FASHION

ONE DAY WITH SMILE CLUB : จับเด็กฝึกงานมาเข้าแก๊งแฟชั่นสุดฮิปเพื่อปลดล็อคแง่มุมที่ทุกคนอาจไม่เคยรู้

By: Thada April 30, 2018

Smile Club หลายคนคงเคยได้ยินชื่อนี้ผ่านหูกันมาบ้าง หรือบางคนอาจเคยเห็นพวกเขาปรากฏตัวตาม Social Media พร้อมกับ Fashion Content เจ๋ง ๆ มากมาย จนอดสงสัยไม่ได้ว่าจริง ๆ แล้วพวกเขาคือใคร ?  ทำอะไรกัน ? และเหตุใดกลุ่มคนที่มี Passion ในการใช้ชีวิตคล้ายกันเหล่านี้จึงมาโลดแล่นอยู่ในกระแสต่าง ๆ อย่างไม่ขาดสาย แน่นอนว่าเราเองก็อยากหาคำตอบในเรื่องนี้เช่นกัน

ในเมื่อเป็น UNLOCKMEN หากจะทำอะไรต้องทำให้สุดและแตกต่าง จึงทำให้เกิดโปรเจกต์  “One Day With Smile Club”  เพื่อทำความรู้จักกับพวกเขา Smile Club ให้ถึงแก่น หากเป็นเพียงการพูดคุยกัน ก็คงได้แค่ถาม – ตอบกันตามปกติ  แต่ถ้าหากเปลี่ยนมาเป็นการเข้าไปใช้ชีวิตด้วยกันสักวันหนึ่ง ก็คงจะทำให้เข้าใจถึงตัวตนที่แท้จริงของกลุ่มคนเหล่านี้ได้ดีมากขึ้น

ซึ่งหวยก็ไปตกอยู่กับ “ต้าร์” เด็กฝึกงานหน้าละอ่อนในสังกัด UNLOCKMEN หนุ่มน้อยที่ไม่ได้ให้ความสนใจกับแฟชั่นเลย แถมยังคิดว่า Smile Club คือร้านขายของเล่นด้วยซ้ำ โดยต้าร์จะมียูนิฟอร์มยอดนิยมตัวเก่งเป็น เสื้อยืดสีเทา กางเกงยีนส์ และรองเท้าผ้าใบสีดำ ดังนั้นจึงอยากให้ผู้อ่านลองจินตนาการภาพกลุ่มคนซึ่งเต็มไปด้วย Passion เรื่อง เสื้อผ้า หน้า ผม ต้องมาฝึกสอนงานและเทรนเรื่องการแต่งตัวให้แก่วัยรุ่นที่ชอบเสื้อโทนเดียว แค่คิดก็ดูเป็นเรื่องที่น่าสนุกแล้ว และวันนี้เราจะพาชาว UNLOCKMEN ทุกท่าน ไปทำความรู้จักชาว Smile Club ผ่านมุมมองของต้าร์ไปพร้อม ๆ กัน

ต้าร์ เด็กฝึกงานจาก UNLOCKMEN ที่เตรียมจะมาใช้ชีวิตกับ Smile Club ในวันนี้

19 เมษายน เป็นวันที่พี่ ๆ ทีม UNLOCKMEN ได้นัดหมายผมให้เจอกับเหล่า Smile Club แม้โดยส่วนตัวผมจะไม่ได้ชอบแต่งตัว ไม่ได้สนใจแฟชั่นอะไรขนาดนั้น แต่ก็จำเป็นต้องลุยด้วยข้อเสนอที่ปฏิเสธไม่ได้ เพราะถ้าหากผมไม่ยอมไป พี่ที่เป็น Supervisor ได้ยืนยันเสียงแข็งว่าจะไม่ให้ผมผ่านการฝึกงานในครั้งนี้ โดยสถานที่นัดพบคือร้าน Smile Club Hair Diner ที่ตั้งอยู่บริเวณเวิ้งโบราณเอกมัยซอย 10 ผมเดินทางไปถึงร้านตั้งแต่เวลาเที่ยงตรง ด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าต้องมาถึงก่อนเวลาแน่นอน

แต่เมื่อเปิดประตูร้านเข้าไปก็พบว่าสมาชิก Smile Club ทุกคนกำลังรอต้อนรับผมอย่างพร้อมเพรียงอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งคนที่เข้ามาทักทายเป็นคนแรกคือ พี่ซันและพี่บุตร (ผู้ก่อตั้ง Smile Club) พร้อมกับแนะนำเพื่อน ๆ น้อง ๆ สมาชิก ไม่ว่าจะเป็น พี่ต้น, พี่ตาว, พี่นิว, พี่แบงค์  หลังจากทักทายและฝากเนื้อฝากตัวกันเรียบร้อยแล้ว พี่ซันและพี่บุตรก็เริ่มเล่าถึงจุดเริ่มต้นความเป็นมาของ Smile Club ให้กับผมได้ฟังเพื่อซึมซับความเป็น Smile Club ก่อนเริ่มงานในวันนี้

“จุดเริ่มต้นของ Smile Club คือตอนแรกที่พี่(ซัน)เริ่มตัดผม และอยากจะพัฒนาอาชีพนี้ ซึ่งตอนนั้นคนมองอาชีพตัดผมเป็นแค่การเข้าร้านของลูกค้าพอตัดเสร็จกลับบ้าน ช่างเองก็กลับบ้าน เหมือนกับใช้ชีวิตออฟฟิศปกติเลย แต่พี่กับบุตร โทนี่ คิดกันอีกแบบ พวกเขาคิดว่าตัวเองกำลังทำงานศิลปะและการเป็นช่างตัดผมต้องมีอย่างอื่นมากกว่านี้ไม่งั้นคงไม่สนุกกันพอดี”

“ต่อมาเมื่อพี่มีโอกาสได้ไปเที่ยวต่างประเทศ ก็ได้เห็นร้านตัดผมตามประเทศต่าง ๆ ที่มีเอกลักษณ์ความเป็นตัวเอง จึงเกิดความคิดว่าในประเทศไทยก็ควรต้องมีแบบนี้บ้างสิ เราเลยหาทีมช่างภาพ วิดีโอ กราฟิกมาทำงานร่วมกัน เพื่อให้เกิดกลุ่มคนที่ถนัดในแต่ละด้าน แล้วมาช่วยงานด้านตัดผมเป็นหลัก

มีการถ่ายรูปและวิดีโอลงไอจีตั้งแต่ยังไม่มีร้านเป็นของตัวเอง ซึ่งตอนนั้นต่างคนต่างยังทำงานประจำกันอยู่เลย แต่ตอนกลางคืนก็มาเติมเต็มชีวิตตัวเองด้วยการ ดีไซน์ถ่ายรูป วิดีโอลงโซเชียล ซึ่งก็เป็นอีกช่องทางในการแสดงผลงานออกมา โดยถ้าย้อนกลับไปดูไอจีสมายคลับช่วงแรก ๆ จะเห็นว่า มีการโชว์ตัดผมและโพสต์ออกไป และเริ่มทำให้ช่างตัดผมตามต่างประเทศรู้จักว่าเมืองไทยมีแก๊ง Smile Club ซึ่งมันคือกลุ่มที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ซึ่งมากกว่าแค่ร้านตัดผม”

หลังจากได้พูดคุยกันพอหอมปากหอมคอ พี่ซันเสนอกับผมว่า “เอ็งต้องเปลี่ยนลุคสักหน่อยเพื่อให้กลมกลืน”

ก่อนที่จะมอบหมายให้ พี่ต้น และ พี่ตาว  ช่างตัดผมประจำ Smile Club สาขาสยามมาช่วยละเลงฝีมืองานศิลปะบนหัวของผม ซึ่งการตัดผมที่นี่ใช้เวลานานพอสมควรเพราะแต่ละขั้นตอนพิถีพิถันจนสบโอกาสทำความรู้จักกับทั้ง พี่ต้น และ พี่ตาว ที่ทราบมาว่าแกทั้งสองเป็นช่างรุ่นแรกของร้าน Smile Club เลย

พี่ตาว และ พี่ต้น เล่าให้ฟังว่าจุดเริ่มต้นที่พวกเขาได้มาอยู่กับ Smile Club 

เริ่มจากตาวรู้จักกับซันอยู่แล้วตั้งแต่เด็ก ๆ เป็นคนพาซันไปสมัครเรียนตัดผมด้วยซ้ำ แล้วจากนั้นสองปีตาวจึงค่อยไปเรียนตัดผมแบบจริงจัง เพราะตอนแรกยังติดการเป็นทหารอยู่ เมื่อเรียนเสร็จ พอดีกับช่วงที่ซันเปิดร้านของตัวเอง จึงชวนมาช่วยอีกแรง” 

สำหรับต้น ก็มาอยู่ด้วยกันตั้งแต่เปิดร้านที่สยาม ซึ่งตอนนั้นมีแต่ต้นกับตาวสองคนคอยช่วยกันตัดในยุคเริ่มแรก

ส่วนเหตุผลที่ทำให้พวกพี่เขาอยู่ด้วยกันมาได้นานขนาดนี้ พี่ต้นและพี่ตาวขยายความว่า

“ที่อยู่เนี่ยเพราะรู้สึกผูกพัน ก็ทำด้วยกันตั้งแต่แรกกับซันแล้วค่อย ๆ โตมาอยู่ด้วยกันแบบพี่น้อง แถมบ้านอยู่ใกล้ซันอีกชีวิตนี้ไม่ต้องไปไหนแล้ว” (ขำ)

ส่วนพี่ตาวบอกว่า “ที่นี่อยู่กันด้วยใจซื้อใจล้วน ๆ พี่ไม่ได้ชอบแฟชั่นเหมือนคนอื่นนะ แต่ทุกอย่างที่ทำไม่ว่าจะแฟชั่น ทรงผม รอยสัก ไม่สำคัญเท่าต้องใช้ใจล้วน ๆ เพราะมีเยอะแค่อยากได้ลุค อยากเท่ ขอมาสมัคร Smile Club แต่จริง ๆ ไม่ได้รักมัน สุดท้ายก็อยู่ไม่นาน”  

ไม่นานนักพี่ ๆ ทั้งสองคนก็เปลี่ยนทรงผมบนหัวของผมเสร็จเป็นที่เรียบร้อยได้ทรงที่ต้องการ ขอบอกเลยว่าตอนสระผมเนี่ยสบายมากจนเผลอหลับไปเลยทีเดียว แถมยังแซวผมอีกว่า “หน้าม้าเอ็งตัดมาเบี้ยวนะ” จนผมแปลกใจว่าพวกเขารู้ได้อย่างไรว่าผมตัดหน้าม้าเอง

ขั้นตอนต่อไปคือเปลี่ยนเครื่องแบบให้เป็นสไตล์ Smile Club  ซึ่งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมจะได้มีโอกาสออกจากกรอบการแต่งตัวเดิม ๆ แม้จะไม่มั่นใจเลยก็ตาม แต่มาถึงนี่แล้วจะให้เสียเที่ยวไม่ได้  พี่ซันได้ให้พี่นิว ผู้อยู่เบื้องหลังงานอาร์ตและออกแบบสินค้าทั้งหมดของ Smile Club นำชุดมาให้ผม ซึ่งในมือกำลังถือเสื้อยืดที่เป็นของที่ระลึกจากจาก Smile Club (Smlie Club Custom) มาวัดความพอดี

พี่นิว กราฟิกดีไซน์ประจำกลุ่ม Smile Club ผู้อยู่เบื้องหลังสินค้าที่ระลึกของร้าน

พี่นิวเล่าถึงการเข้ามาอยู่กับ Smile Club โดยเริ่มจาก

“ตัวเองซึ่งเมื่อก่อนทำงานออฟฟิศ แต่มีงานหนึ่งที่มีโอกาสได้เจอซัน ซึ่งไปทำผมให้นายแบบ เลยได้พูดคุยกัน พี่ก็แนะนำตัวว่าเป็นกราฟิกดีไซเนอร์ และซันก็เล่าให้ฟังว่า อยากทำร้านตัดผมของตัวเอง แต่ไม่อยากทำให้มันเป็นแค่ร้านตัดผมอย่างเดียว อยากให้เป็น Culture ให้รู้สึกมากกว่าร้านตัดผม คุยกันไปมาแลกเปลี่ยนความคิดกันจนมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน 

โดยงานแรกทำเกี่ยวกับ Artwork Smile Club เป็นตัวไอคอน Local ของที่ระลึก พวกเสื้อ เข็มขัด หมวก มาเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะถุงเท้า ซึ่งส่วนใหญ่จะทำงานกันแบบ Friend and Family รู้จักใครก็ให้เขาช่วยเหลือ ติดต่องานแบบสบาย ๆ ไม่ได้เป็นธุรกิจหนัก ๆ มันเลยออกมาดูสนุก ตามสไตล์สมายคลับและทำให้พี่ชื่นชอบที่นี่เป็นอย่างมาก จนไม่เคยคิดว่ามาที่นี่เพื่อทำงาน”

เมื่อเตรียมเสื้อผ้า รองเท้ามาจนครบครัน ก็ถึงเวลาที่หัวเรือใหญ่ จะมาออกแบบการแต่งตัวของน้องใหม่อย่างผม บทสนทนาเรื่องแฟชั่นการแต่งตัวจึงเริ่มต้นขึ้น เมื่อผมถามถึงแนวทางการแต่งตัวและอยากรู้ว่ามันสำคัญกับ Smile Club มากแค่ไหน ซึ่งสิ่งที่ได้พูดคุยกับพี่ซันนั้นเป็นสิ่งที่เปลี่ยนทัศนคติของผมที่มีต่อการแต่งตัวไปเลย

พี่ซันบอกว่า

“เรื่องแฟชั่นเป็นเรื่องตามความคิดความรู้สึกของใครของมัน แต่สำหรับพี่คือรู้สึกมีความสุขกับการแต่งตัว และเมื่อได้ทำมันควบคู่ไปกับการทำงานยิ่งดีขึ้นไปอีก แต่อยากจะฝากเตือนวัยรุ่นว่า ชอบแต่งตัวอะไม่ผิดหรอก แต่ถ้าไม่อยากให้ใครมาว่า ก็ควรจะโฟกัสงานให้เท่าการแต่งตัว ทำควบคู่กันไป จะได้ไม่โดนด่าได้ว่าแต่งตัวไปวัน ๆ

การตัดผมมันเป็นงานที่มาพร้อมกับแฟชั่น การซื้อเสื้อผ้าใหม่มาสวมใส่เขาก็ได้แรงบันดาลใจใหม่ในการทำงานไปพร้อมกัน ซึ่งเห็นแต่งตัวสุดแหวกสุดแนวแบบนี้  ส่วนใหญ่ตัวเขาก็ดูมาตามอินเทอร์เน็ตเป็นหลัก และอีกหลายช่องทาง บางทีดูคนบนรถไฟฟ้าหรือเข้าร้านมาดูกันเอง ถ้าสไตล์ใครเข้าท่าหรือน่าสนใจก็ชวนกันลองใส่ดู จึงเหมือนกลุ่มก้อนของคนที่รักแฟชั่นอย่างทุกวันนี้”

“เราไม่จำเป็นแต่งตัวตามใครเอาที่มันเป็นตัวเองฟีลลิ่งของเรา การที่ต้าร์แต่งตัวแบบนั่นก็ไม่ใช่เรื่องผิดถ้ามันคือตัวตนต้าร์ หากใส่อะไรแล้วมั่นใจก็ใส่ไปเถอะ แต่วันนี้มาลองแต่งตัวใหม่ ๆ ดูเผื่อชอบ”

ขั้นตอนการเปลี่ยนลุคเป็นอันเสร็จเรียบร้อยในที่สุด ผมเดินออกมาส่องกระจก พร้อมคิดในใจ “นี่มันอะไรวะ!?”

คือยอมรับตามตรงเลยว่าชีวิตนี้ไม่เคยคิดจะแต่งตัวแบบนี้มาก่อนเลยทำไม่รู้สึกเขิน ๆ ใครจะไปคิดว่าจากเด็กวัยรุ่นที่ชอบแต่งตัวเรียบ ๆ เสื้อยืดกางเกงยีนส์กับทรงผมหน้าม้า จะกลายมาเป็นอีกคนในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง มาพร้อมกับเสื้อสไมล์คลับสไตล์ Oversize พร้อม Jogger Pant หมวกใบสวย และรองเท้าสีแสบ 

จากนั้นพี่แบงค์ผู้ทำหน้าที่ Reception และช่างขัดรองเท้าประจำสาขา เรียกผมมายังเคาท์เตอร์เพื่อสอนงานให้ผมในตำแหน่งดูแลร้านและลูกค้าประจำวันนี้ระหว่างที่ติวงานแววตาของพี่แบงค์บ่งบอกได้อย่างชัดเจนเขาคือหนึ่งคนที่มีความศรัทธาในผู้นำ (พี่ซัน) อย่างชัดเจน พร้อมหล่นประโยคหนึ่งมาว่า

“ครั้งแรกที่พี่เห็นพี่ซัน พี่รู้สึกเลยว่าคนนี้คือผู้นำที่เอาพวกสุดโต่งทุกคนอยู่แน่นอน การจัดการของพี่ซันมันไม่ใช่ระหว่างเจ้านายกับลูกน้อง แต่เป็นแบบพี่น้อง ซึ่งมาทำตอนแรกเงินเดือนก็ไม่ได้มากมายอะไร พี่ซันจะเข้ามาถามเสมอว่า “มึงมีตังค์พอใช่ป่าว ไม่มีไปทำงานนี้กับกู” การมีหัวหน้าที่คอยซัพพอร์ตและต้องการให้ทุกคนได้ดีไปด้วยกัน ไม่เคยทิ้งใครไว้ข้างหลังมันดีมาก ๆ งานนี้จับคู่ไปกับคนนั้น งานต่อไปกับอีกคน จับคู่ตามความเหมาะสมของงาน ดูแลกันเหมือนพี่น้องจริง ๆ ทุกคนเลยเชื่อมั่นในตัวพี่ซัน และคิดว่ากูอยู่ถูกที่แล้ว”

เมื่อจบการสนทนาและแนะนำวิธีทำงานเสร็จเรียบร้อย ก็ถึงเวลาที่เด็กฝึกต้องอย่างผมต้องลงสนามจริง เป็นเวลาเดียวกันกับช่วงที่ลูกค้ากำลังทยอยเข้ามาแน่นร้าน ตลอดช่วงบ่ายผมจึงค่อยข้างยุ่งกับงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ต้อนรับลูกค้า ดูแลความเรียบร้อยของโต๊ะตัดผมของช่าง ได้รับความไว้วางใจถึงขนาดให้คิดเงินลูกค้า และงานดูแลทำความสะอาด สักพักใหญ่ เมื่อลูกค้าเบาบางลง จึงได้มีโอกาสมานั่งพักในเคาน์เตอร์ร้านพร้อมกับพูดคุยกับพี่บุตรหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่ม Smlie Club ที่เข้ามาถามว่า “โอเคเปล่าครับ?”

ผมก็ตอบกลับไปแบบชิว ๆ ว่า “สบายพี่” ด้วยความขี้สงสัยผมก็ถามพี่บุตรเล่น ๆ ว่าผมเห็นในอินสตาแกรมสมาชิกของ Smile Club มีเยอะมาก พี่มีวิธีการดูแลจัดการน้อง ๆ ในทีมอย่างไรให้ออกมารักใคร่สนิทสนมกันขนาดนี้

พี่บุตรพูดให้ฟังถึงการดูแลกลุ่มก้อนของพี่น้อง Smile Club ให้แข็งแรงว่า “มันคือการช่วยเหลือกันและกัน โดยมีพี่ซันเป็นกำลังหลัก ดูแลเหมือนพี่น้องแท้ ๆ เลยไม่เหมือนการทำงานรูปแบบอื่นที่แต่ละคนเคยเจอมา นอกเวลางานใครว่างก็ไปหากัน กินข้าว ปรึกษา พูดคุยเรื่องแฟชั่นการแต่งตัว ศึกษากันไปเรื่อย ๆ โดยไม่ต้องให้ความสำคัญกับใครเป็นพิเศษ  มีไลน์กลุ่มไว้คุยเล่นกัน ในไอจีก็ทำให้เห็นว่าใครทำอะไรกันอยู่

ที่สำคัญคือในเวลางานทุกคนรู้หน้าที่ของตัวเอง ทุกคนเต็มที่ งานก็ออกมาดี เป็นความรู้สึกเหมือนพี่น้องทำงานด้วยความสุขตามคอนเซ็ปต์ร้าน Smile Club ที่อยากจะให้องค์กรหรือลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการมีแต่รอยยิ้มและความสุข” 

พี่บุตร Smile Club หนึ่งในผู้ก่อตั้งร้าน Smile Club

ระหว่างที่ไม่มีลูกค้าเข้าร้าน พี่ต้น พี่ตาว พี่แบงค์ก็ช่วยเรามานั่งคุยเล่นสัพเพเหระ หยอกล้อกันไปมา แต่พอถึงคิวลูกค้าเข้ามาทุกคนก็รีบเข้าไปช่วยเหลือกัน ซึ่งมันเป็นภาพที่แตกต่างจากร้านทำผมอื่น ๆ ที่ผมเคยไปเจอมา เพราะร้านทำผมทั่วไปช่างก็จะต่างคนต่างทำงานของตัวเอง แต่ที่นี่ทุกคนจะเข้ามาคอยช่วยเหลือแนะนำปรึกษากันตลอด พร้อมพูดคุยกับลูกค้าอย่างเป็นกันเองเพื่อลดความเกร็งระหว่างช่างตัดผมและลูกค้า

ที่สำคัญ Smile Club จะไม่ตัดผมตามใจช่างเหมือนร้านอื่นเพราะช่างตัดผมในร้านจะถามความต้องการของลูกค้า รวมถึงไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตประจำวัน ตัวอย่างเช่น ทำงานอะไร ? เซ็ตผมทุกวันไหม ? แต่งตัวประมาณไหน ? หลังจากนั้นช่างถึงจะแนะนำทรงผมที่เข้ากับลูกค้าที่มาตัด

เวลาก็ล่วงเลยมาถึงช่วงที่ร้านใกล้จะปิดบริการ บทสนทนามากมายถูกตั้งขึ้นและซักถามตลอดทั้งวัน ก่อนที่ผมจะถือโอกาสลาพี่ ๆ Smile Club ซึ่งพวกเขาก็ยังชวนบอกว่า “ว่าง ๆ ให้มาเที่ยวเล่นใหม่ได้เน่อ” ความสนุกประสบการณ์ และมิตรภาพที่ได้รับมาตลอดทั้งวัน คือบทเรียนล้ำค่าที่ผมเรียนรู้ในวันนี้

จากการที่ได้เฝ้าสังเกตพี่ ๆ Smile Club แม้ว่าเราจะเป็นเพียงคนนอก กับสัมผัสได้ถึงพลังงานบางอย่างของคนที่มีความชอบเหมือน ๆ กันมาอยู่รวมกลุ่ม ที่สำคัญที่นี่อยู่กันด้วยใจล้วน ๆ อย่างที่บอกจริง ๆ เพราะระหว่างวันก็มีคนเข้ามาติดต่องานคุยกับพี่ซันและพี่บุตรตลอด

แต่สิ่งที่เราได้ยินคือ Smile Club จะไปต้องไปกันเป็นทีม จะไม่มีการดึงแค่คนที่ดังกว่าไปคนเดียว สิ่งนี้แหละน่าจะเป็นจุดแข็งของ Smile Club แตกต่างจากคนอื่นในสังคม ที่ปัจจุบันหากลองมองไปในองค์กรต่าง ๆ เราก็จะเห็นว่าทุกคนอยากจะเอาดีเข้าตัว ทำให้ตัวเองเด่นดังอยู่คนเดียวไม่สนใจคนที่เหลือ ซึ่งความจริงแล้วการทำงานแบบทีมช่วยผลักดันกันไป ผมก็คิดว่าเราน่าจะได้กลุ่มคนที่ทำงานด้วยใจและมุ่งมั่นอย่างเต็มเพื่อจะผลักดันชิ้นงานนั้นให้ยอดเยี่ยมที่สุด

ต้องขอขอบคุณทั้ง UNLOCKMEN และ Smile Club ที่ทำให้เด็กฝึกงานคนนี้ได้เปิดมุมมองชีวิตที่กว้างขึ้น แถมยังได้หลุดออกจากกรอบปลดล็อคตัวเองในเรื่องการแต่งตัวที่แม้แต่ผมเองก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันจะเป็นเรื่องสนุกได้ และยิ่งได้อยู่กับผู้คนเจ๋ง ๆ และจริงใจต่อกัน แม่งก็ทำให้ชีวิตโคตรมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก

 

ขอบคุณร้าน Smile Club ที่เอื้อเฟื้อเวลาและสถานที่ในการถ่ายทำ

Thada
WRITER: Thada
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line