Entertainment

Robert Pattinson บทบาทจากเทพบุตรแวมไพร์ สู่การกลายพันธุ์เป็นมนุษย์ค้างคาว Grunge Rock

By: Chaipohn March 13, 2022
  • จากนักแสดงขวัญใจวัยรุ่นที่ถูกนักวิจารณ์ปรามาสว่า “พอผ่านพ้นช่วงวัยรุ่น ต้องตกอับอย่างแน่นอน” แต่ Robert Pattinson กลับเลือกบทบาทที่แสนท้าทาย จนสามารถก้าวข้ามจากดาราขายหน้าตา เป็นนักแสดงขายฝีมือได้อย่างเหลือเชื่อ

จากการรับเล่นหนังที่เน้นขายฝีมือและหนังอินดี้มามากมาย เขาได้แสดงฝีมือไปอีกขั้น กับบทบาทมนุษย์ค้างคาวเวอร์ชั่นใหม่ The Batman ที่ตีความมืดหม่นและสุดกรันจ์ เรามาดูพัฒนาการของผู้ชายคนนี้ แล้วคุณจะต้องทึ่งในบทบาทอันหลากแนวของเขา

 

The Twilight Saga (2008-2012) แจ้งเกิดบทบาทเทพบุตรแวมไพร

จากบทบาทเล็กๆที่ได้รับในหนังพ่อมด Harry Potter and the Goblet of Fire ในเวลาต่อมา Robert Pattinson ก็ได้รับโอกาสแบบก้าวกระโดดจากหนังที่สร้างจากนิยายขายดีของ ​​Stephenie Meyer โดยได้รับคัดเลือกให้มารับบท Edward Cullen เทพบุตรแวมไพร์ที่มาหลงรักสาวน้อยปุถุชนคนธรรมดา จนเกิดเป็นสงครามระหว่างแวมไพร์กับแวร์วูล์ฟอีกหลายภาค

แม้ว่าหนังจะทำรายได้รวมทั่วโลกทั้ง 5 ภาค สูงถึง 3.3 พันล้านเหรียญ จนกลายเป็นแฟรนไชส์ที่สร้างกำไรและเป็นหมุดหมายสำคัญแห่งยุคสมัยในช่วงกระแสหนังที่สร้างจากนิยาย Young Adult บูมก็ตาม แต่คุณภาพของหนังก็ค่อยๆถดถอยจนเป็นที่ชวนยี้ของเหล่านักวิจารณ์ ขนาด Robert เอง แม้ในช่วงแรกจะรับบทบาทได้ตรงตามที่เหล่านักอ่านได้จินตนาการเอาไว้ แต่เพราะความห่วยของหนังที่ยิ่งฉายยิ่งแย่ ก็ทำให้เขาพลอยได้รับก้อนอิฐจากการแสดงจากการเข้าชิงรางวัล Razzie Awards ติดต่อกันถึง 4 ภาค

ซึ่งนานวัน ดูเหมือน Robert เองก็มั่นใจว่า การเลือกรับเล่นหนังเรื่องนี้คือการตัดสินใจที่ผิดครั้งใหญ่ จนหลายครั้งเมื่อถึงรอบปฐมทัศน์ หลังเสร็จสิ้นพิธีการบนเวทีเขาจะย่องหนีไม่ดูหนังที่ตัวเองแสดง พร้อมทั้งยังเคยปากเสียว่า “การที่แฟนๆติดตามหนังเรื่องนี้อย่างบ้าคลั่ง คือความเสียสติ”

แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า จากการรับเล่นหนังชุดนี้ ทำให้เขาระมัดระวังในการเลือกหนัง พร้อมพยายามอย่างหนักที่จะพิสูจน์ฝีไม้ลายมือทางการแสดงให้โลกได้รับรู้เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณในภายหลัง


The Rover (2014) พลิกบทบาทการแสดงแบบไม่ห่วงหล่อ

หลังจากหลุดพ้นจากความบอบช้ำของการรับบทแวมไพร์ใน Twilight ที่นักวิจารณ์หลายคนพากันทำนายทายทักว่า “หลังจบซีรีส์หนังแวมไพร์ทไวไลท์ไปแล้ว Robert ก็น่าจะหลุดจากวงโคจรวงการบันเทิงไปเช่นกัน” ซึ่งนั่นก็เป็นแรงผลักดันที่ดีที่ทำให้ Robert ต้องเฟ้นหาโปรเจกต์ที่จะทำให้เขาสลัดคราบแวมไพร์หน้าขาวซีดเรื่องนั้นให้จงได้

เขาพยายามเสมอตัวกับผู้กำกับเจ๋งๆมากมาย อาทิ Cosmopolis (2012) และ Maps to the Stars (2014) ของ David Cronenberg แต่ก็ยังไม่สามารถลบภาพเก่าออกไปได้มากนัก

จนกระทั่เขาได้มารับบทในหนัง The Rover หนังที่เล่าเรื่องของโลกยุคดิสโทเปียที่ล่มสลาย ในบทของโจรกระจอกที่ถูกหักหลังทิ้งไว้ให้นอนรอความตายริมถนนอันร้อนระอุ เขาได้รับการช่วยเหลือจากชายแปลกหน้า (รับบทโดย Guy Pearce) เพื่อไล่ล่าล้างแค้นกลุ่มโจรกลุ่มนั้น

โดยหนังได้รับคำชื่นชมว่า เสมือนหนัง Mad Max ที่กำกับโดย Quentin Tarantino รวมไปถึงบทบาทการแสดงแบบไม่ห่วงหล่อของ Robert เอง ที่ทำให้เขาได้เข้าชิงรางวัลหลายสถาบัน และทำให้เหล่านักวิจารณ์เริ่มมีมุมมองต่อการแสดงของเขาที่เปลี่ยนไป


Good Time (2017) พลิกผันสู่การเป็นนักแสดงหนังอินดี้

แล้วบทบาทการแสดงของเขา ก็เป็นที่จับตาอย่างจริงจัง ในหนังอินดี้ที่เปี่ยมด้วยสไตล์ เรื่องราวของ 2 โจรพี่น้องที่ออกปล้นธนาคาร แต่คนน้องที่เป็นคนที่บกพร่องทางสมองกลับพลาดท่าถูกตำรวจจับ คนพี่ที่รับบทโดย Robert จึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อหาทางพาตัวน้องชายออกจากคุกให้ได้

หนังเต็มไปด้วยสถานการณ์ที่ตึงเครียดชวนประสาทแตก และ Robert ต้องแบกรับกับสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคลายไม่ออกครั้งนี้ มันจึงเป็นความโกลาหลท่ามกลางความตึงเครียดและสถานการณ์สุดบ้าคลั่ง ซึ่ง Robert ก็มอบบทบาทอันชวนปวดกบาลได้เป็นอย่างดี ในฐานะพี่ชายที่แสนดีที่ทำทุกทางเพื่อช่วยน้องชายออกมา ท่ามกลางความสิ้นหวังในเมื่องใหญ่อันแสนวุ่นวายโกลาหล ซึ่งหนังเรื่องนี้ถ่ายทำกันแบบกองโจร ทำให้ Robert ต้องวิ่นวุ่นทั่วนิวยอร์ค และสิ่งที่ทำให้ Robert ภาคภูมิใจในหนังเรื่องนี้ก็คือ “ระหว่างถ่ายทำ อยู่นั้น คนเดินถนนทั่วไปไม่มีใครจำเขาได้สักคน” นั่นเอง


The Lighthouse (2019) ประชันนักแสดงคุณภาพ

น่าแปลกใจไม่ใช่น้อยที่ Robert มักได้รับบทบาทที่เขาต้องจับคุ่กับนักแสดงอีกคนอยู่เสมอ และใน The Lighthouse เอง ก็ทำให้เขาโคจรมาพบกับ Willem Dafoe ในบทชายหนุ่มที่ต้องใช้ชีวิตร่วมกับชายชราเพื่อเฝ้าประภาคารปริศนา ความโดดเดี่ยวอ้างว่าง บนสถานที่อันสุดเร้นลับและเต็มไปด้วยเงื่อนงำ นำพาทั้ง 2 ต้องตกอยู่ในการอาการหลอนถึงขีดสุด และยิ่งหนังถ่ายทำในรูปแบบของหนังขาวดำ ยิ่งขับเน้นความดิบและความขนพองสยองเกล้าที่คุกคามเข้าใกล้เราทุกขณะจิต

แม้หนังจะถ่ายทำในกองเล็ก ๆ เพราะนักแสดงทั้งเรื่องมีเพียงแค่ 2 คน แต่ Robert ก็ต้องทำการบ้านอย่างหนักหน่วง เพราะเขาต้องประชันบทบาทกับนักแสดงมากฝีมืออย่าง Willem Dafoe ต้องฝึกสำเนียงพื้นเมืองเพื่อความสมจริง ขณะเดียวกันก็ต้องรับมือกับความบ้าคลั่งของหนังที่ปั่นประสาทเขาอยู่เรื่อย ๆ จนกลายเป็นหนึ่งในประสบการณ์สุดหลอนที่เขาต้องจดจำไปจนวันตาย


TENET (2020) หวนคืนสู่หนังฟอร์มยักษ์อย่างสมภาคภูมิ

เกียรติยศอันยิ่งใหญ่ของ Robert อาจจะไม่ใช่การที่เขาได้รับรางวัลที่ไหน แต่มันคือการที่เขาได้ไปร่วมแสดงในหนัง Christopher Nolan ที่เป็นที่หมายปองของเหล่านักแสดงมากกว่า

และถึงแม้ว่าใน TENET หนังบู๊ไซไฟไอเดียแจ่ม Robert จะรับบทรองจาก John David Washington แต่บทบาทของ Robert ในบทบาทของ Neil เจ้าหน้าที่ ที่เที่ยวท่องล่องกาลเวลาเพื่อยับยั้งมหันตภัยที่กำลังจะคุกคามโลกนี้ ก็เต็มไปด้วยเสน่ห์ในแบบที่สาวกรี๊ดลั่นโรง รวมไปถึงบทบาทที่เต็มไปด้วยความเท่ซึ่งให้ผลลัพธ์คนละโยชน์กับตอนที่เขารับบทในหนังชุด Twilight เรียกได้ว่าเต็มเปี่ยมทั้งความเท่อันน่าหลงใหล และการแสดงที่น่าจดจำ

และท่ามกลางความพิศวงงงงวยของหนังเรื่องนี้ทำลึกล้ำจนคนดูบางคนไม่เก็ตว่า Nolan กำลังจะเล่าอะไร โปรดจงอุ่นใจได้ เพราะ Robert ที่แสดงในหนังเรื่องนี้เองก็สารภาพในภายหลังว่า “ระหว่างที่เขาแสดงอยู่นั้น เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าหนังมันกำลังพูดถึงอะไร”…อ้าว เวรกรรม


The Batman (2022) มนุษย์ค้างคาวอีโม ฮีโร่กรันจ์ร็อคที่สุดหม่น

และล่าสุด กับอีกหนึ่งบทบาทที่จะแจ้งเกิด Robert ให้เขาหวนคืนในฐานะพระเอกหนังเมนสตรีมอันทรงคุณค่า นั่นก็คือการรับบทนำในหนัง The Batman ที่ถึงแม้ว่าหนังมนุษย์ค้างคาวจะถูกเล่ามาแล้วหลายต่อหลายเวอร์ชั่น แต่ Robert ก็ยังมอบความแตกต่างของ Bruce Wayne ในบทมนุษย์ค้างคาวได้อย่างเหนือชั้นและสุดเจ๋งไม่ต่างกัน

โดย Batman เวอร์ชั่นนี้ คือ Mr. Vengeance บุรุษที่อยู่ในเงาแห่งความแค้นเต็มพิกัด โดย Robert คือส่วนผสมอันลงตัวละหว่างความเป็นการ์ตูนที่เปี่ยมเสน่ห์ในเวอร์ชั่นของ Tim Burton และความสมจริงในแบบ Realistic ในแบบที่ Nolan เคยทำ

Batman เวอร์ชั่นนี้จึงเป็นมนุษย์ค้างคาวที่มีเลือดมีเนื้อ มีความผิดพลั้ง และมีพลังที่พร้อมต่อกรกับศัตรูร้ายที่มาในรูปแบบของ มนุษย์เจ้าปัญหา The Riddler จอมป่วนประสาท รวมไปถึงกลุ่มมาเฟียแห่งเมือง Gotham ผู้กุมความลับของพ่อและแม่ที่จากไป และการล่มสลายของเมืองอันแสนป่วยไข้ โดย Robert ทุ่มเทการแสดงแบบเต็มที่ จนมอบมิติแห่งบทบาทของ Batman ที่เหนือชั้นและแตกต่างได้เป็นอย่างดี และขึ้นแท่นอันดับต้นๆของมนุษย์ค้างคาวยอดเยี่ยมตลอดกาล

โดยที่ Robert ได้แรงบันดาลใจการแสดงมาจากตัว Kurt Cobain ราชากรันจ์ร็อคผู้ล่วงลับแห่งวง Nirvana รวมไปถึงการหมกตัวอยู่กับการนั่งฟังเพลง Post-Punk อันแสนหม่นหมอง โดยการทุ่มเทนี้วางเดิมพันผลงานการแสดงเขาเลยว่า “หากหนังเรื่องนี้เจ๊ง เขาจะออกจากวงการบันเทิงไปเล่นหนังโป๊ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย”

ซึ่งผลลัพธ์ ณ ขณะนี้คงทำให้สาวน้อยสาวใหญ่พากันผิดหวังกันเป็นแถบๆ เพราะสัปดาห์แรกของการเปิดตัวหนังเรื่องนี้ก็อยู่ในระดับ 120 กว่าล้านเหรียญ โอกาสที่เราจะได้เห็นเขาเล่นหนังโป๊คงริบหรี่เต็มทนแล้วล่ะ

และนี่คือพัฒนาการของการแสดงในแบบค่อยเป็นค่อยไปของ Robert Pattinson จากขวัญใจวัยรุ่น สู่ขวัญใจนักวิจารณ์ และลงท้ายที่การเป็นพระเอกในหนังฟอร์มใหญ่ ทำให้เขากลายเป็นนักแสดงระดับ A-List ได้อย่างยอดเยี่มและสง่างาม

Chaipohn
WRITER: Chaipohn
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line