัวเอง แต่ไม่ใช่กับ Nissan ซึ่งได้พิสูจน์ให้เห็นความเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีและงานดีไซน์ ในปี 2007 Nissan สามารถก้าวข้ามคำว่าดีที่สุดด้วยการเปิดตัวรถรหัสใหม่ล่าสุด CBA-R35 Nissan GT-R ซึ่งแยกตัวออกจากกตระกูล Skyline อย่างสิ้นเชิง แม้จะเก็บ Signature ไฟโดนัทคู่เอาไว้ แต่รายละเอียดอื่น ๆ ถือว่าเป็นการออกแบบใหม่ทั้งหมด

ความเป็น Iconic ของ R35 คือการเป็นรถสปอร์ตจากญี่ปุ่นที่ยังคงคอนเซปต์ “Godzilla” พร้อมสามารถเอาชนะ Supercars ที่มีราคาเป็น 2 เท่าของมันได้ไม่ยาก จนได้ฉายาว่าเป็น “Supercar-Killer” รวมถึงดีไซน์หน้าตาที่ออกแบบได้มีเสน่ห์ไม่เป็นสองรองใครและไม่มีใครเหมือน ถึงแม้จะมีขนาดรูปร่างที่ใหญ่โตกว่า R34 ในทุกด้าน แต่ก็มาพร้อมสมรรถนะที่ดีกว่า เพียบพร้อมด้วยความทันสมัยของเส้นสายและเทคโนโลยี

นี่เป็นครั้งแรกที่เครื่องยนต์ RB26DETT ถูกแทนที่ด้วยบล็อกเครื่องยนต์ใหม่ล่าสุด VR38DETT 3.8-liter V6 Twin-Turbo 485 แรงม้า ซึ่งเครื่องยนต์บล็อกนี้มีความพิเศษมากกว่าเครื่องยนต์ทั่วไป และไม่ใช่ใครก็สามารถแตะต้องมันได้ แต่ละขั้นตอนการผลิตต้องอาศัยความแม่นยำ ความละเอียดในระดับที่เครื่องจักรทำไม่ได้ จึงต้องเป็นฝีมือการผลิตแบบ One Man, One Engine ประกอบด้วยมือโดย 5 ผู้เชี่ยวชาญของทีมช่าง Nissan ซึ่งถูกเรียกว่า “Takumi” หรือ “Master Craftsman” เท่านั้น แต่ละเครื่องจะมีชื่อระบุชื่อ Takumi ผู้สร้างแต่ละเครื่องเอาไว้ด้วย

แม้หลายคนจะมองว่า Nissan GT-R มีแรงม้าเหลือเฟือแล้ว แต่ผ่านไปไม่นานก็ถูกนำมาจูนปรับปรุงระบบอากาศของเครื่องยนต์ในรุ่น Facelift ใหม่จะได้กำลังเพิ่มขึ้นเป็น 552 แรงม้าในปี 2011

เท่านั้นยังไม่พอ ในปี 2014 ยังถูกเพิ่มพละกำลังเข้าไปกลายเป็น 600 แรงม้าใน Nissan GT-R Nismo edition สุดโหดของรุ่น ที่ทั้งแรง แพง และพิเศษสุดในซีรีส์ R35 ทำเวลา 0-100 km/h ใน 2.5 วินาที แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาที่ไร้ขีดจำกัด และเป็นรถยนต์ที่สามารถทำได้เกินความคาดหมายของคนทั้งโลกอยู่เสมอ

แม้พวกเราอาจจะเคยได้สัมผัสประสบการณ์การขับขี่หรือครอบครอง Nissan Skyline GT-R หรือ Nissan GT-R ผ่านเกมส์ Racing มามากมาย แต่คงจะยากที่เราจะหาโอกาสได้ใกล้ชิดกับ Nissan Skyline GT-R แบบครบ ๆ

อย่าปล่อยให้มันเป็นเพียงความฝัน วันนี้เราสามารถทำให้ฝันนั้นเป็นจริงได้ในงาน The Iconic Party ที่เรารวบรวมทุกความ Iconic เอาไว้ในค่ำคืนเดียว ไม่ว่าจะเป็นรถ Iconic อย่าง Nissan Skyline GT-R ทั้ง R32, R33, R34, R35 รวมถึง Nissan LEAF ทั้ง Generation ที่ 1 และ 2 พร้อมดนตรีจาก Iconic Rapper KHan Thaitanium กับเพลงพิเศษที่แต่งเพื่อ Rap ในงานนี้เท่านั้น ตามด้วยดนตรีสุดมันส์โดย MEYOU x Ziggavoy x DJ Tul Apartment Khunpa และปิดท้ายด้วย After Party โดย DJ Marmosets

สามารถเข้าไปร่วมกิจกรรมเพื่อเข้าร่วมงาน The Iconic Party ได้ที่ : bit.ly/2ZRjM4c

 

Chaipohn
WRITER: Chaipohn
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line