Entertainment

บทเพลงของ Oasis กลับมาทวงบัลลังก์แชมป์ Best of British จากการโหวตของคนฟังทั่วเกาะอังกฤษ  

By: unlockmen April 13, 2021

เป็นธรรมเนียมไปแล้วในทุก ๆ ปี สำหรับรายการวิทยุที่ทรงอิทธิพลแห่งเกาะอังกฤษ ที่จะเผยลิสต์ 100 อันดับเพลงสหราชอาณาจักรยอดเยี่ยมตลอดกาล โดยการโหวตจากผู้ฟังกว่า 20,000 คน ซึ่งปีนี้บทเพลงวัยรุ่นตลอดกาล Live Forever ของพี่น้องปากมันแห่งยุค 90s ได้กลับมาขึ้นแท่นอันดับ 1 อีกครั้ง หลังจากเสียแชมป์ให้กับ Bohemian Rhapsody ของวงราชันย์แห่งราชินีไป 2 ปีซ้อน

Radio X คลื่นวิทยุชื่อดัง ที่ก่อตั้ง ณ กรุงลอนดอนมาตั้งแต่ปี 1992 ในชื่อ XFM ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามเป็น Radio X เมื่อปี 2015 ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอดนับตั้งแต่ยุค Britpop เรืองรอง โดยปัจจุบันปรับเปลี่ยนรูปแบบนำเสนอแนวทางดนตรีที่หลากหลาย ตามการเปลี่ยนแปลงของแนวดนตรี

ถึงแม้การเข้ามาแทนที่ของสตรีมมิ่งดนตรีจะมีบทบาทเหนือรายการวิทยุไปแล้ว แต่ Radio X ก็ยังยืนหยัดที่จะต่อลมหายใจของดนตรีแห่งสหราชอาณาจักร โดยเฉพาะการจัดอันดับความนิยมของดนตรีจากฟากฝั่งยูเค ที่จัดประจำทุก ๆ ปีมาตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมา เพื่อแสดงให้เห็นความยืนยงของซีนดนตรี Britpop ที่ถือกำเนิดมาพร้อมๆกันกับ Radio X และยังได้รับความนิยมอย่างไม่เสื่อมคลาย

Oasis ยังเป็นวงขวัญใจตลอดกาล

แม้ 2 พี่น้อง Gallagher จะไม่มีทางคืนดีกันในอนาคตอันใกล้ แต่ Oasis ก็ยังครองใจคนฟังเพลงอย่างเหนียวแน่นกับ 16 เพลงที่ติดเข้ามาในลิสต์ Top 100 นี้ โดยมีเพลง Stand by Me เข้าอันดับมาใหม่ (อานิสงส์จากโฆษณาทีวีธนาคาร Halifax ที่แพร่ภาพเมื่อเดือนก่อน) ส่วนอันดับ 2 ที่ตามมาติด ๆ ก็คือ Arctic Monkeys ที่มีเพลงติดในลิสต์ถึง 12 เพลง

เพลงเก่าที่สุดที่ติดในลิสต์คือเพลง Paint It, Black ของคณะหินกลิ้ง The Rolling Stones ที่เป็นเพลงในปี 1966 ส่วนเพลงใหม่ล่าสุดที่ติดในลิสต์คือเพลงของคู่หูอินดี้ร็อค Royal Blood เพลง Typhoons เพลงของปีนี้ที่อัลบั้มของพวกเขาจะออกในเดือนพฤษภาคม

ยุค 90s ยังคงติดอันดับเยอะสุด

ส่วนยุคสมัยที่ยังอยู่ในความสนใจของคนฟัง Radio X ยังคงเหนียวแน่นที่ยุค 90s ด้วยจำนวน 38 เพลง โดยมีวง Trip Hop ในตำนานอย่าง Skunk Anansie เข้าชาร์ตมาใหม่ รองลงมาคือยุค 2000s ที่มี 20 เพลง  แสดงให้เห็นว่า คน Generation X และ Y ยังคงเหนียวแน่นในการฟังรายการวิทยุอยู่ โดยปีที่มีเพลงติดในลิสต์มากที่สุดคือปี 1995 ซึ่งตรงกับยุคสมัยเรืองรองของ Britpop Era พอดี แสดงให้เห็นว่ายังเป็นยุคสมัยที่คนฟังเพลงโหยหามากที่สุด

แต่ถึงกระนั้นการกระจุกอยู่เพียงไม่กี่วงก็ยังเป็นปัญหาสำหรับลิสต์นี้ในทุก ๆ ปี ที่ทุกคนจะทวงถามว่า วงอย่าง Blur / Elastica / Manic Street Preachers / The Chemical Brothers / Suede นั้นไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมพอที่จะติดอันดับหรืออย่างไร และในขณะที่ Oasis ติดถึง 16 เพลง แต่กลับไม่มีเพลงจากงานเดี่ยวของทั้งคู่ติดในลิสต์สักเพลงเดียว

ดังนั้นพูดได้อย่างไม่ผิดนักว่า ลิสต์นี้อาจจะไม่สามารถบ่งชี้ถึงความยอดเยี่ยมของบทเพลง มากไปกว่าการรวมบทเพลงฮิตที่เราเติบโตมา เคยใช้เพลงนี้เพื่อเข้าห้องซ้อม ไปจนถึงใช้เพลงเพื่อบอกรักใครสักคน ก็นับได้ว่าบทเพลงเหล่านี้ก็มีคุณูปการยิ่งใหญ่สำหรับชีวิตของเราแล้ว


เรามาทำความรู้จักกับบทเพลง Top 10 ที่น่าสนใจในชาร์ตนี้กัน เชื่อว่ามีเพลงใหม่ ๆ จากฝั่ง UK ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้จักแน่นอน

10. Nothing But Thieves – Impossible (2020)

บทเพลงบัลลาดในอัลบั้มล่าสุด Moral Panic ของวง 5 ชิ้น ที่ร้อนแรงแซงทุกเพลงในการเปิดออกอากาศในจำนวนถี่ที่สุดที่วงเคยได้ทำมา บทเพลงรักในเชิงบวกสร้างทั้งความหวังและความศรัทธาที่มาในช่วงเวลาที่โลกเกิดวิกฤตนี้ บวกกับท่วงทำนองยิ่งใหญ่อลังการ ทำให้บทเพลงนี้เป็นเสมือนแสงแห่งความหวังที่นำพาให้ใครต่อใครยืนหยัดต่อไปในวันหน้าเพื่อกอบกู้สิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ในช่วงเวลาอันใกล้ ไม่ว่าจะเป็นโลกที่กำลังผุพัง หรือความเกลียดชังที่คุกคามมนุษยชาติ ได้เป็นอย่างดี


9. The Stone Roses – I Am the Resurrection (1992)

บทเพลงสุดท้ายในอัลบั้มแรกของกุหลาบหินที่กลายเป็นตำนานอมตะยืนยงดังเช่นชื่อเพลง แม้จุดเริ่มต้นจะมาจากความเกรียนในวัยเยาว์ของพวกเขาที่ลองนำเพลง Taxman ของ The Beatles มาเล่นย้อนหลัง กลับกลายเป็นบทเพลงมหากาพย์ยิ่งใหญ่ของโลกใบนี้ ด้วยการตั้งคำถามเกี่ยวกับชีวิต / จุดสิ้นสุดของมนุษย์อยู่ที่ตรงไหน / และถ้าเราสามารถฟื้นคืนชีพได้จะเป็นเช่นไร บทเพลงที่นำคำสอนทางคริสต์ศาสนามาแปรเป็นบทเพลงที่กาลเวลาไม่อาจพัดพาความยิ่งใหญ่ลงได้ และเหตุผลน่าจะเป็น Outro ของเพลงด้วยการบรรเลงด้วยเวลากว่า 4 นาที ทำให้เพลงนี้คืนชีพความเยาว์วัยในหัวใจของเราไปตลอดกาล


8. Oasis – Slide Away (1994)

จากว่าที่ซิงเกิ้ลลำดับ 5 ของอัลบั้ม Definitely Maybe แต่ Noel Gallagher กลับปฏิเสธที่จะตัดเป็นซิงเกิ้ลด้วยเหตุผลว่า “มันไร้สาระที่อัลบั้มเปิดตัวจะมีตั้ง 5 ซิงเกิ้ล” (เหตุผลอะไรของมัน) แต่ถึงกระนั้นแม้จะไม่ได้ถูกตัดมาโปรโมท แต่ความยอดเยี่ยมของเพลงก็ทำให้เพลงนี้ติดอันดับในใจ ไม่ว่าจะเป็นการริฟฟ์กีตาร์ระดับเทพของ Noel เอง หรือการร้องของ Liam Gallagher ที่แม้แต่ผู้พี่ยังเอ่ยปากชมว่า “เพลงนี้น้องผมแม่งร้องดีว่ะ”

บทเพลงมาจากความสัมพันธ์ลุ่ม ๆ ดอน ๆ ตลอด 6 ปีระหว่าง Noel และอดีตแฟนของเขาอย่าง Louise Jones นี้มีที่มาอันน่าทึ่งว่า ช่วงเวลานั้น Noel เคยบ่นออกสื่อในช่วงที่เขาเป็นดาวรุ่งของร็อคสตาร์ว่าเขามีกีตาร์อยู่ไม่กี่ตัว และ Johnny Marr มือกีตาร์ของ The Smiths ได้ดูบทสัมภาษณ์นั้นพอดี รุ่งขึ้นเขาส่งกีตาร์ Gibson รุ่น Les Paul ให้ Noel ซึ่งตัวนี้ใช้ทำอัลบั้มคลาสสิคอย่าง The Queen is Dead หลังจากเขาได้รับกีตาร์เทพตัวนั้นเขาก็บรรจงเขียนเพลงยิ่งใหญ่อย่าง Slide Away ทันที


7. Arctic Monkeys – 505 (2007)

หนึ่งในเพลงรักหวานฉ่ำ และนับเป็นเพลงรักเพลงแรกของคณะลิงขั้วโลกที่ Alex Turner บรรจงเขียนระหว่างที่นั่งเบื่อเซ็ง ๆ อยู่ในห้องพักโรงแรมกับอดีตแฟนสาวของเขาหลังจากทะเลาะกันจนเบื่อกันไปข้าง มันทำให้ Alex นึกไปถึงบ้านเกิดที่เมืองเชฟฟิลด์ และการเข้าพักกายพักใจในห้อง 505

เพลงที่เชื่องช้าในช่วงต้น ซึ่งนำเสียงออร์แกนธีมจากหนังเรื่อง The Good The Bad And The Ugly ของ Ennio Morricone มาใส่ก่อนระเบิดพลังร็อคในช่วงท้ายนี้ ได้เพื่อนซี้ Miles Kane มาร่วมโซโล่กีตาร์ให้ ก่อนทั้งคู่จะจับมือร่วมกันทำโปรเจกต์วงในชื่อ The Last Shadow Puppets บทเพลงดุเดือดในอัลบั้ม Favourite Worst Nightmare นี้ แม้จะไม่ได้ตัดออกมาเป็นซิงเกิ้ล แต่ก็เป็นอีก 1 บทเพลงที่แฟนๆ Arctic Monkeys เรียกร้องให้เล่นในคอนเสิร์ตอยู่เสมอ


6. Amy Winehouse – Back To Black (2006)

หนึ่งเดียวของศิลปินสาวที่ติด Top 10 ของลิสต์นี้ แม้เจ้าของเพลงจะจากไปเกือบครบ 10 ปีแล้วก็ตาม บทเพลงรักสะบั้นที่ได้แรงบันดาลใจจากความสัมพันธ์อันแหลกสลาย ระหว่าง Amy Winehouse กับ Blake Fielder-Civil แฟนหนุ่ม ที่ทิ้งเธอกลับไปหาแฟนเก่า มันจึงเต็มไปด้วยความเศร้าฟูมฟายและกลายเป็นบทเพลงที่สะท้อนความชอกช้ำของหัวใจอันแสนร้าวรานของเธอ ท่ามกลางดนตรี Soul ในแบบ Old School ที่ Amy และ Mark Ronson กลั่นความเจ็บปวดจนกลายเป็นบทเพลง

โดย Black ในชื่อเพลงนี้ มีหลายคนตีความว่ามันคือเฮโรอีน บ้างก็ว่ามันคือความมืดดำหดหู่ในจิตใจจนทำให้เธอกลายเป็นโรคซึมเศร้าและกลายเป็นโรคติดสุราเรื้อรัง แต่จะตีความไปทางไหน Amy ก็ได้จากไปพร้อมการแบกรับช่วงชีวิตอันโหดร้ายนี้ตราบจนวันสุดท้ายของชีวิต Back to Black จึงเป็นเสมือนอนุสรณ์แห่งความชอกช้ำที่เป้นหลักฐานทางประวัติศาสตร์น้ำตาที่จะยังคงอยู่คู่โลกใบนี้ตราบนานเท่านาน


5. The Courteeners – Not Nineteen Forever (2008)

บทเพลงแห่งการสรรเสริญความเป็นวัยรุ่น และความเมามายของชาวอังกฤษ กลายเป็นบทเพลงที่ชาวอังกฤษต่างเทใจ ท่ามกลางความงวยงงของวงระดับกลางๆอย่าง The Courteeners ที่ไม่เคยมีเพลงดังระดับนี้อีกเลยหลังจากนั้น

จากบทเพลงที่ฟรอนต์แมนของวง Liam Fray พยายามจะแกะคอร์ดเพลง Someday ของ The Strokes ในห้องนอน แต่สุดท้ายมันก็ไม่สำเร็จ แต่กลับกลายเป็นบทเพลงนี้แทน เนื้อหาเล่าเรื่องราวของหนุ่มน้อยที่มีแฟนสาวที่อายุมากกว่า โดยเธอพยายามห้ามปรามไม่ให้แฟนเด็กของเธอเมามาย แม้สุดท้ายช่วงเวลาวัยรุ่นเป็นวัยแห่งความบ้าบิ่น แต่เราก็ไม่สามารถจะคงอายุ 19 ไว้ตลอดกาล บทเพลงที่ทั้งเตือนสติและโหยหาช่วงเวลานี้กลายเป็นเพลงชาติของชาวเยาว์รุ่นทุกคน ที่อยากจะเซฟช่วงเวลาแห่งความสดใสนี้ไว้ให้นานที่สุดนั้นเอง


4. The Verve – Bitter Sweet Symphony (1997)

มหากาพย์แห่งชีวิตของชาว Britpop ที่ Richard Ashcroft กล่าวถึงช่วงเวลาอันแสนน่าเบื่อหน่ายเมื่อเงินไม่ใช่คำตอบทุกอย่างสำหรับความสุข โดย Richard เขียนจากประสบการณ์ที่เขาได้พบเจอในวัย 11 ปี พ่อของเขาทำงานจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิตด้วยเลือดออกในสมอง มันจึงเป็นเพลงที่บ่งบอกความเสรีของชีวิตเมื่อมันมีวิธีหลากหลายที่หาความสุขได้โดยไม่มีเรื่องเงินมาเกี่ยวข้อง ขณะเดียวกันมันก็เป็นลมหายใจเข้าออกของบทเพลงแห่งยุคสมัยในเวลาเดียวกัน

แต่น่าเสียดายที่กว่า The Verve จะได้ชื่นชมความหอมหวนของความสำเร็จนี้ก็ต้องใช้เวลาถึง 22 ปี เมื่อท่อนเปิดออร์เคสตร้านั้น วงได้ใช้ sampler ของวง Andrew Oldham Orchestra ซึ่งวงนั้นได้นำบทเพลง The Last Time ของ The Rolling Stones มาอีกทีโดย The Verve ไม่รู้ เขาจึงต้องทุกข์ทนกับการแบ่งรายได้และความสำเร็จส่วนหนึ่งให้กับ The Rolling Stones มาตลอด จนกระทั่ง Richard ร้องขอกับ Mick Jagger และ Keith Richards เพื่อให้บทเพลงนี้กลับเป็นของ The Verve โดยสมบูรณ์จึงได้ครอบครองบทเพลงมหากาพย์หวานขมนี้ในปี 2019 จึงกลายเป็นอีก 1 บทเพลงประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่แห่งยุค 90s อย่างแท้จริง


3. Oasis – Champagne Supernova

อีกหนึ่งบทเพลงมหากาพย์ของ Oasis ที่หลายคนชื่นชอบในความไพเราะและเนื้อร้องที่เรียงร้อยราวบทกวี แต่ที่มาของมันกลับไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรเลย เมื่อ Noel Gallagher ดูสารคดีแชมเปญ และเผลอไปจำสับสนกับชื่ออัลบั้ม Bossanova ของ Pixies (ไม่งั้นคงได้ชื่อ Champagne Bossanova แหงๆ) ส่วนการตีความอันหลากหลายของเนื้อหาของเพลงนั้น Noel ได้กล่าวว่า “มันเท่จะตายถ้าคน 60,000 คนจะตีความหมายนี้ไป 60,000 แบบ ไม่เห็นจะต้องไปแคร์ห่าอะไรเลยว่าเพลงมันจะหมายความว่ายังไง…ก็กูแต่งเพลงนี้ตอนไฮสุด ๆ นี่หว่า”

และถึงแม้เพลงที่ยากจะตีความหมายนี้ จะเป็นที่งวยงงของคนฟังในความหมาย แต่ในความไพเราะและความยอดเยี่ยมนั้น เพลงนี้ได้เปิดประตูพาวงเดินทางสู่แผ่นดินอเมริกาได้สำเร็จ จากการพาเพลงขึ้นอันดับ 1 Billboard ชาร์ต Modern Rock ได้สำเร็จ มันจึงเป็นเพลงยิ่งใหญ่ที่ทำให้คนทั้งโลกได้รู้จักวงนี้อย่างเป็นทางการ ขณะเดียวกันมันก็มั่วซั่วจนกลายเป็นความคลาสสิคได้เช่นกัน

และที่ฮายิ่งกว่าคือช่วงเวลาของการกักตัวในช่วงโควิดปีที่แล้ว Liam Gallagher น้องชายสุดแสบก็ทำการอัดคลิปร้องเพลงนี้ประกอบการล้างมือและแปลงเพลงมันว่า Champagne Soapernova เสียเลย


2. Queen – Bohemian Rhapsody (1975)

ในที่สุด บทเพลงยิ่งใหญ่ของคณะ Queen ก็เสียแชมป์ร่วงหล่นมาอันดับที่ 2 อาจจะเพราะกระแสของหนัง Bohemian Rhapsody นั้นสุกงอมเต็มที แต่ถึงอย่างไรก็ดี บทเพลงแห่งความดื้อดึงของ Freddie Mercury ที่ตั้งใจจะแหวกกระแสของเพลงร็อคในยุคนั้น ก็ยังเป็นความยิ่งใหญ่และความภาคภูมิใจของชาวอังกฤษอย่างไม่เสื่อมคลาย และเราก็เพิ่งจะเสนอข่าวความสำเร็จระดับ Diamond ของเพลงนี้ที่สร้างความยิ่งใหญ่ข้ามน้ำข้ามทะเลไปสร้างประวัติศาสตร์ที่อเมริกาเป็นวงแรกได้สำเร็จ จึงขอเรียนเชิญทุกท่านตามอ่านเกร็ดของเพลงนี้อย่างละเอียดที่ตรงนี้ได้เลย https://www.unlockmen.com/bohemian-rhapsody-of-queen/


1. Oasis – Live Forever (1994)

และมาถึงบทเพลงอันดับ 1 ที่เคยยืนยงบนจุดสูงสุดในลิสต์ Best of British ปี 2018 ก่อนจะถูกโค่นลงจากกระแสความแรงของหนัง Queen และบัดนี้มันได้กลับขึ้นมาอันดับ 1 อีกครั้ง แน่นอนว่ามันคือลมหายใจของคนยุค 90s ที่โหยหาจุดมุ่งหมายของชีวิต ผ่านบทเพลงที่ให้กำลังใจอันยิ่งใหญ่ ที่ Noel ได้แสดงความเป็นอัจฉริยะทางการแต่งเพลงให้เป็นที่ประจักษ์แก่น้องของเขาในตอนที่พวกเขาเพิ่งตั้งวงใหม่ ๆ

ตอนนั้น Noel ยังเป็นแค่เด็กยกเครื่องดนตรีให้กับวง Inspiral Carpets โดยช่วงเวลานั้นเพลงกรันจ์ของ Nirvana ยังเป็นกระแส ที่บทเพลงเหล่านั้นมักพูดถึงเรื่องความตายกัน เฮีย Noel เลยแทงสวนด้วยการบอกว่า “กูไม่อยากตายโวย กูอยากเป็นอมตะ” ซึ่งบทเพลงนี้ก็ส่งผลให้คนอังกฤษรู้จักวงนี้อย่างเป็นทางการ ปลุกจิตวิญญาณของคนในยุคนั้นให้ลุกโชนไปด้วยแรงบันดาลใจอย่างแรงกล้า หนึ่งในนั้นก็คือตัว Noel เองที่สารภาพว่า

“สมัยก่อนเฮียเองแม่งไม่มีเป้าหมายห่าเหวในชีวิตสักเท่าไหร่ แต่พอเขียนเพลงนี้และใครต่อใครต่างพากันชอบอกชอบใจ เฮียก็เลยคิดว่า เพลงๆนี้มันช่วยให้เฮียตระหนักได้ว่า กูจะต้องเป็นศิลปินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกให้จงได้”

ซึ่งคงไม่ผิดเพี้ยนไปจากที่พูดสักเท่าไหร่ เพราะบทเพลงนี้ก็ยิ่งใหญ่สมคำร่ำลือจริงๆ

ส่วนปัจจุบันเมื่อถามความรู้สึกของ Noel ว่ารู้สึกอย่างไรบ้างที่เพลงนี้กลับมาครองแชมป์ ป๋าได้แต่ตอบสั้นๆว่า “เยี่ยมมากที่ได้เห็นเพลงนี้กลับมาขึ้นมาเป็นอันดับ 1 อีกครั้ง ในฐานะบทเพลงที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับรอยสักมากมายตามแขนของพวกเด็กๆยุค 90s จนถึงเด็กรุ่นนี้ ป่ารู้สึกดีใจมาก”

เรามาคอยดูกันในปีหน้าว่าบทเพลงนี้ จะยืนยง Forever หรือไม่ สำหรับคนที่อยากเช็ค 100 อันดับแบบเต็มไปก็เชิญเช็คได้ที่Playlist นี้เลย
https://www.globalplayer.com/playlists/8bMT/

 

unlockmen
WRITER: unlockmen
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line