CARS

SWATCH x 007: นาฬิกา 7 เรือนจากหนัง 7 ภาคกับภารกิจกู้โลกของสุภาพบุรุษสายลับ JAMES BOND

By: TOIISAN March 12, 2020

เมื่อภาพยนตร์ James Bond ออกฉายครั้งแรกปี 1962 ตอนนั้นคงไม่มีใครคาดคิดว่าจักรวาลหนังสุภาพบุรุษสายลับจะเดินทางข้ามกาลเวลาและเติบโตมาถึงภาคที่ 25 ได้ แฟนหนังหลายรุ่นตั้งแต่รุ่นปู่จนถึงรุ่นหลานต่างเห็นยุคสมัยที่เปลี่ยนผ่านกับตัวเอกที่เปลี่ยนไป พอรู้ตัวอีกทีเราก็เดินทางมาถึงบทสรุปของสายลับรหัส 007 คนล่าสุดในภาค Bond 25: No Time to Die (2020) เสียแล้ว

เมื่อถึงเวลาต้องบอกลาสายลับคนล่าสุดของจักรวาล James Bond แบรนด์นาฬิกาสัญชาติสวิตเซอร์แลนด์นามว่า Swatch (สวอท์ช) จึงอยากเชิญผู้ชมทุกท่านย้อนความหลังตั้งแต่ Bond 1 จนถึง Bond 25  ผ่านคอลเลกชันเรือนเวลาที่ดึงเอกลักษณ์ของหนัง James Bond ภาคก่อน ๆ ทั้งหมด 6 ภาค พร้อมกับกล่องนาฬิกาดีไซน์เท่ถอดแบบมาจากตลับเทปชวนให้คิดถึง และไฮไลต์เด็ดของคอลเลกชันอย่างเรือนเวลานวัตกรรมล้ำสมัย Q Watch โมเดลรุ่นที่ 7 ออกแบบพิเศษมาเพื่อส่งท้าย Bond 25: No Time to Die โดยเฉพาะ

 

เปิดตัวอย่างงดงามกับตัวอย่างภาพยนตร์ Bond 25: No Time To Die (2020) ที่พร้อมเล่าเรื่องต่อทันทีจากภาคก่อน หลังจากทำงานมาอย่างหนัก ในที่สุด James bond ก็ต้องขอตัวไปลาพักร้อนใช้ชีวิตสงบ ๆ ผ่อนคลายความเครียดจากการทำงานในประเทศจาไมกา

แต่ท้ายที่สุดความสงบของเขาต้องจบลงในเวลาสั้น ๆ เมื่อเพื่อนเก่าจาก CIA ขอร้องให้เขาช่วยเหลือนักวิทยาศาสตร์ที่ถูกลักพาตัวไป แถมความพิเศษในภาคนี้คือการทิ้งท้ายสั่งลาหนุ่มบอนด์คนล่าสุด ทำให้เราต้องมาลุ้นกันว่ารหัส 007 จะถูกส่งต่อไปให้ใคร

ถ้าคิดว่านาฬิกาทั้ง 6 เรือน จากภาพยนตร์ James Bond ทั้งหมด 6 ภาค ที่เปิดตัวไปแล้วก่อนหน้านี้คือหมัดเด็ดที่ Swatch ปล่อยออกมาเอาใจแฟนหนังสายลับผู้หลงใหลนาฬิกาคงต้องขอให้คิดใหม่อีกครั้ง เพราะนาฬิกาเรือนที่ 7 ได้แรงบันดาลใจมาจาก Bond 25: No Time To Die (2020) ถือเป็นไอเทมที่โดดเด่นที่สุดของ Swatch x 007 เลยก็ว่าได้

นาฬิกาสายหนังสีดำลายตารางถูกตัดขอบอย่างประณีตด้วยสีแดงสดไม่ต่างกับขอบบริเวณตัวเรือน ส่วนหน้าปัดสีเงินเผยให้เห็นกลไกการทำงานอันซับซ้อนของเรือนเวลารุ่นลิมิเตด นำเสนอนวัตกรรมล้ำสมัยกับดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ของ Q Watch โมเดลรุ่นที่ 7 ปล่อยออกมาเป็นรุ่นสุดท้ายของคอลเลกชันนี้ เกิดขึ้นจากการออกแบบร่วมกันระหว่าง Swatch กับ Suttirat Anne Larlarb นักออกแบบคอสตูมและโปรดักชันดีไซเนอร์ชาวอเมริกันเชื้อสายไทย ผู้อยู่เบื้องหลังการออกแบบคอสตูมให้กับภาพยนตร์ Bond 25: No Time To Die (2020)

นอกจากนี้ความพิเศษของเรือนเวลายังไม่หมดเพียงแค่นี้ เพราะ Q Watch เป็นเรือนที่อยู่บนข้อมือของ Mr. Q (assistance of James Bond) เผยให้เห็นงานดีไซน์ที่ผสมผสานความคลาสสิกเข้ากับเทคโนโลยีที่ก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้งได้อย่างชัดเจน โดยเรือนเวลารุ่นนี้จะถูกเก็บอย่างดีในกล่องนาฬิกาที่ได้ต้นแบบมาจากแลปท็อปสายลับทันสมัย สะท้อนตัวตนของ Q Watch กับ James Bond ไปพร้อมกัน

 

ย้อนกลับไปยังการเปิดตำนานสายลับอังกฤษรหัส 007 กันด้วย Dr. No (1962) ภาพยนตร์เรื่องแรกของจักรวาล James Bond เมื่อสายลับหนุ่มถูกส่งไปสืบสวนคดีหายตัวของสายลับอังกฤษที่แฝงตัวอยู่ในประเทศจาไมกา

บอนด์สามารถสืบจนเจอฐานทัพลับของ Dr. No อัจฉริยะที่ต้องการหยุดยั้งการปล่อยจรวดของสหรัฐฯ ขึ้นสู่ดวงจันทร์ด้วยการปล่อยคลื่นวิทยุรบกวน ทำให้ Bond ต้องหาวิธีทำให้ประเทศมหามิตรของอังกฤษอย่างสหรัฐฯ สามารถนำจรวดออกนอกอวกาศได้อย่างปลอดภัย

หากใครยังจำกันได้ นักแสดงชายคนแรกที่ได้รับรหัส 007 คือ Sean Connery (ณอน คอนเนอรี) และหนังมีทุนสร้างภาคแรกเพียงแค่ 1 ล้านเหรียญ แต่เมื่อ Dr. No (1962) ออกฉายกลับกวาดรายได้ไปมากถึง 59.6 ล้านเหรียญ ถือเป็นภาคที่มีความสำคัญต่อจักรวาล James Bond มากที่สุดภาคหนึ่ง จึงทำให้ Swatch ไม่พลาดที่จะดึงเอกลักษณ์ของหนังภาคนี้มาอยู่บนนาฬิกา

จุดเด่นของนาฬิกาข้อมือ Swatch ภาค Dr. No (1962) อยู่ตรงบริเวณหน้าปัด ตัวเลขบอกเวลาตั้งแต่ 1-12 ถูกเปลี่ยนให้เป็นคำว่า NO ชื่อศัตรูคนแรกของสายลับอังกฤษและระลึกถึงชื่อหนังภาคนี้ไปพร้อมกัน

ส่วนเข็มบอกเวลาทั้งชั่วโมงและเข็มนาทีถูกตกแต่งด้วยสีเดียวกับโปสเตอร์ภาพยนตร์ Bond 1 ที่มีสีเหลืองเป็นหลัก ประกอบเข้ากับสายนาฬิกาซิลิโคนสีดำที่มีแต้มจุดสีฟ้า เหลือง และแดง

 

เมื่อจักรวาล James Bond สามารถเปิดตัวภาคแรกอย่างงดงาม หลังจากนั้นเพียงแค่ 7 ปี เราก็มี Bond 6: On Her Majesty’s Secret Service (1969) ออกมาให้ได้ชมกันอีกครั้ง พร้อมกับการเปลี่ยนพระเอกของเรื่องจาก Sean Connery เป็นนักแสดงสัญชาติออสเตรเลีย George Lazenby (จอร์จ เลเซนบี) 

ความน่าสนใจของภาค On Her Majesty’s Secret Service (1969) นอกจากการเปลี่ยนสายลับ 007 คนใหม่คือกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมที่ให้นักแสดงชายชาวออสเตรเลียมารับบทสายลับของราชินีอังกฤษ จึงทำให้ George Lazenby ได้เป็น James Bond เพียงแค่ภาคเดียว แต่ถึงกระนั้น Bond 6 ก็ยังทำกำไรและได้รับคำวิจารณ์ด้านการแสดงที่ดีเช่นเคย 

นาฬิกาข้อมือแรงบันดาลใจจาก On Her Majesty’s Secret Service (1969) มาพร้อมกับลวดลายและสีสันสดใส สายนาฬิกาสีขาวถูกแต่งแต้มด้วยตัวอักษร “Far up! Far out! Far more!” ข้อความที่ปรากฏอยู่บนโปสเตอร์ภาพยนตร์ โดยคำว่า Far จะมีทั้งหมด 3 สีด้วยกันคือ สีฟ้า สีแดง และสีเขียว ที่สีเหล่านี้ถูกนำมาประทับไว้บนเรือนเวลาด้วย

พื้นหลังของนาฬิกาข้อมือ Bond 6 จะเป็นสีดำด้านไร้ตัวเลขบอกเวลาไตล์มินิมัลพร้อมกับช่องบอกวันที่บริเวณสายนาฬิกา และพื้นหลังสีดำด้านนั้นส่งให้เข็มบอกเวลาสีเขียวกับสีแดงโดดเด่นมากยิ่งขึ้น 

 

หลังจาก 007 ภาคแรกสุดเคยเกริ่นเรื่องการขึ้นไปยังอวกาศของมวลมนุษยชาติแล้ว Moonraker (1979) ภาพยนตร์ลำดับที่ 11 ของจักรวาล James Bond ก็พร้อมขยายสเกลบุกตะลุยช่วยกันโลกนอกอวกาศ โดยได้โรเจอร์ จอร์จ (Roger Moore) มารับบทสายลับหนุ่มมากด้วยเสน่ห์ ถือเป็นคนที่ 3 ที่ได้เล่นบทนี้

Moonraker (1979) คือชื่อภาคและชื่อกระสวยอวกาศปรากฏอยู่ในเรื่อง การบุกตะลุยไปนอกอวกาศของสายลับอังกฤษใน Bond 11 ถูกกล่าวขานว่าเป็นภาคที่เนื้อเรื่องหลุดโลก สุดจะเซอร์เรียล (เหนือจริง) เท่าที่เคยมีมาในตระกูลหนัง 007 เพราะ James Bond ภาคนี้ต้องต่อสู้กับตัวร้ายโดยมีฉากหลังเป็นอวกาศอันเวิ้งว้าง

เหตุผลที่ทำให้บอนด์ต้องออกไปยังนอกโลกเป็นเพราะอิทธิพลจากภาพยนตร์สงครามอวกาศเรื่อง Star Wars ที่ฮิตจนทำให้วิทยาศาสตร์อวกาศถูกดึงเข้าสู่วัฒนธรรมป๊อปและโลกของภาพยนตร์ ด้วยกระแสที่ร้อนแรงเกินต้านทานนี้ทำให้สายลับอังกฤษก็ต้องออกไปปราบเหล่าร้ายกันถึงนอกโลก

นาฬิกาที่ดึงเรื่องราวมาจาก Moonraker (1979) ถูกแต่งแต้มด้วยกลิตเตอร์เพื่อเป็นตัวแทนของดวงดาวนับร้อยพัน จำลองบรรยากาศของอวกาศไกลสุดลูกหูลูกตาบนสายนาฬิกาและหน้าปัดสีน้ำเงินเข้ม

จากนั้นสร้างความโดดเด่นด้วยสีแดงสดของเข็มบอกเวลา การดึงสีเข้มมาเล่นของ Swatch ในครั้งนี้ทำให้เราสามารถตีความได้ว่ามันเรือนเวลาภาค Bond 11 เป็นได้ทั้งอวกาศและท้องฟ้ายามค่ำคืน

บริเวณหน้าปัดเสริมรายละเอียดเล็ก ๆ ของภาคนี้ด้วยการประทับจรวด Moonraker สีขาวกำลังบินขึ้นสู่น่านฟ้าไว้บริเวณ 12 นาฬิกา ส่วนเลขบอกเวลาใช้จุดวงกลมสีขาวมาแทนที่

 

Licence to Kill (1989) ภาพยนตร์ลำดับ 16 ของจักรวาล James Bond ที่ได้ Timothy Dalton (ทิโมธี ดาลตัน) มารับบทนำ ถ้าใคร ๆ ต่างเรียก Bond 11 ว่าเป็นภาคที่เซอร์เรียลที่สุด สำหรับ Bond 16 ก็ถือว่าเป็น 007 ภาคที่ดุดัน รุนแรง และสะบักสะบอมมากของแฟรนไชส์ก็เป็นได้

ในครั้งนี้สายลับต้องต่อสู้กับขบวนการค้ายายักษ์ใหญ่รวมถึงการตามล่าเพื่อล้างแค้น โดย James Bond ภาคนี้มีสไตล์แตกต่างจากภาคก่อน ๆ พอสมควร เดิมทีหนุ่มบอนด์มักปรากฏตัวด้วยมาดตามแบบสุภาพบุรุษอังกฤษ บอนด์คนก่อน ๆ ชื่นชอบการแต่งตัวสุดเนี้ยบด้วยชุดทักซิโดแม้จะยืนกระหน่ำยิงปืนอยู่ก็ตามที

แต่สำหรับบอนด์เวอร์ชัน Timothy Dalton เราได้เห็นสายลับเมืองผู้ดีในชุดลำลองที่ให้ความรู้สึกว่าเขาก็เป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่จับต้องได้มากขึ้นกว่าครั้งไหน ๆ

อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า Bond 16 เป็นภาคที่ทำให้เห็นสไตล์การแต่งตัวของสายลับอังกฤษที่เปลี่ยนไป นาฬิกา Swatch จึงดึงจุดเด่นจากทิวทัศน์ที่ให้ความรู้สึกช่วงซัมเมอร์และเปิดฉากหลังของเรื่องมาไว้บนสายนาฬิกา บรรยากาศของท้องฟ้าสีฟ้าอมสีชมพูที่แต่งแต้มก่อนพระอาทิตย์จะลาลับ ร่วมกับทิวทัศน์ของภูเขาลูกใหญ่กับต้นมะพร้าวที่จะอยู่บนสายนาฬิกาด้านบน แบ่งครึ่งกับสายด้านล่างที่ทำเลียนแบบผิวหนังของอีกัวนา สัตว์เลี้ยงตัวโปรดของบิ๊กบอสในภาคนี้ 

 

ในที่สุด 007 ก็ดำเนินมาถึง Bond 19 กับภาค The World is Not Enough (1999) ที่มีเรื่องราวทันสมัยและทำให้ผู้ชมในช่วงเวลานั้นสามารถอินตามกันได้ง่าย ๆ กับสงครามจิตวิทยา การโจมตีด้วยนิวเคลียร์ และเรือดำน้ำ โดยได้ Pierce Brosnan (เพียร์ซ เบรนดัน) มารับบทสายลับรหัส 007

เรื่องราวครั้งนี้ดำเนินอยู่บนภาคพื้นทวีปยุโรปเป็นหลัก เราจะเห็นบอนด์เดินทางไปทั่วทั้งอังกฤษ สเปน สกอตแลนด์ และตุรกี พร้อมกับทำภารกิจหลักอย่างการคุ้มครองลูกสาวคนเล็กของนักธุรกิจน้ำมันผู้มีอิทธิพล เพราะเธอถูกหมายตาจากกลุ่มก่อการร้ายระดับชาติ ร่วมด้วยฉากแอกชันที่เป็นไฮไลต์เด็ดอยู่ในสถานที่สุดแคบและกดดันอย่างการต่อสู้ในเรือดำน้ำที่อยู่ใต้มหาสมุทรลึกลงไปหลายร้อยฟุต ซึ่งใครที่ไม่ชอบสถานที่แคบ ๆ นั่งดู Bond 19 ก็คงเผลอกลั้นหายใจในบางฉากบางตอนกันเลยทีเดียว

ความมืดมิดใต้ทะเลและสีของวัสดุที่ใช้สร้างเรือดำน้ำคือสีดำ ทำให้เรือนเวลาจาก Bond 19 มาในสีดำด้านให้ความรู้สึกเคร่งขรึม จากนั้นจึงตัดด้วยสีเหลืองสดปาดเป็นสายคล้ายกับเปลวเพลิง

ส่วนตัวเรือนมีพื้นหลังเป็นสีดำเช่นเดียวกับสายนาฬิกา แต่ถูกแต่งแต้มด้วยเส้นสีส้มและแดงจำนวนมาก มองแล้วให้ความรู้สึกเหมือนกับจอภาพแสดงผลเวลาสั่งยิงอาวุธนิวเคลียร์ นอกจากนี้ยังมองแล้วเหมือนกับรูปปากกระบอกปืนอีกด้วย สำหรับสุภาพบุรุษที่ชอบความเท่และมีเรื่องราว เราคิดว่าคุณไม่ควรพลาดนาฬิกาเรือนนี้  

 

Casino Royale (2006) คือภาพยนตร์ 007 ลำดับ 21 ที่ได้ Daniel Craig (แดเนียล เคร็ก) มารับบทเป็น James Bond คนที่ 6 สืบต่อเรื่องราวอันแสนยาวนานเดินทางมาตั้งแต่ปี 1962

แม้กระแสแรกเริ่มจะมีคนไม่เห็นด้วยที่ Daniel Craig มารับบทเป็นสายลับมากความสามารถ บ้างก็ว่าเขาตัวเตี้ยเกินไป แก่เกินไป หรือว่าไม่หล่อพอจะเป็นบอนด์ได้ แต่ท้ายที่สุดเมื่อ Bond 21 ออกฉายก็กวาดรายได้ไปมากกว่า 600 ล้านเหรียญจากทุนสร้างเพียง 150 ล้านเหรียญ กลบกระแสวิจารณ์ไปได้อย่างงดงาม

ความพิเศษของ Bond 21 คือการรีบูทเรื่องราวของจักรวาล 007 ใหม่ทั้งหมด ทำให้ภาค Casino Royale (2006) จะไม่มีความเกี่ยวข้องกับตอนก่อน ๆ อีกต่อไป นอกจากนี้ยังไร้เงาของ Q นักประดิษฐ์อาวุธคู่กายของบอนด์ที่คอยสร้างอาวุธเท่ ๆ ให้กับสายลับหนุ่มเกือบทุกภาค และจะเน้นการเล่าเรื่องด้วยการดวลไพ่โป๊กเกอร์กับฉากแอกชันเท่ ๆ จากการต่อสู้มือเปล่าแทน

นาฬิกาข้อมือที่รับแรงบันดาลใจจากภาค Bond 21 ดึงเอกลักษณ์ตามชื่อหนังมาสร้างเป็นเรือนเวลารุ่นพิเศษ หน้าปัดบอกเวลาสีดำสนิทถูกตกแต่งด้วยสัญลักษณ์ที่อยู่บนไพ่ ขนกันมาทั้งโพดำ โพแดง ข้าวหลามตัด โดยสัญลักษณ์โพแดงจะประทับอยู่กึ่งกลาง

เลขบอกเวลาถูกเปลี่ยนเป็นข้าวหลามตัดสีแดง สลับกับสัญลักษณ์โพดำถูกเปลี่ยนเป็นสีขาวเหมือนกับเข็มบอกเวลา ส่วนสัญลักษณ์ดอกจิกถูกซ่อนเป็นรายละเอียดเล็ก ๆ ตรงสายนาฬิกา

พบกับเรือนเวลาคอลเลกชันพิเศษที่เกิดขึ้นจากการพบกันของ Swatch x 007 ได้แล้วในช็อป Swatch ทุกสาขา และบนเว็บไซต์ shop.swatch.co.th โดยนาฬิกาที่รับแรงบันดาลใจจาก James Bond ทั้ง 6 ภาค มีโมเดลมาจากรุ่น Originals Gent หน้าปัดขนาด 34 มิลลิเมตร ราคา 3,150 บาท รุ่น New Gent หน้าปัดขนาด 41 มิลลิเมตร ราคา 3,500 บาท รวมถึงรุ่นพิเศษ Q Watch: No Time to Die ราคา 7,300 บาท ที่มีจำนวนจำกัดเพียงแค่ 7,007 เรือนในโลกเท่านั้น

สิ่งที่อยู่คู่กับสายลับมาดเท่จากเกาะอังกฤษคือชุดสูทดูดี ปืนพก สาวสวย และนาฬิกาข้อมือที่เป็นเครื่องมือสำคัญขาดไม่ได้เมื่อต้องทำภารกิจ ถือเป็นจุดเด่นที่สุภาพบุรุษผู้หลงใหลเรือนเวลาและหนังสายลับให้ความสนใจเสมอมา สำหรับหนุ่ม ๆ ผู้เป็นแฟนหนังเดนตายของแฟรนไชส์ James Bond ไม่ควรพลาดเพื่อตามเก็บให้ครบเป็นคอลเลกชันพิเศษที่ชวนให้คิดถึงประสบการณ์เมื่อครั้งที่เราดูหนัง 007 ครั้งแรก 

 

PHOTOGRAPHER: Krittapas Suttikittibut

TOIISAN
WRITER: TOIISAN
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line