Entertainment

18 ปี “SCRUBB” UNLOCK ความคิดพร้อมเรียนรู้สีสันใหม่ ๆ บนเส้นทางดนตรีที่กำหนดเอง

By: unlockmen March 30, 2018

“เมื่อเราใกล้เกินกว่าที่จะพูดคำใด ๆ ออกไป , ก็เป็นเพราะกลัวไม่เป็นเหมือนวันก่อน” เค่ลองเริ่มอ่านตามประโยคก่อนหน้านี้ คุณก็จะฮัมมันออกมากเป็นเพลงได้อย่างง่ายดาย วันนี้เราจะพาไปคุณพบปะพูดคุย กับ Scrubb วงดนตรีที่เดินทางมายาวนานกว่า 18 ปี มาอัปเดตชุดความคิด ความเป็นไป เเละมุมมองต่าง ๆ ของพวกเขากันเลย

วันนี้เรานัดพี่บอล พี่เมื่อยมาที่ร้าน Vanilla Cafe เอกมัย 12 เราเริ่มเซ็ตฉากสำหรับถ่ายภาพกันก่อนพี่ ๆ เขามาพักหนึ่ง ไม่นานเราก็เห็นรถตู้เข้ามาจอด มองผ่านพุ่มไม้ไปก็เห็นพี่เมื่อยเดินลงมาจากรถก่อน เราตรงเข้าไปทักทายทันที พี่เมื่อยยิ้มสวัสดีเรากลับด้วยท่าทีเป็นกันเองมาก ๆ “วันนี้เราต้องคุยกันใช่ไหม” พี่เมื่อยพูดกับเรา  พี่เมื่อยเดินเข้าไปในร้านเเละมองไปรอบ ๆ เเล้วพูดกับพวกเราว่า “ที่นี่เเม่งควรจะหนาวว่ะ ไม่เหมือนในกรุงเทพเลยบรรยากาศ” ไม่นานเราก็เข้าไปทักทายพี่บอล เราพูดคุยเรื่องส่วนตัวกันนิดหน่อย จากนั้นจึงพาพี่ ๆ ทั้งสองมาถ่ายภาพ

                   

ด้วยความเป็นกันเองจากการถ่ายภาพทำให้เราเริ่มคุ้นเคยกับพี่ ๆ ทั้งสองมากขึ้น เราพากันไปนั่งในร้าน 

“พี่ ๆ นั่งพักก่อนก็ได้นะครับ” เราบอกก่อนที่พี่เมื่อยจะพูดสวนขึ้นมาทันทีว่า “คุยได้เลยนะสบาย ๆ มาเลย”

เราเกริ่นถึงช่วงเวลาจากอัลบั้ม clean เเล้วถามว่าพี่ ๆ ทั้งสองคนไปทำอะไรบ้างในช่วงเวลาที่ผ่านมา

พี่บอล : หลัก ๆ ถ้าเป็นเราสองคนในนาม Scrubb ก็คือยังเล่นดนตรีอยู่ เราไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน เพราะปกติการทำวงดนตรีส่วนใหญ่มันจะเป็นลูปแบบนี้คือ ทำเพลง ปล่อยเพลง ทำอัลบั้มเสร็จก็ออกทัวร์ เเล้วงานมันก็จะซาลงไปเรื่อย ๆ เเล้ววงดนตรีหรือศิลปิน เหล่านั้นก็จะเริ่มกลับมาทำเพลงเเละสะสมเพลงใหม่ เเต่อย่างเรา เพิ่งมาสังเกตหลังจากมีคนทักเหมือนกันว่าถ้าไม่หยุดเล่น งานมันก็ไม่เคยน้อยลง คือถ้าน้อยมาก ๆ เดือนนึงก็คือ 4-5 งานที่ยังต้องออกไปเล่น คือ จากปกติมันก็ 8 งาน 10 งาน หรือ 12 งาน อยู่เเล้ว

เราก็เลยรู้สึกว่าเออว่ะ หรืออาจจะเพราะเราทำงานมานาน มันก็เลยมีเพลงที่แบบเป็นหมุด อยู่ตามช่วงเวลาต่าง ๆ เเล้วแฟนเพลงที่มีประสบการณ์กับเพลงเรา ในช่วงเวลาที่เเตกต่างกัน เเละมีแฟนอยู่หลายกลุ่มมั้งมันเลยทำให้เราเเละงานของเรามันกระจายไปในรูปแบบต่าง ๆ มันยังมีทั้ง campus ยังได้ไปอยู่ งาน event ก็ได้ไป งานร้านอาหารหรือบางทีเป็นงาน after party ของงานเเต่งงานเจ้าบ่าว เจ้าสาวที่เป็นแฟนเพลงเรา

เราก็เลยรู้สึกว่าด้วยความที่ส่วนหนึ่งเราทำงานมานาน ก็เลยทำให้เรามีแฟนเพลงหลากหลายช่วงอายุ  ชุดนี้ก็เลยค่อนข้างนาน เพราะเล่นดนตรีกันไปเรื่อย ๆ จากชุดที่เเล้ว เราห่างมา 4 ปีซึ่งปกติวงเราจะประมาณ 2 ปีหรือ 2 กว่า ๆ ก็จะมีอัลบั้มใหม่ อีกส่วนนึงก็คงเป็นหน้าที่ส่วนตัวของเเต่ละคน อย่างเราก็มีพาร์ทหลังบ้านที่เป็นคนเบื้องหลังอยู่เเล้ว คือเราดูเเลเกี่ยวกับ Artist Management ซึ่งเราก็ทำก่อนจะเป็น Scrubb ด้วยซ้ำ ซึ่งเมื่อยกับเราก็เคยทำมาก่อน เเต่พอตัดสินใจมาทำ Scrubb เมื่อยก็มาเล่นดนตรีอย่างเดียว อย่างเราเองเป็นคนที่ไม่ได้มีกิจการเป็นของตัวเอง การที่จะมีงานประจำทำไว้ดูเเลตัวเองในพาร์ทนึง เพื่อที่ยังให้มันสนุกกับการเล่นดนตรีอยู่ได้ ก็เป็นเรื่องที่ดี ก็เลยทำมาเรื่อย ๆ ก็พยายามสลับเวลา แบ่งเวลาเอาหน่อย

 

          

พี่เมื่อย : ก็อย่างที่พี่บอลบอกครับคือปกติ โชคดีที่วงมันได้เล่นตลอดเวลาอยู่เเล้ว อย่างพี่บอลทำงานประจำผมก็เอาเวลาที่เหลือจากการเล่นดนตรีเนี่ย ผมก็จะเอามาจัด Event พูดง่าย ๆ ก็คือ Event เล็ก ๆ ที่เป็นพื้นที่ให้วงดนตรีเล็ก ๆ หน้าใหม่ได้มีพื้นที่เเนะนำตัว เเละมาเล่นเพลงของเขาเองก็จะเป็น Event ขนาด 40-50 คน ก็ทำมา 4-5 ปีเเล้ว ถ้าเรื่องดนตรีเราก็ทำ side-project เรื่อย ๆ ทำโปรเจกต์เต็มไปหมดเลย ก็จะพยายามหาเวลาว่างทำ ก็การที่เราออกไปทำอะไรแบบนี้มันก็ได้เเรงบันดาลใจ อย่างจัด Event ก็จะได้เจอเเรงบันดาลใจจากน้อง ๆ รุ่นใหม่ ๆ อย่างไปทำ Side-Project เราก็ได้เเลกเปลี่ยนด้านดนตรีกับเพื่อน

ผมจะมีเครื่องดนตรีบ้าบอ ๆ เต็มไปหมดเลย ซึ่งมันก็ไม่ได้ใช้กับ Scrubb ซึ่งมันคนละบทบาทกัน เราก็จะเอาเครื่องดนตรีเหล่านั้นมาใช้กับเพื่อน ๆ ให้มันรู้สึกกระชุ่มกระชวย เพื่อว่าเวลาที่จะคิดงานหลักคือ Scrubb กับ Side-Project หรือ Event อะไรพวกนั้น ก็หวังว่ามันจะทำมาหากินได้ในอนาคต ก็พวกโปรเจกต์พวกนี้เราก็ไม่ได้ทำไปลอย ๆ นะ

มันเหมือนเราก็ทำเพราะจะได้อัปเดตสิ่งที่เราคิด เเล้วก็หวังว่าคนมันจะเข้าใจแหละ ที่เราทำทุกอย่างทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพื่อมาทำสิ่งหลักของเราให้มันไม่เบื่อเพราะ Scrubb ปีนี้มันเข้าปีที่ 18 เเล้วมันเหมือนคนทำงานที่เดิมมา 18 ปีมันโหดเมือนกันนะ ไม่พัฒนานะ ตำแหน่งเดิม งานเดิม ออฟฟิศเดิม ก็ต้องออกไปที่อื่นเพื่อให้ตัวเองกระชุ่มกระชวย

 ก่อนการพูดคุยเราคิดมาตลอดว่าพี่เมื่อยจะเป็นคนเงียบ ๆ นิ่ง ๆ แต่จริง ๆ เเล้วพี่เมื่อยเป็นคนสนุกสนานเฮฮามาก ระหว่างการพูดคุยเราจะได้ยินเสียงหัวเราะ เเละรอยยิ้มของพี่เมื่อยตลอด เราเริ่มถามเเค่คำถามเเรก เราก็ได้คำตอบเเทบจะทั้งหมดที่เราต้องการจะถามเเล้ว หลักจากจบการพูดคุยในช่วงเเรก เราพูดถึง 2 เพลงใหม่ของ Scrubb ฤดู เเละ ดวงตะวัน เราพูดคุยเรื่องตัวเพลงกันนิดหน่อย พร้อมถามคำถามที่หลาย ๆ คนอยากรู้ว่า

อัลบั้มใหม่จะวางตอนไหน ?

พี่บอล : อัลบั้มจะวางเดือนพฤษภาคม อย่างที่บอก เราทำอัลบั้ม เราก็ปล่อยซิงเกิลมาเเล้ว 3 เพลง พอดีอัลบั้มเสร็จเเล้วเราก็เลยปล่อย 2 เพลงเลยดีกว่า มันจะได้เป็นการบอกกลาย ๆ เลยว่า ของลอตใหญ่เสร็จเเล้วนะ กำลังจะมา ไม่งั้นการปล่อยเพลงเดียวมันเหมือนการปล่อยซิงเกิลปกติ อีกส่วนหนึ่งคือเราเลือกไม่ได้ เราชอบทั้งสองเพลง

พี่เมื่อย : ใช่ ๆ เลือกยากนะ

พี่บอล : ทั้งสองเพลงมันมีคุณสมบัติที่เหมือนเเละเเตกต่างอยู่ในเวลาเดียวกัน เหมือนก็คือมันเป็นเพลงที่อยู่ในอัลบั้มใหม่ของเรา เเตกต่างมันคือมันมีคาเเรกเตอร์เเละวิธีการต่าง ๆ ที่มาจาก Scrubb ทั้งคู่ มันมีในจุดที่เราคุ้นเคยเหมือนที่หลาย ๆ คนชอบบอกว่า อันนี้แหละ Scrubb ซึ่งเอาจริง ๆ เราก็ไม่รู้เหมือนกันนะ ว่ามันแบบไหน เเต่มันก็จะมีความใหม่บางแบบผสมอยู่ในทั้งสองเพลงอยู่ด้วย เรารู้สึกว่าสองเพลงมันจะทำให้เราเห็นภาพอัลบั้มใหม่ชัดเจน มันจะเริ่มเห็นทิศทางว่า Season ของเรารูปร่างหน้าตามันจะออกมาประมาณไหน เเล้วก็เป็นการ Introduce เข้าสู่อัลบั้มกลาย ๆ ด้วย ก็เลยสองเพลงเลยละกัน

 

งั้นเเรงบันดาลใจในอัลบั้มใหม่ รวม ๆ เเล้วมาจากไหนครับ สิ้นสุดคำถามของเรา

พี่บอล พี่เมื่อยเเทบจะพูดพร้อมกันเลยว่า “โห ถามคำถามโคตรใหญ่เลย ยากมาก”

 พี่บอล : ของพี่มันมาจากเพราะว่ายังอยากเล่นดนตรีอยู่ พออยากเล่นแล้วมันยังได้ออกไปเล่น เรื่องที่รู้สึกเบื่อตัวเองคือถ้าเล่นอยู่แล้วเราไม่อยากเล่นเพลงเดิมวน ๆ ไปเรื่อย ๆ เพลงชุดเดิม ถึงเรามีเพลงเยอะแต่บางเพลงมันจะถูกใช้ในบางที่เท่านั้น เช่นใน Campus เราอาจเอาเพลงยาก ๆ ไปเล่นได้ให้เด็ก ๆ ฟังได้บาง หรือบางทีมีคอนเสิร์ต B – Side งานส่วนใหญ่ 70-80% นี้มาจากการว่าจ้างด้วยผู้ว่าจ้างและผู้ถูกจ้าง ซึ่งต่อให้เราเป็นคนสร้างงานขึ้นต่อให้เราอยากเล่นเพลงของเรามากที่สุดก็เถอะ

แต่เราต้องแบ่งพาร์ท พาร์ทในการสร้างสรรค์เราก็ทำไป แต่ในหมวดของการว่าจ้างในสถานะคนถูกจ้างเราก็ต้องทำมันให้ดีที่สุด มันก็เลยต้องมี playlist พื้นฐานซึ่งมันมักจะถูกใช้งานบ่อยที่สุด เป็นธรรมดาบางทีเรายังเบื่อโชว์ของเราเองเลย แรงบันดาลใจของเราคือยังอยากเล่นดนตรีอยู่แต่ไม่อยากเล่นเพลงของตัวเองซ้ำเดิม ๆ ไปเรื่อย พอถึงเวลาที่เหมาะสมเราจะรู้สึกเองว่าทำเพลงเหอะ

สอง คือคนมักจะบอกว่าอัลบั้มคือสมุดบันทึกเรื่องราวช่วงเวลาสิ่งแวดล้อม บรรยากาศของคนในช่วงเวลานั้น ๆ ตอนแรกก็ไม่ได้คิดแบบนั้น แต่พอทำไปเรื่อย ๆ แล้วกลับไปดู มันจริงว่ะ เพลงนี้เราทำอะไรอยู่เราคิดอะไรในตอนนั้น ชุดนี้โคตรจะห่ามเลย โคตรจะอีโก้ มันดีนะที่มีชิ้นงานที่นอกจากเป็นอาชีพแล้วมันยังเป็นคู่มือในสมุดบันทึกช่วงเวลาของเรา มันเลยเป็นเสน่ห์แบบหนึ่งที่เมื่อถึงเวลาเราก็อยากกลับมาทำเพลงอีกครั้ง

พี่เมื่อย : มันเหมือนบันทึกความคิด ถ้าใครสังเกตเครดิตก็จะเห็นเราแต่งน้อยลงไปทุกที มันไม่ใช่ ไม่อยากแต่งนะ คือพยายามแต่งแต่ว่าไอ้เรื่องที่มันเข้มข้นจากเรา มันก็น้อยลงไปทุกที เพราะเราไม่ได้เป็นวัยที่มันออกไปไหนเหมือนแต่ก่อนที่ออกจากบ้านทุกวันเลย มันก็เลยมีเรื่องเล่าเต็มไปหมดเลย แต่ตอนนี้กลับกัน เราไม่ได้ออกไปเจอเพื่อนเหมือนแต่ก่อน ข้อมูลบางอย่างมาจากหนังสือ แต่ว่าบางที่ได้แรงบันดาลใจจากหนังสือ เพลงที่เราแต่งมันก็จะไม่ใช่ของเราไง ไอ้พวกนี้จะไม่ถูกส่งถึงพี่บอล ก็จะถูกเก็บไว้เอง อย่างมากก็เป็นเมโลดี้ไปกับคอร์ดแล้วก็เอาไปถามคนอื่นว่าเป็นยังไง อย่างอัลบั้มนี้ก็มีเยอะเลย ซึ่งยอมรับว่าเมื่อก่อนก็ต่อต้านเหมือนกัน ว่าเราทำ เราก็ควรจะร้องสิ่งที่เราแต่ง แต่พอนานวันเข้ามันก็เลยลูปมาแล้ว

ตอนนี้สำหรับ Scrubb คือทำยังไงก็ได้ให้ได้งานที่ดี วิธีไหนก็ได้ สมมติผมคิดเนื้อไม่ออกก็ไปหาคนอื่น ๆ ถ้าเอาจริง ๆ เหมือนบริษัทหนึ่งโตขึ้นมาได้ คนที่มาอยู่ก่อนก็เริ่มกลายเป็นคนดูละ พยายามจะไม่ฝืนตัวเองละ ไม่พยายามทำเรื่องที่ตัวเองไม่เชี่ยวชาญละ บางทีส่งแค่ทำนองไปให้พี่บอลแบบคิดไม่ออกแล้ว เพราะว่า Scrubb มันทำงานกันทุกรูปแบบแหละครับ ไม่ว่าจะจากผม พี่บอล จากพี่ฟั่นหรือน้อง ๆ แต่สุดท้ายเราก็มาช่วยกันดูอยู่ดีว่ามันเป็นยังไง แรงบันดาลใจคงเป็นเรื่องรอบ ๆ ตัว ง่าย ๆ แฟน เพื่อน ที่บ้าน

พอโตขึ้นก็จะคิดเรื่องกลาง ๆ ขี้นมาหน่อย เนื้อเพลงที่ชอบไปสั่งสอนชาวบ้านไม่มีละ เหมือนตอนเด็ก ๆ ที่คิดว่าความคิดเราถูก ต้องตามเราดิ มันก็ผ่านไปหมดแล้ว และตอนนี้ก็พูดได้เต็มปากเลยว่าไม่ได้คิดอย่างนั้นแล้ว แต่การทำอัลบั้มมันเหมือนอัปเดตวิธีคิดเดิมของเราว่าในมุมมองที่เราเคยคิดเราคิดยังไง คือเราก็พูดเหมือนเดิมแต่ไม่พยายามไปตกแต่งอะไรมันเยอะ อย่างที่พี่บอลพูดด้วยเราแก่แล้วคนฟังเราหลายยุค และก็ยังโชคดีที่ยังได้ไปเล่นในโรงเรียนอยู่

มันน่าจะเป็นเรื่องสำคัญที่สุดนะ กับการเล่นดนตรีที่ไหนก็ได้ในช่วงที่เราเล่นดนตรี มันไม่ต้องไปแคร์ว่าเล่นฟรีเล่นเสียตังค์ ล่าสุดไปเล่นมาที่องค์กรบุคลิกภาพอะไรก็ไม่รู้เล่นตอนเที่ยงด้วย เล่นเสร็จเขาต้องไปทำงานต่อด้วยนะ นั่นเป็นงานปีใหม่นะที่ได้ไปเล่นเพราะมีคนทำงานในกระทรวง รู้จักเพลงเราอยู่แล้ว แปลกจัดเลย มันได้ไปเพราะเหตุการณ์แบบนี้ บางทีมันไม่ต้องรอให้คนทั้งหมดอยากจ้างเราบางทีมันเกิดจากคน ๆ เดียวก็ได้

 

               

Scrubb เดินทางมายาวนานมาก ๆ จากอัลบั้มเเรกเมื่อปี 2009 ระยะเวลาทั้งหมด 18 ปีในวงการ ในเเต่ละยุคเเต่ละสมัยก็จะมีวงดนตรีดี ๆ เก่ง ๆ เพิ่มขึ้นมามากมาย ในปัจจุบันมีวงดนตรีเด็ก ๆ รุ่นใหม่ไฟแรง เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก เราจึงถามพี่ ๆ ทั้งสองว่า ในยุคที่มีวงดนตรีดี ๆโผล่ขึ้นมา มากมายอย่างกับดอกเห็ด

Scrubb มีวิธีปรับตัวยังไง ในยุคสมัยนี้

 พี่บอล : วิธีการก็คือเอาเข้ามาทำงานด้วยเลยครับ ล่าสุดนี้กำลังได้มือกลองใหม่มาแทนจุ ที่กำลังเตรียมกลับไปทำอัลบั้มของวงส่วนตัว (Abuse The Youth) และธุรกิจรถโฟล์ค ซึ่งมันเป็นเรื่องของอายุการทำงานด้วยเมื่อถึงจุดหนึ่งมันมีความรับผิดชอบอื่นก็ต้องขยับไปทำ และมีกลองคนใหม่ที่ได้มานี้อายุเพิ่ง 22 เอง

เราเจอนักดนตรีที่อายุน้อยลงเรื่อย ๆ จริง ๆ Scrubb รุ่นนี้เป็นรุ่นที่ 5 แล้ว เหมือนเพลงของเรดิโอเฮดมันคือ “OK COMPUTER” ถ้าเราเข้าใจมัน ไม่ปฏิเสธมัน ถึงจะอยู่กับมันได้ ถึงแม้จะไม่ได้เชี่ยวชาญด้านนั้น 100% ก็ได้ มันไม่ใช่เรื่องผิดที่จะอยากรู้ว่าเด็กสมัยนี้คุยอะไรกันบ้าง เราไม่จำเป็นต้องเป็นเขา แค่รู้ว่าคุยเรื่องนี้กัน

การเล่นดนตรีเหมือนรสนิยม ซึ่งมันบังคับกันไม่ได้ มันมาจากการเรียนรู้ในการเติบโต เราเชื่อว่าการเอาคนหลาย ๆ รุ่นมาร่วมในสังคมเดียวกันและเราโตกว่า ก็อาจจะเอาส่วนที่ไปแชร์กับเขาได้ ไปเล่าให้เขาฟัง แต่เราจะไม่ได้ไปบังคับว่าโตมาแบบนี้ เราเป็นที่รู้จัก เลี้ยงดูตัวเองด้วยเรื่องแบบนี้แล้วจะต้องมาเดินกับเรา คงจะไม่ขนาดนั้น เราจะช่วยเขา ให้มาอยู่ด้วยกันทำเท่าที่ทำได้ให้ดู ส่วนจะชอบหรือเปล่ามันเป็นเรื่องของเขา

มันจะมีส่วนที่เป็นของเราอยู่ แต่มันจะมีรูปแบบการนำเสนอจะเป็นของเขา ทุกวันนี้ที่วงจะเป็นแบบสองทีม เพราะเราอยากให้ทุกคนเรียนด้วย ทำงานด้วย หรือมีอาชีพอื่นค่อยรองรับด้วย ไม่ใช่มีดนตรีอย่างเดียว จะใช้วิธีที่สลับงานแบ่งทีม เรารู้สึกว่าแบบนี้ดี มีการเอาดนตรีมาเป็นงานอดิเรกด้วย

ที่นี่มันเลยเกิดลายมือของแต่ละคน มันไม่ใช่การไปดูคอนเสิร์ตไปดูเมื่อยดูบอลแค่นั้น วันนี้คุณอาจจะได้เจอ เพลงจาก plastic plastic  มันเลยเป็นการนำเสนอเพลงของเราในลายมือของแต่ละคนด้วย มันเกิดจากวิธีแต่ละคนด้วย สมมติเล่น Playlist เดียวกันแต่สองทีมโทนดนตรีมันออกมาไม่เหมือนกันนะ มันเกิดมาแบบที่ไม่ได้คิดไว้ เราคิดแค่ว่าอยากมีทีมที่เล่นกับเราสองทีมเพราะเราอยากให้เขามีเรื่องอื่นมารองรับด้วย ไม่ใช่เดือนหนึ่งมาเล่นดนตรีอย่างเดียว 

 

             

“แล้วน้อง ๆ ที่ไปเจอในวงนี่ไปเจอได้ยังไง”

พี่บอล : ส่วนใหญ่ใช้วิธีแอบดู เอาตัวไปคลุกคลีกับเขา อย่างมือกลองที่ได้คนล่าสุด เซฟที่ตีให้ The TOYS เขาเก่งมากได้รางวัลอันดับ 2 หรือ 3 ของไทยตอนอายุ 19 นึกออกป่ะ เราเจอThe TOYS แชมป์กีต้าร์ตอนอายุ 18 เราเจอเด็กที่โคตรเก่ง แต่อายุน้อยลงเรื่อย ๆ

มันมีเพื่อนเป็น Google , Youtube ตั้งแต่อายุ 7-8 ขวบเพราะเรื่องที่เรารู้ตอน 20 แต่มันรู้ตอน 10 ขวบและมันใช้อายุ 10 ไปถึง 18 ในการเรียนรู้ แต่เรา 20 ถึง 30 เดี๋ยวนี้เราดูถูกไม่ได้แล้ว พร้อมรบแล้ว วินัยทักษะความสามรถ มันครบทุกด้านแล้ว ได้ไปดู เราก็จะตื่นตาตื่นใจ พอเราชอบใครก็ถามให้เขาแนะนำ อย่างน้องที่เข้ามา Scrubb น้อง เรมี่ น้องเพลง plastic plastic ก็เป็นคนเเนะนำมาเพราะเขาก็เล่นให้  plastic plastic  อยู่เเล้ว แล้วก็มีพี่เติ้ลที่อยู่ Two Pills After Meal เราชอบสายคีย์บอร์ดที่เป็นผู้หญิง มันจะมีรายละเอียดที่ให้ความสวยงามมากกว่าผู้ชายเล่น เราก็เอาตัวเข้าไปอยู่ในสังคมนั้นแล้วจะได้คอนเน็คชั่นต่อ ๆ ไป

                “มีความคิดเห็นยังไงกับอาชีพนักดนตรี ในยุคนี้บ้างครับ”

พี่บอล : ถ้ามองในมุมคนทำงานเบื้องหลังพี่มองเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือน้องที่เข้ามาทำงานเพื่อตอบโจทย์ตัวเองเลย ความฝันหรือคำถามบางอย่างในการพิสูจน์ตัวเอง ส่วนใหญ่พวกนี้ยกรายได้ออกไปก่อนทำเพื่อตอบเจตนารมณ์และผองเพื่อนเลย พวกนี้ทำไปเลยไม่ต้องคิดมาก ลุย ไม่ต้องมีเงื่อนไขถูกผิดยังไงก็ค่อยเอามาพัฒนาตัวเองแบบนี้ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี

อีกแบบคือหลงใหลอยากจะอยู่ด้วยแต่ต้องแบ่งให้ได้ด้วยว่าจะอยู่ให้ได้แบบไหน ถ้าอยากอยู่ได้เป็นอาชีพเดียวคุณต้องพัฒนาตัวเองอย่างสูง แต่อีกแบบคือคิดว่ามันไม่ได้มั่นคงขนาดนั้น มันอาจจะไม่พอเลี้ยงตัวเองเลยอาจจะต้องหาอย่างอื่นทำด้วย มันอาจจะเหนื่อยหน่อยเพราะต้องทำอย่างอื่นควบคู่ไปด้วย เริ่มต้นไม่มีกติกาอะไรยุคนี้ลุยเลยมันมีช่องทางให้ออกไปเต็มไปหมด

 

                 

“ยุคนี้มันทำเพลงง่ายทำในคอมพิวเตอร์ก็ได้

มีมุมมองยังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างครับ เพราะบางคนก็จะยังมีพวกที่แอนตี้ วิธีนี้อยู่”

พี่บอล : มันไม่มีถูกผิดแล้วแต่ความชอบอยู่ที่ปลายทางมากกว่าว่ามันจะพาคุณไปต่อได้หรือเปล่า ถ้ามัวมาแต่เถียงกันว่าคอมฯ หรือจริง ก็ไม่ได้ทำเพลงสักที พี่คิดว่ามันเป็นแค่อุปกรณ์ แต่พี่สนใจในสิ่งที่จะเกิดขึ้นมากกว่า ใช้วิธีไหนก็ได้ ให้คนสนใจชิ้นงาน วันนี้เราเจอคนที่ประสบความสำเร็จจากการนั่งหน้าคอมกับอัดจริงทุกอย่างหมดเลย พี่ว่าอันไหนก็ได้

แต่เมื่อมันง่ายขึ้นมันก็เป็นดาบสองคม คนก็มีเยอะขึ้น การที่คนจะแหลมเด่นขึ้นมามันยาก เรากล้าพูดนะว่าเราโชคดีที่เกิดก่อนและทำก่อนในยุคนั้น ที่พอจะรู้เครื่องมือ มีคอนเน็คชั่นในการไปทำเทปใต้ดิน ไปอัดกันเองที่บ้าน ซึ่งตอนนั้นก็มีคนทำเหมือนกันแต่ก็ไม่ได้เยอะเท่า เราคิดว่าถ้ามาเริ่มทำยุคนี้อาจจะพื้น ๆ ไปเลยก็ได้ สุดท้ายสำคัญมาก ๆ คือเรื่องของโอกาสเพราะหลาย ๆ ครั้งมันมาครั้งเดียวแล้วจากไปเลยก็ได้

 

                 

“ตอนนี้ชอบวงอะไรกันบ้างครับ”

พี่เมื่อย : My Life As Ali Thomas ชอบมากเมื่อวานเพิ่งคุยกับมือกีต้าร์ว่าในร้านจะเล่นยังไงให้เสียงเหมือนในอัลบั้ม เรามานั่งคำนวณกันเลย มีอีกหลายวงเลย  West Of East ของ สหายแห่งสายลม โคตรชอบ ชอบเต็มไปหมดเลย และก็ได้แต่อวยพรให้เขาได้เล่นเพลงของตัวเองด้วยเพื่อจะได้พัฒนางานด้วย ทุกแนวมันก็มีดีหมด

พี่บอล : พอทำง่ายคนก็ทำเยอะ ผมเชื่อว่าคนคุณภาพมันก็มีเท่าเดิมแหละ หาให้เจอ จริง ๆ มันก็มีทุกยุคนะ วงลักไก่  เราก็ชอบวงจากต้นน้ำแล้วดูว่าใครที่อยากไปต่อจริง ๆ แล้วผลักดันเขาไปต่อ ตอนนี้ก็ชอบ Whal & Dolph ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า พวกมันเหมือนเราตอนที่ตัวเองเป็นเด็ก ฟังประวัติการลุยมาแบบเราก็เคยมีความรู้สึกแบบนี้ เราคิดว่าเพลงแบบนี้ดีไปต่อได้เราก็จะเชียร์วงแบบนี้

อีกวงคือ Gym and Swim เราคิดว่าวงนี้สามารถไปข้างนอกได้จริง ด้วยฝีมือแบบที่ไม่ได้ถูกผลักดันอะไร Stamp ก็โตในตลาดใหญ่แล้วที่ประสบความสำเร็จแล้ว เขาก็มาตอบโจทย์ฝันในวัยเด็ก มาปั้นตัวเองในมุมเล็ก ๆ ก็ไปฝังตัวเองสังคมอินดี้ซีนที่ญี่ปุ่น ซึ่งตอนนี้ก็เห็นดอกออกผลละ แต่ว่าของ Stamp มันเห็นชัดละ มีชื่อในแบบที่รู้จักมาก่อน แต่ว่า Gym and Swim มันค่อย ๆ มา จนที่สุดกราฟมันค่อย ๆ ขึ้น สุดท้ายก็ได้ไปเล่น Festival ฮ่องกงมันเป็นงานขนาดไซส์กลางถึงใหญ่ที่ดีในเอเชียแล้ว ไม่ได้ถูกผลักดันไป แต่ถูกเชิญจริง ๆ ไอ้ที่สะสมมามันเริ่มออกดอกออกผล

“พวกพี่สองคนส่วนใหญ่ใช่เวลาชีวิตไปกับการตระเวนทัวร์คอนเสิร์ต

อยากทราบว่า มีวิธีการจัดการเเบ่งเวลาชีวิตอย่างไรบ้างครับ”

พี่บอล : คือพยายามให้สังคมมันอยู่ติด ๆ กันไม่ว่าจะที่พักที่ทำงาน จะไปไหนก็มีรถตู้มารับใกล้ ๆ กันหมด พอมีวันหยุดก็ค่อยออกไปพักที แล้วก็ให้มันไหล แต่ก็กลัวอยู่ไปแบบนี้นาน ๆ จะเฉา ปีหนึ่ง 2 – 3 ครั้งก็มีช่วง Day off  ตอนนี้ใช้วิธีเห็นใครไป Day off 4-5 วัน รู้เลยว่าไปทำอะไรส่วนตัวหรือครอบครัว ก็ออกไปให้รางวัลตัวเองบ้าง ไปเจอผู้คน แต่ว่าสังคมดนตรีและสังคมเบื้องหลังนี่เรารักและชอบ พอมาทำงานก็ไม่ได้รู้สึกว่ามาทำงานสักเท่าไหร่

พี่เมื่อย : ของพี่จะมั่ว ๆ หน่อยจบวันต่อวัน เพื่อน แฟน งาน ที่บ้าน ก็พยายามจะเก็บให้ครบ ตั้งแต่ทำงาน Doods กับ Side – Project ก็มีเรื่องให้ตื่นเต้นทุกวันเลย  วันไหนอากาศดีก็ออกไปต่างจังหวัดกับแฟนเลยพยายามจะไม่ทำตามแบบแผนที่กำหนดมาแต่เราอยากลองมากกว่า ว่าอะไรดีไม่ดีจริง ๆ เอามาพิสูจน์ แต่ไม่ได้มั่ว ๆ 

 

                

“ย้อนกลับไป 18 ปีที่เเล้ว ถ้าตอนนั้นไม่มีอัลบั้มเเรก คิดว่าตอนนี้ตัวเองจะทำอะไรอยู่ครับ”

พี่เมื่อย : ติดยาแน่ ๆ อยู่ใกล้ ๆ พี่บอลขอตังค์ซื้อยา ไม่มีงานไง ผมคิดว่าเขาดูแลผมได้ถ้าไม่มีอัลบั้มแรกนะ บังเอิญมี โชคดีไป อาจจะไม่ได้ติดยาก็ได้ แค่อาจจะยังไม่ได้ทำอะไรจริงจัง ไม่เป็นโล้เป็นพายมากกว่า เพราะผมทำอะไรอย่างอื่นไม่เป็นเลย

พี่บอล : แต่พี่โตมาในครอบครัวข้าราชการถูกสอนมาเป็นระเบียบ มันจะมีระเบียบแบบแผนวิเคราะห์วิจัยแล้วว่ามันทำดีไหมนะ ทำแล้วจะเกิดผลกระทบอะไรบ้าง เรากล้าพูดเลยว่าเราอยู่ในกรอบจนมันเป็นกรอบเกินไป อันนี้โชคดีที่ได้มาอยู่กับคนอย่างเมื่อย ก็เป็นอีกฝั่งที่ไม่มีระเบียบอะไรเลย แต่พอมารวมกันแล้วเจอจุดที่ออกดอกออกผลมันจะค่อยดึงซึ่งกันและกัน ก็คิดว่าคงไปทำข้าราชการ

                 “การใช้ชีวิตบนเส้นทางสายดนตรี ยังมีอะไรที่อยาก Unlock บ้างไหมครับ”

พี่บอล : นึกไม่ออกเลย ทำมาหมดแล้ว ทั้งที่ไม่คิดว่าจะได้ทำ หรืออยากทำ นึกไม่ออกว่ามีอะไรที่ยังไม่ได้ทำ ก็อยากจะรู้ว่าจะเล่นดนตรีไปได้อีกนานแค่ไหน ว่าจะอยู่ในสภาพนี้ได้อีกนานแค่ไหน เคยคิดว่าจะรีไทร์ มันจะหมดตอนไหนวะ  แต่คิดอีกที่ว่ามันจะไปหมดอายุตอนไหนก็ไม่เห็นต้องไปตั้งกฎ

พี่เมื่อย : ก็พยายามหาเรื่องทำไปเรื่อย ๆ ก็เริ่มจัด Festival  เล็ก ๆ ไม่ได้รีบร้อน อยากจัดให้คนนอกประเทศมาดูเด็กไทยที่เล่นเพลงตัวเอง คือวงนอกมาเป็นแค่ opening act. แต่วิธีมันโหดไงที่จะหาสปอนเซอร์ที่มีตังค์มา หาวงที่กำลังเป็นเทรนมาเล่น มันง่ายไง แต่ว่าข้อเสียเราก็จะแพ้กลุ่มใหม่ที่มีตังค์มากกว่าเรา ง่าย ๆ เลยผมอยากทำอะไรแบบนี้ซึ่ง Doods ก็ทำอยู่ แต่ว่างานนี้มีแต่นักดนตรีไทยเจ๋ง ๆ ไม่ใช่ไป Festival ก็ Coldpaly มาว่ะ ผมว่านั่นก็เป็นวิธีที่ดี แต่ผมรู้สึกว่าสู้งานแบบนั้นไม่ไหว ตอนนี้อยากให้ตัวเองมีเวลาเยอะ ๆ ทำงานแล้วมันเพลิน พักผ่อนน้อย

       

          “มาถึงจุดนี้ยังมีการวางแผนไหมครับว่าต่อไป อนาคต ของวงจะเป็นอย่างไร”

พี่บอล : มองเป็นสองปี คิดว่าอีกสองปีจากนี้ยังต้องทำงานแน่ ๆ แต่เชื่อว่าจะยังเล่นดนตรีอยู่ บางทีเดาไม่ได้แล้วว่าอนาคตที่เราอยู่จะเป็นยังไง ถ้าไปได้ก็ทำไปและน่าจะเป็นกองหลังมาขึ้น

พี่เมื่อย : ก็ยังคงเป็นวงที่หาที่เล่นดนตรีเรื่อย ๆ มันไม่มีอันไหนจะมาตอบได้ว่าเราจะอยู่ในอนาคต เท่ากับตอนที่เล่นอยู่บนเวทีแล้ว ว่าจะอยู่ไหนหรือเปล่า ผมคิดว่าวงที่ให้ความสำคัญกับการเล่นสดน้อยอาจจะเสียเปรียบนะ แต่ก็มีบางวงเล่นแล้วยอดวิวในยูทูปสูง มันอาจจะเงียบไป แต่บางคนก็ไม่ซีเรียส ก็ยอดวิวกูเยอะ คิดว่ามันผิด คิดว่ายูทูปคือจุดสิ้นสุด มันกลับกันหมดเลย การเล่นสดอ่ะอาหารจานหลัก พวกเทปซีดียูทูปนั้นคือแก้อยาก ก่อนมาดูจริง

คิดว่าดนตรีมันต้องฟังสด หรือเราอาจเป็นเผ่าที่ชอบฟังสดก็ได้ เป็นนักดนตรีก็ควรหาที่เล่นแค่นั้นแหละ พยายามเดาอนาคตของตัวเองจากการเล่นครั้งล่าสุดของคุณนั้นแหละ หรือเป็นวงที่ได้ไปออกทีวีแล้วไงวะ แล้วก็ได้เล่นดนตรีที่ไม่เป็นของตัวเอง คนรู้จักมึงแต่ก็ไม่ได้รู้จักเพลงมึง เอาให้แน่ว่าอยากดังแค่ไหน ถ้าอยากดังแบบนักดนตรีก็ต้องเล่นดนตรี หรือถ้าอยากดังเร็วโดยที่เป็นอะไรไม่รู้บ้า ๆ บอ ๆ ก็แล้วแต่ แล้วค่อยให้คนมาสนใจดนตรี ก็แล้วแต่ ถ้าเล่นแล้วยังเลี้ยงดูตัวเองไม่ได้ก็ทำอย่างอื่นไปด้วย ทุก ๆ วงก็เป็นแบบนี้

 

              

หลังจากพูดคุยกันประมาณ 1 ชั่วโมง เราสนุกมากเเละได้เรียนรู้หลาย ๆ อย่าง อย่างที่ต้องการ

สุดท้ายเลยให้พี่ ๆ ฝากอัลบั้มใหม่ของ Scrubb ที่กำลังจะออกวางแผงในเดือนพฤษภาคม

“อัลบั้มที่ 7 ชื่อว่า Season ที่แปลว่าฤดูและก็พ้องกับคำไทยที่ว่า สีสัน เมื่อยเป็นคนเจอคำนี้แล้วรู้สึกว่าเป็นคำภาษาอังกฤษทับศัพท์ คนไทยก็เข้าใจง่ายและมันก็พ้องกับคำไทยได้ ตอนนั้นที่เจอชื่อนี้เราทำเพลงไปประมาณ 7-8 เพลงได้ เป็นช่วงท้าย ๆ แล้วและพี่ฟั่นที่เป็นโปรดิวเซอร์ เขารู้สึกว่ามันมีอะไรเกี่ยวข้องกันดี

ทุกเพลงมันมีฉากหลังเป็นเรื่องของอุณหภูมิเรื่องของอากาศอยู่ผ่านช่วงเวลา ผ่านเพลงต่าง ๆ เอาเพลงมาร้อยเรียงแล้วหมุ่นเวียนไปตามฤดูกาล เมื่อว่าช่วงอายุหนึ่งต้องเจออะไรบ้าง มีประสบการณ์ความทรงจำไหนบ้างมันเลยเป็นที่มาของชื่อ Season และมันก็มีเรื่องของสีด้วย ก็เป็นโทนหรือสีใหม่ ๆ พยายามนำเสนอใส่ในเพลงก็ฝากด้วย

พฤษภาคมน่าจะได้เจอกันเต็มรูปแบบ ตอนนี้ก็มีสองเพลงใหม่ก็ ฤดู กับดวงตะวัน ที่ได้วินมาฟีเจอริ่งด้วย ก็มีสามเพลงแล้ว ก็ครึ่งหนึ่งละ ถ้ามีโอกาสก็ไปดูเราเล่นกันว่าเราเล่นดีพอหรือยัง ชอบก็บอกต่อ ไม่ชอบก็ indox มาด่าได้ เราก็อ่านกันเองอยู่แล้ว ไม่ได้ยาก”

…การได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก เเละคนอื่น ๆ ก็รักมันด้วย คงเป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนใฝ่ฝันอยากทำให้ได้ เราต้องมีวันนั้น เราต้องเป็นแบบนั้น ซึ่งระยะทางระหว่างความเป็นจริงไปจนถึงความสำเร็จ ความจริงเเล้วมันไม่ง่ายเลย เเต่เราทุกคนสามารถทำได้ เพียงเเค่เราเริ่มสักที วันนั้นก็คงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

เราคิดว่าหลาย ๆ คนหลังจากอ่านบทความนี้ เเน่นอนไฟในตัวคุณจะถูกจุดให้ติดอีกครั้ง เเละถ้ามันติดเเล้ว อย่าให้มันมอดดับไปอีกถ้าไม่เริ่มทำก็คงไม่เห็นเลยผลลัพธ์ อย่าแค่รอให้โอกาสเข้ามา เเต่จงเลือกเดินเข้าไปหามันซะ 

unlockmen
WRITER: unlockmen
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line