Entertainment

บทเพลง Bohemian Rhapsody ของ Queen สร้างปรากฏการณ์ผ่านหลัก 10 ล้าน วงแรกของ UK ที่กระหึ่มอเมริกา

By: unlockmen April 1, 2021

แม้กาลเวลาจะผันผ่านไปกว่า 40 ปีแล้ว แต่บทเพลงยิ่งใหญ่อย่าง “Bohemian Rhapsody” ก็ยังสร้างสถิติใหม่ไม่หยุดยั้ง ล่าสุดข้ามน้ำข้ามเกาะอังกฤษ ไปสร้างสถิติที่อเมริกาด้วยการสร้างยอดขายและสตรีมระดับ Diamond Single ได้สำเร็จเป็นวงแรกของสหราชอาณาจักร โดยการรับรองจาก RIAA หรือ Recording Industry Association of America ด้วยยอดจำหน่ายและการดาวน์โหลดรวมกันได้ถึง 10 ล้านหน่วย

“นี่เป็นข่าวที่น่าเหลือเชื่อ ในบางครั้งเช่นนี้ฉันต้องหยิกตัวเองเพื่อให้แน่ใจว่ามันเป็นของจริง” Brian May มือกีตาร์ระดับตำนานแสดงออกถึงความดีใจที่บทเพลงที่อายุอานามกว่า 4 ทศวรรษรวมไปถึงเจ้าของบทเพลงอย่าง Freddie Mercury ก็จากโลกใบนี้ไปครบ 30 ปีแล้ว UNLOCKMEN จึงขอพาคุณย้อนไปสู่การเดินทางอันแสนอหังการ์ และมาวิเคราะห์กันว่า เพราะอะไรบทเพลงนี้กลายเป็นบทเพลงอมตะจวบจนปัจจุบันกัน

บทเพลงแห่งการปฏิวัติวัฒนธรรมร็อค

หลังจากที่ Queen ประสบความสำเร็จจากอัลบั้ม Sheer Heart Attack อัลบั้มชุดที่ 3 ของพวกเขา Freddie Mercury ก็เริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายกับภาพลักษณ์ของวงร็อคที่ซ้ำซากจำเจในยุคนั้น ที่เต็มไปด้วยความแข็งแกร่งแข็งกร้าวบึกบึน แต่ไร้ซึ่งจิตวิญญาณ Freddie รู้สึกว่าเพลงร็อคควรไปไกลกว่านั้น และมันควรเชื่อมโยงดนตรีแนวอื่นๆได้ เขาจึงเรียบเรียงความคิดอันซับซ้อนของเขาแปรมาเป็นบทเพลงๆนี้ ที่เขาเรียกมันว่า Opera Rock

Freddie เริ่มจรดบทเพลงที่มีอยู่ในหัวมาเนิ่นนานผ่านเปียโนคู่ใจ ทุกคนที่ได้ยินมันในครั้งแรกต่างหลงเคลิ้มในไพเราะของบทเพลงที่ Freddie เรียกเพลงนี้คร่าวๆว่า “The Cowboy Song” หรือ The Real Life ทุกคนมองว่าเพลงนี้จะยิ่งใหญ่ในอนาคตอย่างแน่นอน แบบเดียวกับที่ The Beatles ทำได้กับเพลง “Hey Jude” The Beach Boys ทำได้กับ “Good Vibrations” ที่บรรเลงจากเปียโนเช่นกัน

และด้วยโครงสร้างที่มันไม่ร็อคเอาเสียเลย มันจึงเป็นจุดเริ่มต้นแห่งมหากาพย์ของบทเพลงที่ยิ่งใหญ่ ที่รวม 5 องค์ประกอบของบทเพลงไปด้วยกัน นั่นก็คือ “การอินโทรด้วยเสียงประสาน / เนื้อเรื่องที่เล่าในเชิงบัลลาด / การเร่งเร้าด้วยเสียงออร์เคสตร้า / การโซโล่กีตาร์แบบฮาร์ดร็อค และ เสียงสะท้อนอันทรงพลัง ซึ่งโครงสร้างอันแสน Epic นี้ไม่อาจจะเก็บรายละเอียดได้หมดภายใน 3 นาทีตามแบบฉบับของดนตรีที่จะค้าขายได้อย่างแน่นอน แม้กระทั่ง Elton John ได้ยินเพลงนี้ก็ยังตกใจว่าสถานีไหนเขาจะเปิดเพลงนรกที่ความยาวเกือบ 6 นาทีนี้ แต่ Freddie ก็ดื้อรั้นที่จะผลักดันบทเพลงที่ท้ายที่สุดบรรจุไว้ที่ความยาว 5.55 นาที โดยใช้แต้มต่อทางชื่อเสียงที่กำลังขึ้นของพวกเขาข่มขู่กับทางค่ายว่าหากเพลงนี้ไม่ได้ออกในฉบับเต็มก็อย่าหวังว่าจะได้เห็นพวกเขาอยู่กับค่ายนี้อีกเลย ค่ายถึงยอมเสี่ยงดวงดู

ซึ่งต้องขอบคุณในความแข็งกร้าว ยอมหักไม่ยอมงอของ Freddie Mercury ที่ทำให้บทเพลงนี้กลายเป็นหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ดนตรีร็อคในกาลต่อมา

บทเพลงส่วนตัว ประกาศก้องเพื่อส่วนรวม

ปกติแล้ว การทำงานเพลงของ Queen นั้นจะเป็นการร่วมแรงร่วมใจของสมาชิกในวง หากแต่ Bohemian Rhapsody นั้น Freddie ขอเป็นคนวางพิมพ์เขียวของบทเพลงๆนี้เอง ซึ่งมันฝังอยู่ในหัวของเขามาเนิ่นนานนับตั้งแต่ยุค 60s เนื่องจาก Freddie เติบโตในครอบครัวที่เคร่งศาสนา แต่ความเป็นร็อคสตาร์ของเขาก็ช่างขัดกับความเชื่อของครอบครัว ขณะเดียวกันความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขากับแฟนสาว Mary Austin ก็เริ่มจืดจาง เมื่อเขารู้ตัวว่าเขาเป็นไบเซ็กช่วล Bohemian Rhapsody อาจจะมีการตีความหมายของบทเพลงที่หลากหลาย แต่เนื้อเพลงที่ว่า

“Mamaaa,

Just Killed a Man,

Put a Gun Against His Dead, Pulled My Trigger,

Now He’s Dead”

แม่จ๋าาาาา

ฉันเพิ่งฆ่าคนๆหนึ่ง

เอาปืนจ่อหัวเขา…แล้วลั่นไก

และตอนนี้เขาได้ตายไปแล้ว

เนื้อเพลงบทนี้ กำลังพูดถึงตัวตนที่เปลี่ยนไปของ Freddie เองที่เขาได้ฆ่า Freddie คนเก่าที่อยู่ในครอบครัวเคร่งศาสนาจนสิ้น ซึ่งบทเพลงนี้จึงกลายเป็นการประกาศตัวตนอย่างแรงกล้า และเป็นที่ประทับใจของเหล่าเพศทางเลือกที่ต้องจมจ่ออยู่กับความชอกช้ำในยุคที่ถูกปิดกั้นเรื่องเพศสภาพ อย่างยิ่งใหญ่และงดงาม จนมันกลายเป็นเพลงชาติอีกเพลงของเหล่า LGBTQ+ อีกเพลงเลยทีเดียว

แรกเริ่มนักวิจารณ์ชัง ภายหลังกลับกลายเป็นตำนาน

แม้ Bohemian Rhapsody จะได้รับการกล่าวขานอย่างยิ่งใหญ่ แต่ในช่วงต้น บทวิจารณ์ส่วนใหญ่กลับไม่ชื่นชอบบทเพลงนี้นัก ด้วยเหตุผลหลักๆคือ “เป็นมหากาพย์จอมปลอม” “ทะเยอทะยานจนเกินไป” “เป็นเพลง Epic ที่ดูแห้งแล้ง” “เป็นความซับซ้อนที่สูญเปล่า” “เพลงยาวจนขี้เกียจจะเปิดฟังมันซ้ำ” แต่แน่นอนว่าวง Queen หาได้แคร์ไม่ เมื่อสุดท้ายบทเพลงที่นักวิจารณ์ชังกลับปังในหมู่คนฟังเพลงและดีเจ ที่เปิดเพลงนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนสามารถครองอันดับ 1 ในบ้านเกิดได้นานถึง 9 สัปดาห์ และวนเวียนกลับเข้ามาในชาร์ทอีกหลายปี

ขณะเดียวกันที่นักวิจารณ์รุ่นใหม่ๆกลับให้ความสนใจกับบทเพลงที่ไร้กาลเวลาจนมันนำพาให้เป็นเพลงที่มักจะติดในลิสต์ตลอดกาลอยู่เสมอ จวบจนปัจจุบัน

การกลับมาอีกครั้งในรูปแบบภาพยนตร์ เรียกมหาชนรุ่นใหม่ให้กลับมาฟังอีกครั้ง

และปัจจัยสำคัญที่นำพาให้ Bohemian Rhapsody ได้กลับมาปัง คือการสร้างหนังประวัติของ Freddie และวง Queen ที่แรกเริ่มส่อเค้าลางของปัญหามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนทั้งนักแสดงและผู้กำกับกระทันหัน และตัวหนังเองก็มีปัญหาในแง่ของคุณภาพที่มีทั้งนักวิจารณ์ชัง และชอบในสัดส่วนเท่ากัน แต่ปลายทางของหนังก็ไม่ต่างกับตอนที่บทเพลงออกขาย เมื่อมันได้ใจคนดูที่ทั้งเติบโตทันดูคอนเสิร์ต Live Aid ในปี 1985 หรือว่าคนรุ่นใหม่ที่สนใจในบทเพลงอมตะ จนกลายเป็นหนังทำเงินสูงถึง 902 ล้านทั่วโลก จากทุนสร้างเพียง 52 ล้านเหรียญเท่านั้น และยังพาให้ Rami Malek คว้ารางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำฝ่ายชายยอดเยี่ยมไปครองอีกด้วย การที่หนังคว้าทั้งเงินและกล่อง ก็ส่งผลให้บทเพลงนี้กลับมาดังได้อีกครั้ง อย่างไม่ต้องสงสัย

และการที่คนฟังเพลงรุ่นใหม่ ได้ให้การต้อนรับบทเพลงอมตะนี้เอง ก็ส่งผลให้บทเพลง Bohemian Rhapsody ค่อยๆไต่อันดับความนิยมเป็นขั้นบันได จาก Gold ไปสู่ Platinum / Multi-Platinum และสูงสุดที่ Diamond ซึ่งนับเป็นบทเพลงอมตะเพลงเดียวที่ทำยอดขายดิจิตัลเกิน 10 ล้านหน่วย และยังสามารถไปได้ไกลกว่านี้ในอนาคต

“จากความฝันและความทะเยอทะยานของพวกเรา สิ่งเหล่านี้มันเหนือความคาดหมายอย่างมาก ขอขอบคุณทุกคนสำหรับทุกคนที่เชื่อมั่นในตัวเราตลอดหลายปีที่ผ่านมา” Brian May กล่าวทิ้งท้ายถึงความสำเร็จนี้

จากบทเพลงส่วนตัวที่ไม่มีวี่แววจะดัง กลับสร้างปรากฏการณ์อย่างยิ่งใหญ่ แม้เจ้าของเพลงจะจากไป แต่การทิ้งงานระดับมาสเตอร์พีซให้คนรุ่นหลังได้ฟังต่างหน้า จึงเหมาะสมแล้วที่วง Queen จะเป็นอมตะสมฉายา “ราชันย์ในนามราชินี” และจะยิ่งใหญ่เกรียงไกรแบบนี้ไปอีกตราบนานเท่านาน

SOURCE – NME / SONGFACTS / BUSINESS INSIDER

unlockmen
WRITER: unlockmen
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line