Entertainment

MIKE SHINODA: มันสมองของ LINKIN PARK ผู้ RUN วงการดนตรี-ศิลปะ และโคตรชายมากความสามารถ

By: PEERAWIT May 11, 2018

ช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี้มีศิลปินเจ๋ง ๆ ระดับโลกมากมายที่เวียนกันเข้ามาเล่นตอนเสิร์ตในบ้านเรา และดูเหมือนว่าจะยังมีเบอร์ใหญ่ ๆ ทยอยเข้ามาเล่นสดกันให้ดูอีกเยอะ หนึ่งในนั้นคืองานคอนเสิร์ตผู้ชายอย่างเราไม่น่าพลาดก็คือการมาเยือนของ Mike Shinoda แร็พเปอร์แห่งวงระดับไอค่อนอย่าง Linkin Park โดยเขาจะเดินทางมาแสดงโชว์ที่ไทยในวันที่ 9 สิงหาคม 2561 นี้ ที่ GMM Life House @CentralWorld ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทัวร์อัลบัมเดี่ยวของเขาที่ใช้ชื่อว่า “POST TRAUMATIC” ที่จะถูกปล่อยออกมาในวันที่ 15 มิถุนายนนี้

ภาพจาก NME

แน่นอนว่าทุกคนจำภาพของ Mike ในฐานะแร็พเปอร์, นักร้องนำร่วม, นักดนตรี และผู้ร่วมก่อตั้งวง Linkin Park ที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขเคียงบ่าเคียงไหล่กับ Chester Bennington ฟร้อนต์แมนและเพื่อนสนิทของเขาผู้ล่วงลับไปเมื่อปีก่อน แต่ชายที่ชื่อว่า Mike Shinoda ยังมีอีกหลายมิติ

UNLOCKMEN เห็นว่าเรื่องราวของเขาทรงพลังมากพอ ที่จะเป็นแบบอย่างและแรงบันดาลใจให้กับผู้ชายอย่างเรา ในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ให้กับโลกใบนี้ และลุยให้สุดเส้นทางที่วางไว้ จึงขอหยิบยกสตอรี่ของเขามาเล่าให้ฟังกัน ก่อนจะไปมันส์กับเขาที่หน้าเวที

 

ชายผู้เติบโตมากับดนตรีและศิลปะ

เรื่องราวของชายที่ทรงพลังในวงการดนตรีถือกำเนิดขึ้นในช่วงปลายยุค ’70s Michael Kenji Shinoda เกิดวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1977 ที่ Agoura Hills รัฐ California สหรัฐอเมริกา โดยพ่อของเขาเป็นชาวญี่ปุ่น และตัวเขาเองมีน้องชายที่คลานตามกันมาที่ชื่อว่า Jason

เขาเติบโตที่ Agoura Hills ด้วยการเลี้ยงดูจากครอบครัวที่สนับสนุนให้มีทักษะทางด้านดนตรี แม่ของเขาพา Mike ไปเรียนเปียโน(คลาสสิค)ตั้งแต่อายุ 6 ขวบ ซึ่งเขาฝึกฝนมาอย่างต่อเนื่องจนถึงอายุ 13 ปี จนเริ่มแตกหนุ่มและขอมุ่งสู่แนวทางดนตรีแบบ jazz, blue และ hip-hop ก่อนจะเริ่มเล่นกีตาร์และหัดแร็พเมื่อตอนเรียนในระดับมิดเดิลสคูลและไฮสคูล ขณะเดียวกันหนุ่ม Mike ก็ชื่นชอบศิลปะเป็นชีวิตจิตใจเช่นกัน

วง Xero

แน่นอนว่าชายหนุ่มที่มี skill ทางด้านดนตรีย่อมมีความฝันอยากจะฟอร์มวงดนตรีขึ้นมาสักครั้ง และความฝันนี้เริ่มเป็นจริงที่ Agoura High School โรงเรียนที่ Shinoda ได้มาพบกับ Brad Delson มือกีตาร์ และ Rob Bourdon มือกลอง ในที่สุดทั้ง 3 คนก็ตั้งวงที่มีชื่อว่า Xero ขึ้นมา และพวกเขาก็ไม่ได้เอาแต่เข้าห้องซ้อมกันไปวัน ๆ แต่มุ่งมั่นเกินร้อยเพื่อเดินเข้าสู่การเป็นมืออาชีพ โดยหลังจากเรียนจบไฮสคูล Mike ก็เข้าเรียนต่อที่ Art Center College of Design of Pasadena เพื่อลับคมวิชากราฟิกดีไซน์และภาพประกอบ และที่นี้เองเขาก็ได้เจอกับ DJ Hahn หรือ Joseph Hahn จากนั้น Shinoda ก็เรียนจบปริญญาตรีด้านภาพประกอบที่นี่เมื่อปี 1998 ก่อนจะเริ่มทำงานเป็นกราฟิกดีไซเนอร์ในเวลาต่อมา

 

มันสมองของ Linkin Park

หลังจากที่ Shinoda ได้ตัดสินใจร่วมหัวจมท้ายกับ Delson และ Bourdon เมื่อปี 1996 รวมถึงดึง Hahn, Dave Farrell มือเบสส์ และ Mark Wakefield นักร้องนำมาทำวง Xero ด้วยกัน พวกเขาก็เริ่มทำเพลงตามอัตภาพในตอนนั้น อัดเดโม่กันดิบ ๆ ที่ห้องนอนของ Shinoda ซึ่งก้าวแรกของพวกเขายังไม่ถึงฝั่งฝัน ทำให้ Farrell และ Wakefield ทิ้งไว้กลางทาง เพื่อไปตามหาแนวทางอื่น (Farrell แยกทางชั่วคราว)

จุดเปลี่ยนก็คือ การที่ทางวงได้มาเจอกับ Chester จากการเปิดออดิชั่น ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าคนนี่แหละใช่เลย จนกระทั่งได้เซ็นสัญญากับ Warner Bros Records กลายเป็นวงใหม่ที่ชื่อว่า Linkin Park พร้อมอัลบัมแรกที่ชื่อว่า Hybrid Theory งานที่สร้างมิติใหม่ให้กับวงการดนตรี rock ในปี 2000 จากนั้นพวกเขาดังเปรี้ยงปร้างไปทั่วโลก โดยอัลบัมนี้ Shinoda มีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิดในทุกขั้นตอนของการทำเพลงและบันทึกเสียง รวมถึงเป็นคนเรียบเรียงดนตรีและเนื้อเพลงด้วย แน่นอนว่าสไตล์ hip hop และการแร็พของเขามันช่างเติมเต็มกับการร้องเมโลดิคและสำรอกของ Chester ได้เป็นอย่างดี กลายเป็นเอกลักษณ์ของสไตล์ rap metal ที่ขยายอิทธิพลอย่างรวดเร็วในขณะนั้น

นอกจาก Hybrid Theory แล้ว Shinoda ยังเป็นตัวตั้งตัวตีในการทำอัลบัมรีมิกซ์แรกของวงออกมาเมื่อปี 2002 โดยใช้ชื่ออัลบัมว่า Reanimation ซึ่งเพลงดังอย่าง “Crawling” และ “Pushing Me Away” ได้ถูกมิกซ์ใหม่ที่สตูดิโอส่วนตัวของเขา ส่วนเรื่อง art direction เขาก็อาสาดูเอง และตัดสินใจร่วมงานกับ DELTA ศิลปินกราฟิตี้ชื่อดัง, Frank Maddocks กราฟิกดีไซเนอร์ตัวเอ้ และ Hahn เพื่อปล้ำกับงานอาร์ตเวิร์กของอัลบัม Reanimation

พอมาถึงอัลบัม Meteora สตูดิโออัลบัมที่ 2 ของวง เมื่อปี 2003 ซึ่งเป็นงานชุดที่นักวิจารณ์เทคะแนนให้มากที่สุด Mike ก็ยังคงจัดการกับอาร์ตเวิร์กของอัลบัมเอง โดยหนนี้นอกจากจะร่วมสร้างศิลป์กับ 3 คนที่กล่าวมาแล้ว ยังได้มือดีอย่าง The FlemJames R. Minchin III และ Nick Spanos มาช่วยกันยำให้เยี่ยม ส่วนงานดนตรีเขาก็ทำหน้าที่โปรดิวเซอร์ร่วมกับ Don Gilmore นอกจากนี้ Shinoda ยังได้โปรดิวซ์และมิกซ์งานคอลแลบกันระหว่าง Jay-Z และ Linkin Park ที่มีชื่อว่า Collision Course ที่คลอดออกมาเมื่อช่วงปลายปี 2004 จนมีรางวัล Grammy Award สาขา “best rap / song collaboration” ติดมือเมื่อปี 2006

จากนั้นทางวงก็ปล่อยอัลบัมที่ 3 Minutes to Midnight ออกมาเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2007 งานชุดนี้ Shinoda ได้ร่วมกันดูแลงาน production ร่วมกัน Rick Rubinโปรดิวเซอร์มือทอง ซึ่งในอัลบัมนี้ Shinoda ไม่ได้แร็พในเพลงอย่างเดียว แต่ได้โชว์การร้องเพลงด้วยในเพลง “In Between” , “No Roads Left” , “Bleed It Out” และ “Hands Held High” ส่วนอัลบัมที่ 4 A Thousand Suns พ่อหนุ่ม Mike กับน้า Rick ก็ยังคงร่วมกันดูแลการผลิตเช่นเคย โดยแนวทางการร้องในงานชุดนี้จะเน้นการร้องเมโลดิคมากกว่าการแร็พ ซึ่ง Shinoda แร็พไปแค่ 3 เพลง คือ “Waiting for the End” , “When They Come for Me” และ “Wretches and Kings” ที่เหลือก็เป็นการประสานเสียงร้องกับ Chester

ส่วนอัลบัมที่ 5 Living Things ที่ออกมาเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2012 มีความเป็น “rap-centric” มากขึ้น โดย Shinoda นำกลิ่นอายของแนวทาง folk สไตล์ Bob Dylan มาสร้างสีสันให้แตกต่าง ขณะที่ Recharged อัลบัมรีมิกซ์อีกชุด ที่นำงานจาก Living Things มาเล่นแร่แปลธาตุเมื่อปี 2013 นั้น Shinoda ได้นำประสบการณ์การเรียนรู้แนว EDM ที่เขาได้เรียนรู้จาก Avicii ดีเจระดับโลกผู้ล่วงลับ และ Steve Aoki มาใช้ รวมถึงได้ร่วมงานกับเพื่อนเก่าอย่าง DJ Vice และ Ryu ในงานชุดนี้ด้วย

ภาพจาก Planet Radio

หลังจากที่ซาวด์ของ Linkin Park ค่อนข้างเบามาสักระยะ ก็ถึงเวลาเดือดกับ The Hunting Party สตูดิโออัลบัมที่ 6 ของวงที่คลอดออกมาเมื่อปี 2014 โดย Shinoda และ Delson ร่วมกันโปรดิวซ์งานชุดนี้ และชวนกำลังเสริมอย่าง Daron Malakian มือกีตาร์และนักร้องนำร่วมจาก System of a Down, Tom Morello มือกีตาร์สุดเก๋าจาก Rage Against the Machine และ Page Hamilton ฟร้อนต์แมนจาก Helmet มามันส์ด้วยกัน

ภาพจาก Variety

และในขณะที่ทางวงกำลังทัวร์อัลบัม The Hunting Party ในช่วงกลางปี 2015 อยู่นั้น Shinoda ก็เริ่มนำทีมตีเหล็กร้อน run งานอัลบัมที่ 7 ที่ใช้ชื่อว่า One More Light งานที่พวกเขาเอาตัวออกจาก safe zone เพื่อทดลองอะไรใหม่ ๆ ด้วยการร่วมงานกับนักเขียนเพลงคนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่สมาชิกของ Linkin Park โดยอัลบัมนี้ออกมาเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2017 ซึ่งงานชุดนี้ถือว่ามีท่อนแร็พไม่มาก ที่เห็นได้ชัดก็มีในเพลง “Good Goodbye” ที่ Shinoda, Stormzy และ Pusha T สาด rhyme ใส่กัน…

…ก่อนที่จะมีข่าวร้ายเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคมในปีเดียวกัน เมื่อ Chester Bennington ได้พรากชีวิตตัวเองไปจากโลกนี้ ท่ามกลางความเศร้าสลดของสาวกทั่วโลก นับเป็นเหตุการณ์ที่เศร้าที่สุดเหตุการณ์หนึ่งของวงการดนตรีสมัยใหม่ที่เรายังคงรำลึกถึงอยู่จนถึงวันนี้

 

FORT MINOR : side project สนองตัวตน

ผู้ชายหัวก้าวหน้ามักจะไม่ยอมหยุดนิ่งและทำแต่สิ่งเดิม ๆ ดั่งเช่นที่ Shinoda เคยกล่าวไว้ว่า “Go find something that you haven’t done before. Don’t do the same thing over and over again.” : “จงออกไปหาทำสิ่งที่ยังไม่เคยทำ อย่ามัวแต่จมอยู่กับความซ้ำซาก” 

ในปี 2005 เขาปล่อยงาน side project ภายใต้ชื่อ Fort Minor ออกมา โดยอัลบัมแรกใช้ชื่อว่า The Rising Tied ซึ่งเริ่มผลิตหลังจากที่ Collision Course งานคอลแลบระหว่าง Jay-Z และ Linkin Park คลอดออกมา โดย Shinoda ได้เผยไอเดียของ Fort Minor ไว้ว่า…

‘Fort’ คือคำที่เป็นตัวแทนของด้านที่เกรี้ยวกราดยิ่งกว่าของดนตรี ส่วน ‘Minor’ เป็นได้หลายอย่าง ถ้าในทางทฤษฎีดนตรี minor คือคีย์ที่ให้ความรู้สึกที่หม่นกว่า ผมอยากให้อัลบัมนี้ไม่มีชื่อของผมอยู่บนปก เพราะว่าผมอยากทุกคนโฟกัสที่ดนตรี ไม่ใช่ตัวผม

แกนหลักของ Fort Minor คือดนตรี hip-hop ในแบบของ Shinoda เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นเรื่องสังคมโลก ซึ่งซิงเกิ้ลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดก็คือ “Where’d You Go” ที่เคยขึ้นถึงอันดับ 4 ของ Billboard Hot 100 ส่วนอัลบัมที่ 2 ของ Fort Minor นั้น มีเพียงซิงเกิ้ลเดียวที่ถูกปล่อยออกมาเมื่อปี 2015 นั่นก็คือเพลง “Welcome”

 

Post Traumatic งานเดี่ยวเพื่อรำลึกถึง Chester

ภาพจาก NME

การที่ Shinoda ต้องสูญเสีย Chester Bennington เพื่อนสนิท และเพื่อนร่วมวง Linkin Park ไปเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2017 เป็นสิ่งที่ยากจะทำใจ เขาเลือกที่จะถ่ายทอดผ่านทางงานเดี่ยวของเขาเอง และแล้ว EP ที่ใช้ชื่อว่า Post Traumatic ก็ถูกปล่อยออกมาเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2018 ประกอบ 3 บทเพลงที่เขาพูดถึงความรู้สึกของตัวเองหลังจากต้องสูญเสียเพื่อนที่ดีที่สุดไป ส่วน Post Traumatic แบบอัลบัมเต็ม ที่จะมาพร้อมกับซิงเกิ้ลอย่าง “Crossing a Line” , “Nothing Makes Sense Anymore,” และ “About You,” นั้น พวกเรารอฟังกันได้เลยในวันที่ 15 มิถุนายน 2018

ภาพจาก COS

เพลง Over Again

 

Designed by Shinoda

อย่างที่บอกไปตอนต้นว่าชายคนนี้มี Skill ทางด้านศิลปะและการออกแบบที่จัดจ้านไม่เบา งานศิลป์ของ Linkin Park ทั้งอัลบัมอาร์ตเวิร์ก,  ของที่ระลึก, เว็บไซต์ และงานอาร์ตโปรดัคชั่นของวงล้วนผ่านสมองและสองมือของ Shinoda มาทั้งหมด นอกจากนี้เขายังออกแบบอาร์ตเวิร์กให้กับศิลปินคนอื่น ๆ มากมาย

ส่วนในวงการ street fashion นั้น เมื่อปี 2003 เขาจับมือกับ DC Shoes แบรนด์รองเท้าสเกตบอร์ดชื่อดัง ร่วมกันออกแบบ “remix shoe” ขึ้นมา โดยเขาได้ร่วมออกแบบในทุกรายละเอียดของตัวรองเท้า กล่องรองเท้า และชิ้นงานเพื่อการโฆษณา จากนั้นในปีเดียวกัน เขาได้ออกแบบตุ๊กตา “Munny” งานคัสตอมของ Kid Robot เพื่อร่วมเข้างานประมูลเพื่อการกุศล ต่อมาในปี 2008 เขาก็ได้ร่วมงานกับ DC Shoe อีกครั้ง ในโปรเจ็คต์ที่ 2 ของ “DC Remix Series” ออกแบบรองเท้า MS/DC รุ่นลิมิเต็ด 2 เวอร์ชั่น Xender และ Pride ที่ผลิตออกมาแค่ 2,000 คู่เท่านั้น

ภาพจาก Hypebeast

อีกโปรเจ็คต์งานศิลป์ที่โดดเด่นของ Shinoda เมื่อปี 2004 ก็คืองานจิตรกรรม 10 ชิ้นที่ล้อกับ The Rising Tied อัลบัมแรกของ Fort Minor และได้แสดงงานชุดดังกล่าวครั้งแรกต่อสาธารณชนร่วมกับงานชุด “Diamonds Spades Hearts & Clubs” ของเขา ที่ Gallery 1988 ในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2006

ภาพจาก chocolatepuppy

ต่อมาในปีเดียวกัน เขาก็ทำเพื่อน้อง ๆ รุ่นหลัง ด้วยการร่วมจัดตั้งทุนการศึกษากับ Art Center College of Design เพื่อสนับสนุนอนาคตของนักศึกษาสาขากราฟิกดีไซน์และภาพประกอบ โดยใช้ชื่อทุนว่า “Michael K. Shinoda Endowed Scholarship” ซึ่งพิจารณามอบให้กับนักศึกษาที่ขาดแคลนทุนทรัพย์เพื่อการศึกษา และได้มอบทุนแรกในปีนั้นเลย สำหรับที่มาของเงินทุนนี้ Shinoda รวบรวมมาจากยอดขายงานอาร์ตเวิร์กของเขาบนเว็บไซต์ การแสดงงานศิลปะของเขา และโปรเจ็คต์ของเขากับ DC Shoes

ภาพจาก Hypebeast

หลังจากแสดงงานแรกไปแล้ว เขายังเดินหน้าต่อในเส้นทางสายอาร์ตของตัวเอง ด้วยการจัดแสดงงาน “Glorious Excess (BORN)” ที่ Japanese American National Museum เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2008 ขณะที่อีกหนึ่งการสร้างศิลป์ของเขาที่เป็นที่กล่าวถึงก็คือการร่วมกับ Hahn เพ้นต์งานเท่ ๆ บนกำแพง Berlin ในโปรเจ็คต์ WALL FOR GOOD เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2014

ภาพจาก wall-for-good.org

 

โปรเจ็คต์อื่น ๆ ก็เอาอยู่

นอกจากการทำงานกับ Linkin Park และงานส่วนตัวแล้ว Shinoda ยังทำหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์ให้กับศิลปินอีกหลายเบอร์ อย่างเมื่อปี 2002 เขากับ Hahn ได้จับมือร่วมกันโปรดิวซ์และเป็นศิลปินในโปรเจ็คต์ X-Ecutioners โดยมีซิงเกิ้ล “It’s Goin’ Down” ของทั้งคู่ออกมาให้โยกกัน ต่อมาในปีเดียวกัน เขากับ Delson ก่อตั้งค่ายเพลง Machine Shop Recordings ขึ้นมา หลังจากที่ Shinoda เคยทำค่าย Shinoda Imprint เมื่อปี 1999 จากการยินยอมของ Warner Music Group ที่ปลาบปลื้มกับยอดขายระดับมัลติแพลตินัมของ Linkin Park ส่วนอีกงานหนึ่งที่เราไม่ตกสำรวจ ก็คือ “Barack Your World” ซิงเกิ้ลที่ Shinoda ทำร่วมกับ Wakefield อดีตนักร้องนำร่วมวง Xero กับเขาเมื่อปี 2008

นอกจากนี้แร็พเปอร์ชื่อดังยังทำเพลงประกอบซีรีส์สารคดี This Is Life with Lisa Ling ของ CNN, คิดธีมไตเติ้ลซีรีส์ Into The Badlands รวมถึงทำเพลงธีมของ Noor Tagouri’s A Woman’s Job อีกด้วย

ส่วนอีกหนึ่งความสนใจของเขาก็คือเรื่องการเมือง และเขาก็แสดงมุมมองออกมาผ่านทางงานเขียนที่เขาเขียนให้กับ The Big Issue มาตั้งแต่ปี 2012 เรียกได้ว่าเป็นชายที่มากความสามารถจริง ๆ

 

จากดนตรีสู่การทำเพื่อสังคม

ภาพโดย Sean Gardner/Getty Images

การเป็นชาว rock หรือชาว rap ทีเจ๋งย่อมไม่ใช่แค่มันส์อย่างเดียว แต่ควรคืนกำไรสู่สังคมด้วย เรื่องนี้ Shinoda และ Linkin Park ทำให้ันเป็นรูปเป็นร่างด้วยการก่อตั้งองค์กรเพื่อการกุศล Music for Relief ขึ้นเมื่อปี 2005 หลังจากเกิดมหันตภัยสึนามิในคาบสมุทรอินเดียเมื่อปี 2004 โดยองค์กรนี้จะคอยช่วยเหลือผู้ที่รอดชีวิตจากมหันตภัยทางธรรมชาติต่าง ๆ โดยได้มอบเงินเพื่อชั่วเหลือผู้ประสบภัยในหลาย ๆ เหตุการณ์ไปกว่า 8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

 

Family Man

ภาพจาก FayesVision/WENN.com

“Usualy I spend my holidays with my family.” : “ส่วนใหญ่แล้ว ผมใช้เวลาร่วมกับครอบครัวในวันหยุด” นี่คือประโยคที่ Shinoda ยืนยันกับทุกคนว่าเขารักครอบครัวแค่ไหน เขาแต่งงานกับภรรยาสาว Anna Hillinger นักเขียนหนังสือเพื่อเด็กและเยาวชนชาวอเมริกันเมื่อปี 2003 และมีทายาทด้วยกัน 3 คน ซึ่งเธอคอยส่งเสริมในทุกเรื่องของ Mike มีงานกุศลอะไรก็จะช่วยลงแรงเสมอ

 

คำคมสไตล์ Shinoda

ภาพจาก upset magazine

การเป็นชายที่ผ่านโลกมาหลากหลาย ย่อมเกิดการตกตะกอนอะไรได้หลายหลาก คนอย่าง Shinoda ก็เช่นกัน แต่สไตล์ของเขาจะไม่ใช่ผู้ชายที่ปล่อยคำคมบาดใจออกมาเรี่ยราด แต่ประโยคเด็ดของเขาจะแฝงไปด้วยสิ่งที่สะท้อนความเป็นตัวตนของและสิ่งที่รอบข้างที่เขาใช้ชีวิตด้วย นี่คือตัวอย่างคำคมสไตล์ Shinoda

“A decade is a long time to be doing anything, much less to be with the same guys, chasing after the same goals.” : “เวลาเป็นทศวรรษนี่มันมากพอที่จะทำทุกอย่างนะ ไม่ใช่การทำอะไรกับผู้คนเดิม ๆ ตามหาแต่เป้าหมายเดิม”

ประโยคนี้ทำให้เรารู้ว่า mindset ของ Shinoda คือการไม่ยอมย่ำอยู่กับที่ เขามีความต้องการที่จะพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องไปในหลาย ๆ ทาง

“We have people in the band who don’t drink or do drugs… some of us like to go sightseeing” : “หลายคนในวงนี้ไม่ดื่มเหล้า ไม่เสพยา บางคนก็ชอบเที่ยวเล่นชมวิว” Shinoda พูดถึงสมาชิกร่วมวง Linkin Park ที่ทำให้เรารู้ว่าภายใต้แคแรกเตอร์สุดมันส์ และงานเพลงสุดสร้างสรรค์ ก็ไม่จำเป็นจะต้องเกิดจากเหล้ายาแต่อย่างใด

“I remember being a little kid sitting in the living room with my brother and some friends from around the neighborhood, and I would sit at the piano and as they were running around the room doing different things and being silly, acting out, I would actually play the score for it – the music that went along with it.” : “ผมจำได้ว่า ตอนผมเป็นเด็ก ผมนั่งอยู่ที่เปียโนอยู่ในห้องนั่งเล่นกับพี่ชาย และเพื่อน ๆ แถวบ้านที่วิ่งเล่นรอบ ๆ ห้องกันอย่างสนุก ซุกซนกันเต็มที่ ส่วนผมก็เล่นเปียโนให้เข้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัว เล่นให้ทำนองมันเข้า” เรื่องราวที่เขาเล่าสะท้อนให้เห็นถึงตัวตนคนดนตรีที่มีมาตั้งแต่เด็ก และความมุ่งมั่นที่เขาได้ถูกปลูกฝังให้มีตั้งแต่วัยเยาว์

 

ภาพโดย Rich Fury/Getty Images for iHeartMedia

นี่คือเรื่องราวหลายแง่มุมของชายที่เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับทุกคนทั้งผลงานระดับโลกที่ทุกคนรู้จัก ความสามารถที่หลากหลาย ความมุ่งมัน การพัฒนาตัวเอง การทำงานอย่างมืออาชีพ การรักษาสมดุลชีวิตในเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว การทำเพื่อสังคม การก้าวผ่านช่วงเวลาที่ลำบาก และการวางตัวในสังคม…

…นี่คือชายที่หลายคนชื่นชม นี่คือคนที่ชายหลายคนอยากเป็น นี่คือ Michael Kenji Shinoda

SOURCE 1 / SOURCE 2 / SOURCE 3 / SOURCE 4 / SOURCE 5

PEERAWIT
WRITER: PEERAWIT
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line