Entertainment

“ผมจะนอนก็ต่อเมื่อผมตายเท่านั้น” ชีวิตแบบ non-stop กับ Steve Aoki

By: Thada October 10, 2017

“ผมจะนอนหลับก็ต่อเมื่อผมตายเท่านั้น” คือสโลแกนสุดเท่จากหนึ่งในศิลปิน/โปรดิวเซอร์ สายดนตรีอิเลคโทรนิคส์แห่งยุคอย่าง Steve Aoki ซึ่งจะว่าไปแล้วตัวของเขามีเรื่องราวที่น่าสนใจ ที่กว่าจะฝ่าฟันมายืนเด่นสง่าอยู่แถวหน้าดังเช่นทุกวันนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นทีมงาน UNLOCKMEN จึงอยากจะนำเรื่องราวประวัติชีวิตของเขามาเป็นแรงบันดาลใจขับเคลื่อนความฝันของคนที่กำลังหมดไฟ

Steven Hiroyuki Aoki เด็กหนุ่มเชื้อสายญี่ปุ่นที่มาเกิดและเติบโตในดินแดนสหรัฐอเมริกา โดยพ่อของเขาคืออดีตตำนานนักมวยปล้ำชื่อดัง Rocky Aoki ที่ได้พาครอบครัวย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่เมือง Miami ในรัฐ Florida

Rocky Aoki และ Steve Aoki

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น พ่อ และแม่ของ Steve ก็ได้หย่าร้างและแยกทางกันตั้งแต่ Steve ยังเป็นเด็ก จึงทำให้แม่ของเขา (Chizuru Kobayashi) ต้องเลี้ยงเขามาด้วยตัวคนเดียว ซึ่งแม้ว่า Steve Aoki จะสามารถเจอคุณพ่อเมื่อไหร่ก็ได้ตามต้องการ แต่การที่ครอบครัวต้องแตกแยก และพ่อของเขาได้ไปมีครอบครัวใหม่ มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะได้รับความรักที่สมบูรณ์แบบ

ดังนั้นชีวิตในวัยเด็กของเขาจึงเป็นเด็กเก็บตัว ขี้อาย เนื่องจากลักษณะภายนอกที่ดูแตกต่างจากเพื่อนคนอื่น ๆ ที่ผิวขาวหัวทอง แต่ Steve เป็นคนเอเชียผิวเหลืองหัวดำตัวเล็ก บวกกับยังไม่สามารถปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมตะวันตกได้

แต่ตัวเขาเองก็พยายามอย่างหนักเพื่อปรับตัวเข้ากับสิ่งใหม่ ๆ รอบตัว อย่างเช่น ตอนมัธยม Steve Aoki พยายามเข้าร่วมทีมฟุตบอลเพราะหวังจะสามารถกลมกลืนและเข้ากับเพื่อนคนอื่น ๆ ได้  แต่ทุกคนต่างหัวเราะเยาะเขาเพราะร่างกายที่ผอมแห้ง โดนเด็กคนอื่น ๆ ชนกระแทกปลิวดังปุยนุ่น ชีวิตในวัยเด็กของเขาไม่ได้ง่ายดายเขาต้องผ่านช่วงไฮสคูลไปอย่างยากลำบาก

แม้ว่าชีวิตความเป็นอยู่โดยทั่วไปของเขาจะเข้าขั้นสุขสบาย เพราะมีคุณพ่อที่ทิ้งกิจการมรดกร้อยล้านอย่างภัตตาคาร Benihana ไว้ให้ แต่มันก็เหมือนเป็นความกดดันที่ Steve Aoki  หวังว่าจะพยายามเดินตามรอยความยิ่งใหญ่ของ Rocky Aoki ให้จงได้

ภัตคาตารอาหารญี่ปุ่น Benihana ที่มีสาขาไปทั่วอเมริกา

Steve Aoki เล่าถึงพ่อเขาว่า “พ่อของผมคือซุปเปอร์ฮีโร่ที่เป็นแรงขับเคลื่อนให้ผมอยากจะประสบความสำเร็จตาม โดยเขาสอนให้ผมทำงานหนักตลอดเวลา อย่าหยุดพัก เพราะตัวเขาก็เองก็ไม่เคยหยุดพักเช่นกัน มันเป็นวิถีของชาวญี่ปุ่น ซึ่งตัวผมได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มากมายจากพ่อ และก็อยากจะแสดงให้เขาเห็นว่าผมสามารถทำได้ ”

สำหรับจุดเริ่มต้นทางดนตรีของ Steve Aoki เริ่มต้นในช่วงสมัยมหาวิทยาลัย หลังจากเขาย้ายไปที่ Santa Barbara เพื่อเข้าเรียน University of California เพราะเขาทราบว่าใน Santa Barbara วงการเพลงใต้ดินโด่งดังอย่างมาก แล้วเขาเองก็ได้ก่อตั้งวงดนตรีแนว Hardcore กับเพื่อน ๆ

โดยในช่วงเวลานั้นดนตรีคือชีวิตทั้งหมดของ Steve Aoki ซึ่งเขาสามารถเล่นเครื่องดนตรีในวงได้ทุกชนิดไม่ว่าจะเป็น กลอง กีต้าร์ เบส รวมถึงร้อง เขามีความหลงใหลทะเยอทยานในเสียงดนตรีถึงขนาดเช่าอพาร์ทเมนต์สองชั้นโดยชั้นบนไว้สำหรับนอน และชั้นล่างไว้จัดคอนเสิร์ต โดยใช้ชื่อโปรเจคว่า The Pickle Patch และผ่านการแสดงสดของวงดนตรีมากว่า 400 วง

จากโปรเจค The Pickle Patch ทำให้เขาได้รู้จักผู้คนเป็นจำนวนมาก จนเป็นที่มาให้ Steve Aoki เริ่มคิดที่อยากจะทำค่ายเพลงเป็นของตัวเอง กระทั่งสำเร็จเป็น Dim Mak Record ในปี 1996  ซึ่งที่มาของชื่อ Dim Mak มาจากชื่อท่าชกของฮีโร่ในวัยเด็กของเขาอย่าง Bruce Lee โดยที่ในเวลานั้น Steve Aoki มีอายุเพียง 20 ปีเท่านั้น เรียกว่าเป็นเจ้าของค่ายเพลงที่อายุน้อยมากที่สุดก็ว่าได้

แม้แต่ Steve Aoki เองก็ยอมรับว่าตัวเขาในเวลานั้นแทบไม่มีความรู้ในการบริหารค่ายเพลงเลยด้วยซ้ำ แต่เขาทำก็เพราะรู้สึกว่าอยากทำ และมันคือความฝันของเขา

หลังจากเปิดค่ายมาได้สามปีจนกระทั่งเรียนจบมหาวิทยาลัยในปี 2000  Steve Aoki ได้ย้ายตัวเองเพื่อไปอยู่ที่ Los Angeles เพราะหวังจะนำธุรกิจค่ายเพลง Dim Mak ให้เติบโตไปอย่างที่มันควรจะเป็น แต่พ่อของเขา (Rocky Aoki) ไม่ได้สนับสนุนไอเดียนี้มากนัก ซึ่ง Steve ก็หวังจะพิสูจน์ให้พ่อของเขาเห็นว่าเขาสามารถทำได้ ดังนั้นเงินในการเปิดค่ายครั้งนี้จึงไม่ได้มาจากพ่อของเขาเลยแม้แต่ดอลลาร์เดียว

สำหรับเงินลงทุนค่ายเพลง Dim Mak ได้สองผู้ร่วมลงทุนที่ถือเป็นแรงผลักดันสำคัญในช่วงแรกอย่างสองพี่น้องตระกูล Madden แห่งวง Good Charlotte เพื่อหวังให้ Dim Mak เดินทางไปอย่างที่ถูกที่ควร เพราะเขาเชื่อในวิสัยทัศน์ของ Steve Aoki  และในเวลาไม่นาน Dim Mak ภายใต้การบริหารของเขาก็ส่งศิลปินเบอร์แรกอย่าง วง Bloc Party  ออกสู่ตลาดก่อนจะมีอีกหลาย ๆ วงที่ตามมา จนชื่อของ Dim Mak เริ่มเป็นที่คุ้นหูของคอดนตรีอินดี้ในสหรัฐอเมริกา ส่วนตัวเขาเองก็หันมามิกซ์เพลง และเริ่มเส้นทางดนตรีในสายของเพลงอิเลกโทรนิคส์อย่างจริงจัง

จุดเริ่มต้นการเป็นดีเจของเขาเหมือนเป็นความบังเอิญ เพราะเพื่อนของเขาได้จัดปาร์ตี้เล็ก ๆ ใน Los Angeles และเชิญ Steve มาเป็นดีเจทั้งที่ในเวลานั้นเขาแทบจะไม่ค่อยมีความรู้ในเรื่องดีเจมาก่อนเลย แต่ Steve Aoki กลับแสดงโชว์ได้อย่างมีพลังและแตกต่าง

ชื่อเสียง Steve Aoki ในฐานะดีเจเติบโตอย่างก้าวกระโดด เพราะเขาเป็นดีเจในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน อาจเพราะเขาเติบโตมาจากดนตรี Hardcore เขาจึงให้ความสำคัญกับฟิลลิ่ง และการเอ็นเตอร์เทนคนดูจนทำให้คลับมากมายดึงตัวเขาไปเปิดแผ่น ก่อนที่จะมีซิงเกิ้ลของตัวเอง

จนกระทั่งในปี 2008 ตัวของ Steve Aoki มีโอกาสได้ส่งเพลงมิกซ์ของตัวเองไปเปิดทาง BBC Radio 1 เป็นหนแรก และหลังจากนั้นเขาก็ได้มิกซ์เพลงอีกมากมาย เขามีโอกาสได้ร่วมงานกับศิลปินดังระดับ Kanye West , Will.i.am , Lady Gaga จนชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก

เรียกได้ว่าผลงานของ Steve Aoki เป็นการเปิดศักราชให้แก่วงการดนตรี EDM จนกลายเป็น Mainstream Music อย่างแท้จริง เพราะนอกจากผลงานเพลงส่วนตัว เขายังเป็นส่วนผลักดันวงการด้วยการโปรโมตศิลปินหน้าใหม่ ๆ ภายใต้สังกัด Dim Mak Record อาทิ The Chainsmonker , Deorro และอีกมากมาย

สำหรับตัวเขาเองก็ยังคงสร้างงานเพลงให้ไปไต่ชาร์ตเพลงป๊อปอย่างที่ไม่เคยมีดีเจคนไหนทำได้มาก่อน  และแม้ว่าจะมีคนชื่นชอบสไตล์ของ Steve Aoki แต่ก็มีอีกไม่น้อยที่รู้สึกว่าเขาได้ทำลายความเป็นอิเล็กโทรนิคส์ไปอย่างสิ้นเชิง เพราะหากพูดกับตามตรงว่า Steve Aoki เป็นดีเจคนแรกที่ผสานดนตรีที่มีความป๊อปร็อคตลาดลงไป เพื่อให้คนสามารถฟังง่ายขึ้น ดังนั้นจึงมีสาวก EDM ออกอาการยี้กับผลงานของเขาในช่วงแรก

แต่โซโล่อัลบั้มแรกอย่างแท้จริงของเขาเกิดขึ้นในปี 2012 ชื่อว่า Wonderland  ซึ่ง Steve  Aoki ได้ร่วมงานกับศิลปินมากมายไม่ว่าจะเป็น LMFAO , Kid Cudy , Travis Barket ,Will.i.am  และจากอัลบั้มเขาเองก็ได้เข้าชิงรางวัลแกรมมี่ครั้งที่ 55 อีกด้วย

หลังจากนั้นกระแสดนตรี EDM ที่แพร่กระจายไปทั่วโลก Steve Aoki ได้กลายเป็นหนึ่งในดีเจเบอร์ต้น ๆ ของโลก เพราะไม่ว่าจะเป็นจำนวนโชว์ หรืองานเฟสติวัลไหน ๆ ก็ไม่พลาดที่จะมีชื่อของ Steve Aoki เป็น Headlineup อีกทั้งด้วยความสุดขั้ว และการทำงานอย่างบ้าคลั่ง Steve Aoki ทำสถิติเป็นดีเจที่เดินสายทัวร์รอบโลกมากที่สุดในหนึ่งปีราว ๆ 300 โชว์  เขาแทบจะไม่มีวันหยุดพัก ทำงานราวกับหุ่นยนต์

เหตุผลที่ Steve Aoki ออกโชว์อย่างไม่หยุดพักก็เพราะ “ผมรู้สึกโชคดีมาก ๆ ที่ได้มายืนอยู่ตรงจุดนี้ การทัวร์ทำให้ผมมีความสุข และยังมีเส้นทางในสายดนตรีให้ผมเดินไปอีกมาก ตอนนี้ผมเพิ่งจะอายุแค่ 35 ปีเอง ดังนั้นผมจะไม่ยอมเสียเวลาไปสักวินาทีสำหรับการนอน ผมจะนอนก็ต่อเมื่อผมตายไปเท่านั้น”

เห็นไหมละครับว่าขนาด Steve Aoki ที่มีเพียบพร้อมทุกอย่างทั้งมรดกจากตระกูล หรือธุรกิจส่วนตัวที่สามารถเลี้ยงตัวไปได้ทั้งชีวิต แต่เขากลับยังคงทำงานหนักเพื่อสนองความสุขของตัวเอง โดยไม่แคร์ว่าเงินที่ได้มันจะมากขึ้น หรือน้อยลงเพียง ขอแค่ได้ทำในสิ่งที่เรารัก และหากใครเคยไปดู Steve Aoki จะรู้ว่าเขาเป็นคนที่สุดอย่างแท้จริงไม่ว่าโชว์นั้นจะเล็กหรือใหญ่เพียงใดก็ตาม

ทีมงานก็อยากให้นำเรื่องราวของเขาที่ทั้งกล้า บ้า และมุ่งมั่นอย่างคลั่ง จนทำให้ทุกวันนี้เขายังคงเป็นดีเจอันดับต้น ๆ ของโลก แบบไม่สามารถมีใครมาเบียดเขาลงจากตำแหน่งได้ ซึ่งเราเชื่อว่าหากทุกคนมีความพยายามและอดทนได้เท่ากับ Steve Aoki  สิ่งใดที่หวังไว้ก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

 

 

 

Thada
WRITER: Thada
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line