Life

THE WINNER: ไม่แพ้ ถ้าไม่ยอมแพ้ “หมอตั้ม”ผู้ชนะทุกอุปสรรคด้วยการดูแลและพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ

By: PSYCAT March 7, 2020

“หมอตั้ม มาสเตอร์เชฟ” ใครหลายคนเรียกเขาแบบนั้น ด้านหนึ่งเขาคือ “นายแพทย์ดิษกุล ประสิทธิ์เรืองสุข” หมอหนุ่มไฟแรงที่ทุ่มเทสุดความสามารถให้กับการเป็นแพทย์ประจำบ้าน ณ ภาควิชาวิสัญญีวิทยา โรงพยาบาลจุฬา และอีกด้านหนึ่งเขาคือเชฟมากความสามารถที่ทำอาหารอร่อย ๆ ควบคู่ไปกับการเปิดเพจ Eat Matter ผลิตคอนเทนต์ให้ความรู้เรื่องอาหารที่ดีต่อสุขภาพ รวมถึงเปิดร้านกาแฟและขนมเพื่อสุขภาพไปในคราวเดียวกัน

จากสายตาคนภายนอกหมอตั้มคือคนที่ประสบความสำเร็จ จนเรายินดีมอบตำแหน่ง “THE WINNER” ให้เขาได้อย่างไม่ลังเล เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่คนเป็นหมอ จะสามารถแบ่งเวลามาทำสิ่งที่เต็มไปด้วยแพสชัน แถมยังผสานทั้งอาชีพหลักและความฝันให้ไปด้วยกันได้อย่างน่าภูมิใจ

แต่กว่าจะมาเป็น THE WINNER ในวันนี้ได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย เขาฟันฝ่าความท้าท้าย อุปสรรค และความพ่ายแพ้มานับไม่ถ้วน อะไรคือหัวใจสำคัญที่ทำให้เขาไม่แพ้? เราอยากชวนทุกคนมารู้จัก “นายแพทย์ดิษกุล ประสิทธิ์เรืองสุข” หรือ “หมอตั้ม” ไปพร้อม ๆ กัน

จากเด็กชายที่แพ้มาตลอด สู่แรงผลักดันให้ยิ่งสู้

ภาพจำของพวกเราทุกคนล้วนเข้าใจว่าคนเป็นหมอคือคนที่ประสบความสำเร็จ ชีวิตของเขาคงลิ้มรสชาติ “การชนะ” มาโดยตลอด แต่เปล่าเลย ชีวิตของหมอตั้มเริ่มจากการเรียนรู้ความพ่ายแพ้สม่ำเสมอตั้งแต่ยังเด็ก เพราะเขาไม่ใช่คนที่เก่งเรื่องกีฬา เกม หรือแม้แต่เรื่องเรียนที่ก็ท้อ และแพ้มาหลายครั้งเช่นกัน แต่ยิ่งแพ้ก็เหมือนยิ่งเป็นกุญแจสำคัญที่ผลักให้หมอตั้มเอาชนะให้ดีกว่าเดิม

“ตอนเด็ก ๆ ผมเล่นเกมไม่เคยชนะเลย ไม่มีความสามารถเรื่องการเล่นเกมเลย กีฬาก็ไม่ค่อยเท่าไหร่ มีเรื่องเรียนที่เราแข่งกับเพื่อนอยู่หนึ่งคน เราตั้งใจว่าวิชานี้เราอยากเป็นที่สุด ที่หนึ่ง ของโรงเรียน แล้วเราก็ยังไปไม่ถึงสักที”

“เรื่องเรียนผมท้อบ่อยมาก แต่มันเป็นแรงผลักดันเราอยากที่จะชนะบ้าง ถ้าเราอ่านวันนี้แล้วเราหยุด เพื่อนเขาอ่านไปไกลแล้วนะเว้ย เราก็พยายามที่จะผลักตัวเองให้เราแข่งกับเพื่อนคนนั้น วันนั้นมันน่าจะจบถึงนี่แล้ว เราต้องอ่านนำไปอีก เราต้องเรียนรู้อะไรที่เยอะกว่าเพื่อนไปอีก”

ไม่แพ้ต่อชีวิต: ผสานรวม “หน้าที่และความฝัน” อย่างสมบูรณ์แบบ

ไม่ใช่แค่การพ่ายแพ้ในวัยเด็กเท่านั้น แต่หมอตั้มยังไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมจำนนให้กับเสียงเรียกร้องในหัวใจตัวเองด้วย เราเชื่อว่าใครหลายคนจำต้องทิ้งความฝัน ความชอบ แพสชันลึก ๆ ในหัวใจไป เพราะเรามีหน้าที่รับผิดชอบอื่นที่สำคัญกว่า แต่ไม่ใช่กับหมอตั้ม เพราะเขาเลือกนำสิ่งที่รักและเป็นความฝันอย่าง “การทำอาหาร” ซึ่งหลงใหลมาตั้งแต่ยังเด็ก ผสานรวมเข้ากับหน้าที่อันยิ่งใหญ่อย่างการเป็นหมอได้อย่างน่าชื่นชม

“ตอนนั้นผมเป็นแพทย์ใช้ทุนปีที่หนึ่งทำหน้าที่หลักคือตรวจคนที่เป็นโรคเบาหวาน ความดัน ไขมัน เป็นส่วนใหญ่ แน่นอนว่าทั้ง 3 โรคเกิดจากการกินและการไม่ออกกำลังกาย ตอนนั้นเพิ่งจบ ใช้ทุนปีแรก กำลังไฟแรง เราบอกคนไข้ว่าข้าวต้องกินกี่ทัพพีนะ ขนมปังกี่แผ่น พยายามบอกเต็มที่ พอเขากลับมาฟอลโลว์อัปอาการกับเรา ก็ยังไม่ได้ตามเป้าทางสุขภาพที่เราต้องการ”

“จนมาเจอลูกสาวคนหนึ่ง พาคุณแม่มาตรวจโรคเบาหวาน เขาเป็นคนทำอาหาร เขาก็มาถามเราว่าจะทำยังไงดี? เพราะเขาทำกับข้าวให้คุณแม่กิน เขารู้สึกว่า ที่น้ำตาลคุณแม่ไม่ลง เป็นความผิดเขาส่วนหนึ่ง

ถ้าคุณแม่ชอบกินเมนูที่ไม่สามารถเลิกได้ เราก็แนะนำให้เขาปรับเปลี่ยนวัตถุดิบ ปรากฏว่าอีก 3 เดือนหลังจากนั้นเขากลับมาตรวจ มันเห็นผลชัดเจนมากเลย ถ้าเราแนะนำโดยใช้ความรู้ที่เราทำกับข้าว มาแนะนำผู้ป่วยก็น่าจะดีเนอะ เราเลยปรับการแนะนำเป็นแนวนี้มากกว่า ปรากฏว่าคนก็สามารถทำตามได้จริงมากขึ้น”

“เราเลยเกิดไอเดียว่าถ้าเราทำเว็บเพจ หรือ Cookbook ขึ้นมาเกี่ยวกับการทำอาหารให้คนทั่วไปเข้าถึงได้ง่าย ก็น่าจะดีเหมือนกัน ช่วงนั้นมาสเตอร์เชฟเขาประกาศรับสมัครพอดี เราก็ติดตามเป็นแฟนรายการอยู่แล้ว ก็เห็นว่า เฮ้ย ถ้าชนะที่หนึ่งได้ทำ Cookbook นะ มันน่าจะเป็นโอกาสที่ดีถ้าเราจะไปสมัคร มาสเตอร์เชฟ”

“เราตั้งไว้ก่อนว่าหน้าที่หมอไว้อันดับหนึ่ง แต่ขณะเดียวกันความฝันที่จะทำอาหารก็ยังมีอยู่”

เพราะเรียนรู้จากการแพ้ วันนี้ถึง “ชนะ”

เมื่อหมอตั้ม มีแรงบันดาลใจคือความชอบทำอาหารเป็นชีวิตจิตใจและอยากให้ความรู้เรื่องอาหารที่ดีต่อสุขภาพต่อผู้คน มาสเตอร์เชฟ ไทยแลนด์จึงเปรียมเสมือนเวทีที่เขาจะพิสูจน์ตัวเอง พิสูจน์ความฝัน และพิสูจน์หน้าที่อันยิ่งใหญ่ เขาหวังจะชนะ เพื่อทำ Cookbook ให้ผู้คนมีสุขภาพที่ดีขึ้น แต่ทุกอย่างไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด เพราะเขาต้องแพ้อีกครั้งหนึ่ง…

“ตอนนั้นไปแข่ง ไม่ได้ชนะ  ไม่ได้ถึงฝั่งฝัน ไม่ได้ทำ Cookbook แต่ครั้งนี้เหมือนเป็นประตูบานใหญ่ให้เราได้เจอคนมากมายในวงการอาหาร ได้เจอคนที่สนใจความรู้เรื่องการทำอาหารอาหารสำหรับผู้ป่วย เราไม่จำเป็นต้องชนะ เราถึงจะได้ทำ เราได้เท่านี้เราก็ยังสามารถที่จะทำความฝันเราให้เป็นจริงได้”

“ถ้าเราชนะ แล้วเราอยากจะชนะไปเรื่อย ๆ เราจะพัฒนาตัวเอง จะรักษามาตรฐานการไม่แพ้ไปได้อย่างไร”

“แพ้คือการที่เราไม่ได้ตามที่เราคาดหวัง ชนะเราได้ตามที่เราคาดหวัง แต่ผมว่ากระบวนการของการจะมาถึง เช่น ก่อนเราจะชนะได้ มันมีขั้นตอน กระบวนการก่อนหน้านั้นที่เราเตรียมตัวมา จนเราชนะ และถ้าเราชนะ แล้วเราอยากจะชนะไปเรื่อย ๆ เราจะพัฒนาตัวเอง จะรักษามาตรฐานการไม่แพ้ไปได้อย่างไร”

“แต่ผมไม่เคยกลัวการแพ้เลย เพราะการแพ้คือการได้กลับมาทบทวนตัวเอง ว่าเราแพ้เพราะอะไร จุดด้อยคืออะไรเราถึงแพ้ เรายังมีจุดด้อยอะไรที่เราต้องพัฒนาตัวเอง การแพ้เรื่อย ๆ คือการได้มองย้อนตัวเอง เวลาเราชนะบ่อย ๆ เราอาจจะลืมไปก็ได้ว่าเรายังต้องไปต่อ ไม่ใช่ย่ำอยู่กับการชนะ การแพ้ คือการได้กลับมาเข้าถึง ทบทวนตัวเอง”

“การแพ้คือการได้กลับมาทบทวนตัวเอง ว่าเราแพ้เพราะอะไร จุดด้อยคืออะไรเราถึงแพ้ เรายังมีจุดด้อยอะไรที่เราต้องพัฒนาตัวเอง”

ไม่แพ้ เพราะวิธีคิด ชนะ เพราะความมั่นใจ

กว่าจะมาถึงวันที่ได้ชื่อว่าเป็นคุณหมอที่ประสบความสำเร็จทั้งหน้าที่การงานและความฝันไม่ใช่เรื่องง่าย หัวใจสำคัญของการไม่แพ้คือทัศนคติดี ๆ ของหมอตั้มที่มองการพ่ายแพ้เป็นการทบทวนตัวเองว่า “เราแพ้เพราะอะไร?” เมื่อหาสาเหตุเจอ เราก็จะยิ่งพัฒนาตัวเองได้ดีขึ้น

แต่ไม่ใช่แค่วิธีคิดเท่านั้นที่ทำให้หมอตั้มไม่แพ้ แต่เพราะ “ความมั่นใจ” ที่ถือเป็นอีกหัวใจสำคัญของการชนะอุปสรรคมาได้สารพัด

“ก่อนที่จะมาเป็นผมทุกวันนี้ ที่หลายคนอาจจะมองว่าประสบความสำเร็จเรื่องการทำหลายสิ่งในชีวิต จริง ๆ ผมผ่านการล้ม การลุก การแพ้มาหลายอย่าง ผมชนะครั้งหนึ่ง ผมอาจจะแพ้มาแล้วสัก 10 ครั้ง  หรือ 20 ครั้ง แต่ถ้าเราตั้งเป้าไว้แล้วว่าเราอยากจะได้อันนี้ชัด ๆ เราก็ต้องสู้เพื่อมัน เราก็ต้องแพ้ แล้วเราต้องกลับไปทบทวนว่าเราแพ้เพราะอะไร ทำยังไงให้วันหนึ่งเราสามารถชนะได้”

“ความมั่นใจมีส่วนในความสำเร็จ เพราะถ้าเราไม่มั่นใจ สุดท้ายเราจะโยนมันทิ้งไป ถ้าเราคิดไว้ตลอดว่าสักวันหนึ่งเราจะต้องไปถึงเส้นชัย เราก็ต้องมั่นใจให้ 100% ว่าเราต้องทำได้ ต้องสะกดจิตตัวเองทุกวันว่าเราทำได้ แล้วผลักตัวเองไปเรื่อย ๆ จนสุดทาง อย่างที่บอกถ้าเรามั่นใจ ผสมกับความพยายามกลับไปแก้สิ่งที่เรายังแพ้อยู่ สักวันหนึ่งเราจะถึงเส้นชัย”

“ความมั่นใจภายนอกก็เหมือนกัน มันเชื่อมโยงกันนะ ภายในเรามั่นใจมันก็แสดงออกมาเป็นภายนอก เฮ้ย เรา มั่นใจมาก ๆ เคยเห็นคนมั่นใจมาก ๆ ใช่ไหม? ทุกอย่างมันจะออกมามั่นใจไปหมด

แต่ถ้าเรารู้สึกไม่มั่นใจ นักจิตวิทยาเขาเคยบอกว่าถ้าเกิดเรารู้สึกว่าเราไม่มีความสุข เราลองยิ้ม เอาภายนอก มาข่มข้างใน อยู่ดี ๆ เราหัวเราะขึ้นมา สุดท้ายร่างกายจะค่อย ๆ ปรับตัว จนเราสามารถอารมณ์ดีขึ้นได้

เรารู้สึกว่าเฟลไม่มั่นใจ เราอาจจะต้องเพิ่มความฮึกเหิมให้ตัวเอง อยู่หน้ากระจก ทำตัวเอง ให้ดูมั่นใจจากภายนอก เหมือนเป็นการสะกดจิตให้ตัวเราข้างในเรามั่นใจมากขึ้น”

ดูแลตัวเองด้วยสิ่งที่ “ปลอดภัย ไม่แพ้” เคล็ดลับเบื้องหลังความสำเร็จ

หมอตั้มบอกกับเราชัดว่าความมั่นใจจากภายในและภายนอกต้องไปควบคู่กัน จึงไม่แปลกเลยที่นอกจากการพัฒนาตัวเองด้วยวิธีคิดที่ไม่ยอมแพ้อยู่เสมอ หมอตั้มจะต้องดูแลภาพลักษณ์ภายนอกเพื่อบุคลิกภาพที่มั่นใจอยู่เสมอเช่นกัน อะไรคือตัวช่วยสำคัญของความสำเร็จ เคล็ดลับแห่งความมั่นใจของหมอตั้มคืออะไร

“การเป็นหมอนี่สำคัญมาก การที่เราจะไปแนะนำคนอื่นเขาว่า คุณต้องกินอาหารที่ดี ถ้าเราไม่ดูแลสุขภาพตัวเองให้ Get in Shape แล้วไปแนะนำให้เขา เรื่องอาหาร การลดน้ำหนัก การออกกำลังกาย เขาอาจจะมองย้อนกลับมาที่เราว่าคุณยังทำไม่ได้ แล้วคุณจะ แนะนำเราได้อย่างไร จึงต้องดูแลภาพลักษณ์ตัวเองให้ดี เพื่อไปแนะนำคนอื่นได้

การเป็นเชฟก็หมือนกัน ผมทำงานด้านอาหารที่เกี่ยวกับสุขภาพ เพราะฉะนั้นถ้าผมปล่อยเนื้อปล่อยตัว ไม่ออกกำลังกาย ไม่ดูแลสุขภาพดี ๆ การที่จะไปแนะนำคนอื่นก็ไม่น่าเชื่อถือ”

“จริง ๆ ดูแล 2 อย่าง ดูแลจากภายใน กับดูแลจากภายนอก ถ้าภายในมันชัดเจนมาก เพราะเรากินอะไรเข้าไปมันก็ได้อย่างนั้น พยายามควบคุมอาหาร เรารู้แล้วว่า เรากินอันนี้แล้วดีต่อระบบอะไร เราก็จะเลือกกินมากขึ้น

สอง เราต้องออกกำลังกาย กินเข้าไปมันมีพลังงานส่วนเกิน ถ้าเรากินเข้าไปเยอะ ๆ มันก็จะอ้วนขึ้น ก็ไม่ดี ส่งผลต่อสภาพผิวตามมา การออกกำลังกายก็ส่งผลต่อรูปลักษณ์ภายนอกและผิวพรรณ”

“เมื่อเราดูแลภายในดีแล้ว ภายนอกเราก็ต้องดีขึ้น เราก็พยายามเลือกว่าผิวเราโดนแดดเยอะ ๆ ต้องพยายามกันไม่ให้เราโดนแดด เพื่อชะลอการแก่ของเซลล์ หรือถ้าเราป้องกันแล้วมันยังต้องเจออยู่ เราก็ต้องซ่อมแซมส่วนที่เสียไป ก็ต้องมีสกินแคร์ ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ให้เราทาเพื่อบำรุง รักษา สิ่งที่เสียไปทุกวัน”

“ทุกวันนี้มีผลิตภัณฑ์ดูแลผิวให้เลือกเยอะมาก เราก็ต้องดูก่อนว่าเราเป็นคนสภาพผิวแบบไหน แพ้ง่ายหรือเปล่า เราแพ้สารตัวไหนโดยเฉพาะหรือเปล่า เราก็ต้องคอยดูส่วนผสมของสกินแคร์นั้น เราไม่เคยใช้อะไรมาก่อน ไม่รู้ว่าจะแพ้ตัวนี้มั้ย เราอาจเลือกเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมไม่ระคายเคือง ไม่ทิ้งสารตกค้าง มันก็จะดีต่อเรามากกว่า”

 

ยิ่งทำงานหนักและต้องการความมั่นใจ ยิ่งต้องฟังคำแนะนำจากแพทย์ผิวหนัง

เพราะทัศนคติที่ดีและการพัฒนาตัวเองอยู่เสมอจะทำให้เราไม่แพ้ ในขณะที่การดูแลตัวเองอย่างใส่ใจ เหมาะสมกับช่วงวัยและไลฟ์สไตล์ ก็จะเสริมสร้างความมั่นใจจากภายนอกควบคู่กับภายในได้ จึงไม่แปลกใจที่หมอตั้ม ผู้ชายที่ประสบความสำเร็จทั้งวิธีคิดภายใน และการดูแลภาพลักษณ์ภายนอกจะพิถีพิถันเรื่องการดูแลและพัฒนาตัวเองเป็นพิเศษ

เช่นเดียวกับที่ พ.ญ.วิญญารัตน์ ตันศิริ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังแนะนำว่าหนุ่ม ๆ วัย 30 ปีเป็นต้นไป ซึ่งถือเป็นช่วงวัยที่ทำงานหนัก จึงไม่มีเวลาดูแลผิวหน้าและผิวกาย อย่างไรก็ตามการดูแลผิวเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ควรรีบปรนนิบัติดูแลตั้งแต่เนิ่น ๆ

พ.ญ.วิญญารัตน์ ตันศิริ ระบุเพิ่มเติมว่าถ้าลักษณะงานต้องออกไปติดต่อข้างนอกบ่อย ๆ ต้องทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวันก่อนออกจากบ้าน โดยเลือกครีมกันแดดที่มีประสิทธิภาพที่ดี ไม่ทำให้แพ้ง่าย ครีมกันแดดแบบกายภาพ (Physical Sunscreen) จะยิ่งมีประสิทธิภาพในการกันแดด

รวมถึงปัญหาเรื่องผิวหยาบกระด้างที่ไม่ว่าหมอตั้มหรือผู้ชายวัย 30 หลายคนต้องเผชิญ เนื่องจากใบหน้า มือ เท้า จะเริ่มหยาบกระด้างขึ้น เนื่องจากเมื่อมีอายุมากกว่า 25 ปีขึ้นไป อวัยวะจะเริ่มเสื่อมลง ผิวหนังก็เช่นกัน ดังนั้นจึงต้องทาครีมบำรุงผิวหน้าเป็นประจำก่อนนอน เพื่อคืนความชุ่มชื้นให้กับใบหน้า

 

SMOOTH E DEEP & GENTLE NON IONIC LIQUID CLEANSER

การดูแลตัวเองเพื่อเพิ่มความมั่นใจทั้งภายนอกและภายในของหมอตั้ม รวมถึงคำแนะนำจาก พ.ญ.วิญญารัตน์ ตันศิริ  แพทย์ผิวหนังทำให้เห็นว่าการเลือกใช้ ผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัยไร้สารตกค้าง ไม่ก่อให้เกิดการแพ้ ถือเป็นเคล็ดลับสำคัญในการเอาชนะทุกอุปสรรค โดยเฉพาะการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำมาเพื่อผิวของผู้ชาย

พ.ญ.วิญญารัตน์ ตันศิริ ระบุว่าสภาพผิวของผู้ชายวัย 20-35 ปี นั้นแตกต่างจากสภาพผิวของผู้หญิง เนื่องจากมีฮอร์โมนเพศชาย คือ แอนโดรเจน ( Androgen ) สูง ส่งผลทำให้มีใบหน้ามัน ( Seborrhea ) ได้มากกว่าผู้หญิง และมีโอกาสเกิดสิวมากกว่า เนื่องจากมีใบหน้ามันมากกว่า

นอกจากนั้นใบหน้าผู้ชายนั้นค่อนข้างจะหยาบกร้านและดำคล้ำมากกว่าผู้หญิง ทั้งนี้เนื่องจากผู้ชายมีไลฟ์สไตล์ลุย ๆ ไม่ระมัดระวังเรื่องการตากแดดตากลม อีกทั้งไม่นิยมถือร่ม เดินหลบแดดหรือทาครีมกันแดด ดังนั้นผิวหน้าของผู้ชายวัยนี้จึงหยาบกร้าน ดำคล้ำได้มากกว่าผู้หญิง

รวมถึงผิวหน้าผู้ชายมีโอกาสเกิดผื่นแพ้ระคายเคือง (Irritant contact dermatitis) ที่บริเวณหนวดและคาง ที่มีสาเหตุมาจากการโกนหนวดหรือแพ้โฟมโกนหนวด นอกจากนั้นไลฟ์สไตล์การเล่นกีฬากลางแจ้ง และหลงลืมการทำความสะอาดอย่างใส่ใจ ยังเพิ่มโอกาสเกิดกลากน้ำนม (P. alba) ที่เป็นด่างสีขาวที่ใบหน้าและโอกาสเกิดเกลื้อน (T. versicolor)ได้มากกว่า

ปัจจัยเหล่านี้จึงทำให้ผู้ชายมีปัญหาเรื่องผิวหน้ามากกว่า ทั้งปัญหาผิวหน้ามัน รูขุมขนกว้าง ปัญหาสิว ปัญหาผิวหยาบกร้านไม่เรียบเนียน ผื่นแพ้ระคายเคืองที่หนวด คาง เครา กลากน้ำนมที่หน้า (P.alba) ด่างขาวที่หน้า และ เกลื้อนที่หน้า (T.versicolor)

ผู้ชายจึงต้องการเวชสำอางทำความสะอาดผิวหน้าที่เข้าใจ และผลิตมาเพื่อดูแลปัญหาผิวหน้าให้ผู้ชายเป็นพิเศษ SMOOTH E DEEP & GENTLE NON IONIC LIQUID CLEANSER เวชสำอางทำความสะอาดผิวหน้าสูตรน้ำ ล้างผิวได้อย่างอ่อนโยนด้วย Micella water ที่ทำความสะอาดได้ล้ำลึกขึ้น แก้ไขปัญหา ผิวแห้งกร้าน สิวแพ้ง่าย เอาชนะปัญหาหน้าแห้งตึงหลังล้างหน้า เอาชนะปัญหาความระคายเคืองที่นำไปสู่ปัญหาผิวตามมา

ที่สำคัญคือ Oil-Free และ Alcohol Free ไม่เติมน้ำมันส่วนเกินสู่ผิวและปราศจากแอลกอฮอล์ ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองผิว  รวมถึง pH-balanced ที่รักษาสมดุลผิวตามธรรมชาติ  ปิดท้ายด้วยการบำรุงผิวจากสารสกัดจากสาหร่าย ใบมะกอก ว่านหางจระเข้ (pure vitamin e) ให้ผิวหน้านุ่มชุ่มชื่น ขาวขึ้นในแบบผู้ชาย

ไม่เพียงเท่านั้นเนื้อลิควิดยังพัฒนาโดยผู้เชี่ยวชาญเพื่อผิวผู้ชายโดยเฉพาะ สูตร Non-ionic (NIS) แท้ ทำให้ไม่มีฟองและประจุไฟฟ้า จึงทำให้ไม่ทิ้งสารตกค้างที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง ทำร้ายผิว อีกทั้งเป็นสูตร Extra Mild ทำความสะอาดล้ำลึก โดยไม่ดึงน้ำหล่อเลี้ยงผิวออกมากเกินไป

สำหรับใครหลายคนที่ไม่รู้มาก่อน Non-ionic (NIS) คือสารลดแรงตึงผิวไม่มีประจุ โดย NIS เป็นแอลกอฮอล์ที่ได้จากพืชซึ่งเป็นพลังงานทดแทนจากธรรมชาติ 100% ทั้งจากน้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันเมล็ดในปาล์มและกลูโคสของข้าวโพด จึงมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์นี้มาจากธรรมชาติ อ่อนโยนและไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองอย่างแน่นอน

นอกจากความอ่อนโยนต่อผิวแล้ว NIS ยังทำความสะอาดผิวหน้าได้หมดจดแต่ถนอมผิวไปในเวลาเดียวกัน โดย SMOOTH E DEEP & GENTLE NON IONIC LIQUID CLEANSER ผ่านการทดสอบตามมาตรฐาน DRC ของญี่ปุ่นว่าเป็นเวชสำอางที่ปลอดภัยและไม่ทำให้ระคายเคือง

แผนภาพแสดงระดับความระคายเคืองต่อผิว ชี้ให้เห็นว่า NIS แทบไม่ระคายเคืองต่อผิว ในระดับใกล้เคียงกับน้ำเปล่า

ไม่ว่าคุณจะตะลุยเอาชนะทุกงานหนัก ทุกความรับผิดชอบยิ่งใหญ่ หรือความฝันที่คุณรัก SMOOTH E DEEP & GENTLE NON IONIC LIQUID CLEANSER จะดูแลผิวหน้าคุณให้ดูดีเพื่อความมั่นใจและสามารถเป็น THE WINNER ในทางของคุณได้อยู่เสมอ

PSYCAT
WRITER: PSYCAT
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line