เชื่อว่าชาว UNLOCKMEN แทบจะทุกคนเลยก็ว่าได้ที่อย่างน้อยในชีวิตนี้ต้องเคยเป็นเจ้าของแบรนด์นาฬิกาจากประเทศ ‘Swiss’ อย่าง ‘Swatch’ กันมาอย่างแน่นอน โดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่นคงต้องบอกเลยว่านาฬิกา Swatch นั้นตอบโจทย์ได้ครบครันไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคุณภาพการผลิต ที่มีต้นกำเนิดมาจากแผ่นดินที่ก่อกำเนิดเรือนเวลา รวมไปถึงดีไซน์การออกแบบที่มีลวดลายให้เลือกเยอะที่สุด และสุดท้ายก็คือเรื่องราคาที่คนทุกเพศทุกวัยสามารถจับต้องได้อย่างแท้จริง ในอดีตที่ผ่านมา เราอาจจะติดภาพนาฬิกา Swatch ว่า ตัวนาฬิกานั้นจะต้องมีลวดลาย และสีสันที่หลากหลาย หรือไม่ก็ดู Art ดูคูลสุด ๆ แต่จริง ๆ แล้ว Swatch มีนาฬิกาหลายรุ่นมากที่ถูกยกให้เป็น Iconic ของนาฬิกาที่ถูกดีไซน์ให้ดูเรียบง่าย แต่ดูมีอะไรซ่อนอยู่ ไม่ว่าจะเป็น 1988 Swatch Andromeda GK111, 1989 Swatch Albatross GX700, 1990 Swatch Golden Jelly GZ115, 1995 Swatch Le Grand Soir YLG103 หรือ 1995 Swatch Upside
บอกตรง ๆ ว่าคงไม่มีใครไม่รู้จัก Swatch เรือนเวลาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ดินแดนที่เปรียบเสมือนมหานครแห่งโลกนาฬิกา แต่หลายคนอาจยังไม่เคยรู้ว่าสวิตเซอร์แลนด์เคยเกือบเสียตำแหน่งเบอร์หนึ่งแห่งอุตสาหกรรมเครื่องบอกเวลาไปกับวิกฤตการณ์ Quartz ในช่วงยุค 70 – 80 จนกระทั่งในปี 1983 เหล่าผู้ประกอบการธุรกิจนาฬิกาสวิสได้ปรึกษาหารือแล้วว่าจะไม่ทนอีกต่อไป จึงได้ร่วมมือกันกอบกู้สถานการณ์ ด้วยการพัฒนานาฬิกาพลาสติกระบบ Quartz ตัวเรือนบางเฉียบ ดีไซน์เรียบง่ายทันสมัย สีสันหลากหลายราคาไม่แพง ออกมาแลกหมัดกับนาฬิกา Quartz จากแดนปลาดิบให้รู้ดำรู้แดงกันไป ผลสุดท้าย ด้วยคุณภาพอันเป็นที่ร่ำลือของนาฬิกา Swiss Made ที่จับต้องได้ในราคาเป็นมิตร ทำให้นาฬิกากู้ชาติของสวิสเรือนนี้ได้รับความนิยมถล่มทลายไปทั่วโลก ช่วยพลิกฟื้นธุรกิจส่งออกนาฬิกาของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ให้กลับมาผงาดอีกครั้ง และเจ้านาฬิกาพลาสติกเรือนที่ว่าก็คือนาฬิกา Swatch ที่ใคร ๆ ต่างก็รู้จัก และน่าจะเคยครอบครองมาแล้วอย่างน้อยคนละเรือนสองเรือน จากการ Debut สู่สายตา และข้อมือชาวโลกในฐานะนาฬิกาพลาสติก ราคาประหยัด สีสันสดใส ทำให้ใคร ๆ ต่างก็มีภาพจำกับความเป็นนาฬิกาพลาสติกของ Swatch แต่จริง ๆ แล้วตลอด 37 ปีที่ผ่านมา Swatch ได้สร้างสรรค์เรือนเวลาหลากรูปแบบ หลายฟังก์ชัน
คอลเลคชั่นแรกของ SWATCH (สวอท์ช) กลับมาสร้างความประทับใจใหม่อีกครั้ง เพิ่มเติมคือเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วยวัสดุสังเคราะห์จากธรรมชาติ โดยหยิบวัสดุธรรมชาติมาพัฒนาเป็นคอลเลคชั่นสุดพิเศษ ‘BIORELOADED’ ต้นแบบนวัตกรรมล่าสุดที่พร้อมพาคุณไปไกลอีกขั้นด้วยนาฬิกาที่ออกแบบด้วยวัสดุชีวภาพ เปิดตัวมาด้วยนาฬิกาหกสีหกสไตล์เอาใจคนหลงใหลในความเรียบง่ายด้วยสีสันที่สวมใส่ได้ในทุกโอกาส ด้วยแรงบันดาลใจสำคัญในการออกแบบมาจากคอลเลคชั่นในปี ‘1983’ ซึ่งถือเป็นความสำเร็จยุคแรก ๆ จากการนำวัสดุนำสมัยมาใช้ออกแบบนาฬิกาอันโด่งดังเป็นเอกลักษณ์ สวอท์ชจึงได้นำจิตวิญญาณของความคลาสสิกกลับมาใช้อีกครั้งในคอลเลคชั่นนี้บวกกับคอนเซ็ปต์ BIORELOADED ที่ยกระดับมาตรฐานของการใช้วัสดุสร้างสรรค์นาฬิกาด้วยการนำเมล็ดต้นละหุ่งมาสกัดเป็นวัสดุในการสรรสร้างรวมกับเทคโนโลยีล้ำสมัยจากสวอท์ชจนกลายมาเป็นนาฬิกาสุดรักษ์โลก คอลเลคชั่น 1983 มาพร้อมกับแพ็คเกจจิ้งที่ออกมาแบบมาจากโฟมกระดาษซึ่งประกอบไปด้วยส่วนผสมที่เป็นนวัตกรรมใหม่จากมันฝรั่งและแป้งมันสำปะหลัง คอลเลคชั่นนี้จึงเรียกได้ว่าเป็นนาฬิกาที่สามารถย่อยสลายทางชีวภาพได้อย่างสมบูรณ์และสามารถรีไซเคิลหรือแม้กระทั่งทำเป็นปุ๋ยหมักที่สวนหลังบ้านได้เช่นกัน BIORELOADED ทั้ง 6 แบบหลากหลายโทนสี ตอบโจทย์คนรักในความเรียบง่ายได้ในทุกไลฟ์สไตล์ วางจำหน่ายแล้ววันนี้ในราคา 2,350 บาท ที่ SWATCH Store ทุกสาขา และสั่งซื้อทางออนไลน์ได้ที่เว็บไซต์ shop.swatch และ Swatch Official Store ที่ Shopee และ Lazada จัดส่งฟรีทั่วประเทศ ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ LINE :@swatch_th Facebook: SWATCH Instagram: @SWATCH_TH
เมื่อภาพยนตร์ James Bond ออกฉายครั้งแรกปี 1962 ตอนนั้นคงไม่มีใครคาดคิดว่าจักรวาลหนังสุภาพบุรุษสายลับจะเดินทางข้ามกาลเวลาและเติบโตมาถึงภาคที่ 25 ได้ แฟนหนังหลายรุ่นตั้งแต่รุ่นปู่จนถึงรุ่นหลานต่างเห็นยุคสมัยที่เปลี่ยนผ่านกับตัวเอกที่เปลี่ยนไป พอรู้ตัวอีกทีเราก็เดินทางมาถึงบทสรุปของสายลับรหัส 007 คนล่าสุดในภาค Bond 25: No Time to Die (2020) เสียแล้ว เมื่อถึงเวลาต้องบอกลาสายลับคนล่าสุดของจักรวาล James Bond แบรนด์นาฬิกาสัญชาติสวิตเซอร์แลนด์นามว่า Swatch (สวอท์ช) จึงอยากเชิญผู้ชมทุกท่านย้อนความหลังตั้งแต่ Bond 1 จนถึง Bond 25 ผ่านคอลเลกชันเรือนเวลาที่ดึงเอกลักษณ์ของหนัง James Bond ภาคก่อน ๆ ทั้งหมด 6 ภาค พร้อมกับกล่องนาฬิกาดีไซน์เท่ถอดแบบมาจากตลับเทปชวนให้คิดถึง และไฮไลต์เด็ดของคอลเลกชันอย่างเรือนเวลานวัตกรรมล้ำสมัย Q Watch โมเดลรุ่นที่ 7 ออกแบบพิเศษมาเพื่อส่งท้าย Bond 25: No Time to Die โดยเฉพาะ เปิดตัวอย่างงดงามกับตัวอย่างภาพยนตร์ Bond
เหลือเวลาไม่ถึง 1 สัปดาห์ก่อนหนุ่ม ๆ ที่เป็นแฟนภาพยนตร์เจมส์บอนด์จะได้ชมบทสรุปของชายผู้มาพร้อมรหัส 007 และการอำลาบทบาทของแดเนียล เคร็ก ในภาค ‘NO TIME TO DIE’ ขณะที่ค่ายนาฬิกาอย่าง SWATCH ก็อยากให้เกียรติการกลับมาของ 007 ด้วยแคปซูลนาฬิกา SWATCH x 007 SWATCH x 007 ประกอบไปด้วยนาฬิกา 6 เรือน มีพื้นฐานจากโมเดล Original Gent’s หน้าปัดขนาด 34 มิลลิเมตร และรุ่น New Gentleman ขนาดหน้าปัด 41 มิลลิเมตรเพื่อตอบโจทย์ผู้ชายที่มีขนาดข้อมือใหญ่ ความพิเศษคือทั้ง 6 เรือนได้แรงบันดาลใจงานดีไซน์ตามจากแฟรนไชส์ James Bond ที่เลือกมา 6 ภาคเด่นจากตลอดระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมา เอาเป็นว่าอย่ารอช้า เชิญไปดูกันว่าแต่ละเรือนนั้นถูกสร้างออกมาได้โดดเด่นแค่ไหน Dr. NO (1962) Dr. NO มาพร้อมหน้าปัดขนาด
หากจะพูดถึงการผลิตนาฬิกาคุณภาพ เชื่อว่าคงมีไม่กี่ประเทศที่ผู้ชายนึกถึง หนึ่งในนั้นต้องมีชื่อของ ‘สวิตเซอร์แลนด์’ ปรากฏขึ้นเป็นอันดับต้น ๆ ย้อนไปในปี 1983 แบรนด์นาฬิกาสัญชาติสวิสฯ อย่าง ‘Swatch’ ได้ถือกำเนิดขึ้น นับแต่นั้นประเทศดินแดนแห่งขุนเขาก็กลายเป็นประเทศผู้ผลิตนาฬิกาทำมือที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกไปโดยปริยาย และปฏิเสธไม่ได้ว่า Swatch เป็นอีกแรงขับเคลื่อนที่ช่วยให้นาฬิกาขึ้นเป็นอันดับหนึ่งจากอุตสาหกรรมการส่งออกทั้งหมดของประเทศนี้ หลังจาก Swatch สร้างแบรนด์ได้ประมาณ 2 ปี Marlyse Schmid ก็ออกแบบ ‘Swatch Jellyfish’ นาฬิกาโปร่งใสเรือนแรกของแบรนด์ที่ได้แรงบันดาลใจจากแมงกะพรุน และเป็นนาฬิการุ่น limited-edition ที่วางขายเพียง 200 เรือนทั่วโลก ตอนนี้ Swatch นำนาฬิกาไอคอนิกแห่งปี 1985 เรือนนั้นมาต่อยอดและสร้างขึ้นใหม่ในตระกูล Big Bold โดยออกแบบตัวเรือนให้ใหญ่กว่าเดิม คงระบบการเดินเข็มแบบควอตซ์ (Quartz) และวางจำหน่ายด้วยราคาย่อมเยาที่ผู้ชายเราจับต้องได้ ‘Swatch Big Bold Jellyfish (SO27E100)’ ที่พัฒนาขึ้นใหม่ ตัวเรือนเป็นพลาสติกโปร่งใสที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ที่ 47 มิลลิเมตร ซึ่งกว้างกว่ารุ่นก่อนถึง 13 มิลลิเมตร
นับตั้งแต่จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 แห่งฝรั่งเศสหรือที่หลายคนรู้จักกันในชื่อ นโปเลียน โบนาปาร์ต สั่งให้ช่างทำนาฬิกาสร้างนาฬิกาแบบผูกข้อมือขึ้นเพื่อมอบเป็นของขวัญให้กับ โฌเซฟีน เดอ โบอาร์แน มเหสีพระองค์แรกในปี ค.ศ. 1806 ใครจะคิดว่าของขวัญที่เกิดจากความรักชิ้นนี้จะกลายมาเป็นต้นแบบของนาฬิกาข้อมือ ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมไปทั่วโลก ระยะเวลากว่า 200 ปีที่เครื่องประดับอย่าง “นาฬิกาข้อมือ” ได้ถือกำเนิดเกิดขึ้น ซึ่งในเวลาต่อมาได้ถูกพัฒนาให้มีเหมาะสมกลมกลืนกับวัฒนธรรมและไลฟ์สไตล์ของแต่ละยุคสมัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของงานดีไซน์หรือระบบการทำงานที่เทคโนโลยีมีส่วนเข้ามาเกี่ยวข้อง จนกาลเวลาเดินทางมาถึงปัจจุบันซึ่งนาฬิกาข้อมือกลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ไปแล้วสำหรับทุกคน สำหรับผู้ชายอย่างเรานาฬิกาข้อมือไม่ได้เป็นเพียงเครื่องประดับที่ใช้ดูเวลาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เรือนเวลาที่เราสวมใส่บนข้อมือในทุก ๆ วัน ปัจจุบันกลายมาเป็นตัวแทนของการแสดงออกในเรื่องรสนิยมและความหลงใหล รวมถึงบอกเล่าตัวตนของผู้สวมใส่ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าคุณจะเป็นหนุ่มที่ชื่นชอบในมนต์เสน่ห์ของงานออกแบบสุดคลาสสิกหรือหลงใหลในนวัตกรรมและงานดีไซน์สมัยใหม่ นาฬิกาบนข้อมือก็สามารถบอกเล่าถึงตัวตนที่แท้จริงของเราได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันแบรนด์นาฬิการะดับโลกจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์อย่าง Swatch® (สวอท์ช) ก็เข้าใจถึงความต้องการด้านต่าง ๆ จากผู้คนที่หลงใหลในนาฬิกาเป็นอย่างดี ทำให้พวกเขาทำการปรับปรุงและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตัวเองอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างนาฬิกาข้อมือที่จะตอบโจทย์ความต้องการของผู้คนทุกเจเนอเรชัน โดยแนวความคิดทั้งหมดได้ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านคอลเลกชันนาฬิกาที่ชื่อว่า SKIN Irony การพัฒนาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานจาก Swatch® ไม่ใช่เรื่องที่ทำสำเร็จในค่ำคืนเดียว เพราะกว่าจะถือกำเนิดเป็น Skin Irony ที่อยู่ในคอลเลกชันประจำฤดูหนาวของปีนี้ขึ้นมาต้องบอกเล่าถึงจุดเริ่มต้น โดยย้อนกลับไปในปี 1997 ซึ่งเป็นปีที่ Swatch ® เปิดตัวคอลเลกชันนาฬิกาอย่าง SKIN
แทบทุกคนคงรู้ดีว่า นาฬิกา Swiss Made หรือนาฬิกาที่ผลิตจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นั้นมีชื่อเสียงเรื่องคุณภาพมากมายขนาดไหน แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าธุรกิจนาฬิกาในสวิตเซอร์แลนด์นั้นเคยประสบกับฝันร้าย ที่เรียกว่าวิกฤตการณ์ Quartz crisis ที่มีจุดเริ่มต้นจากเทคโนโลยี Quartz ที่ชาวสวิสคิดค้นเอาไว้แต่ไม่ได้ใส่ใจพัฒนาต่อ เพราะยังต้องการสืบสานความคลาสสิกของเครื่องไขลานแบบดั้งเดิมเอาไว้ แต่แล้วเรื่องมันก็เกิด เมื่อทางฝั่งญี่ปุ่นได้นำเครื่อง Quartz มาสานต่อผลิตนาฬิกาข้อมือที่บางที่สุดในโลก ณ เวลานั้นออกมาเป็นผลสำเร็จ ด้วยมาตรฐานการบอกเวลาแม่นยำ บวกกับความบาง และ ราคาเบา ๆ นาฬิกาข้อมือจากญี่ปุ่นจึงได้รับความนิยมถล่มทลาย สวนทางกับยอดขายนาฬิกาสวิสที่ลดฮวบอย่างน่าตกใจ และปวดใจ จนสุดท้ายผู้ประกอบการธุรกิจนาฬิกาสวิสจึงต้องร่วมมือกันกอบกู้สถานการณ์ มีการควบรวมบริษัทปรับโครงสร้างกิจการขนานใหญ่ และได้ปล่อยท่าไม้ตายออกมาในปี 1983 ด้วยนาฬิกาพลาสติกระบบ Quartz ตัวเรือนบางเฉียบ ดีไซน์เรียบง่ายทันสมัย ราคาไม่แพง ซึ่งช่วยพลิกฟื้นให้ธุรกิจนาฬิกาของประเทศสวิตเซอร์แลนด์กลับมาผงาดอีกครั้ง และ เจ้านาฬิกาพลาสติกเรือนที่ว่าก็ยังคงยืนหยัดประจำการณ์อยู่บนข้อมือผู้คนทุกเพศทุกวัยและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกในนามว่า Swatch(สวอท์ช) มาจนถึงตอนนี้ต้องยอมรับว่าแบรนด์ Swatch นั้นผ่านหน้าประวัติศาสตร์ และผสมผสานเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการแต่งกายมาอย่างยาวนานโดยไม่มีทีท่าว่าจะตกยุค ซึ่งต้องยกประโยชน์ให้กับ DNA ในการพัฒนาเอาตัวรอด การปรับตัวให้เท่าทันยุคสมัย และเทรนด์ที่เปลี่ยนไปของแบรนด์ Swatch ที่ถูกปลูกฝังเอาไว้อย่างเข้มข้น นับตั้งแต่การถือกำเนิดของตำนานที่ยังมีลมหายใจอย่าง Swatch รุ่น
ย้อนไปเมื่อช่วงกลางปี 2019 ถือเป็นครั้งแรกที่โลกแห่งเครื่องบอกเวลาได้รู้จักกับ SWATCH BIG BOLD ซีรีส์นาฬิกาคอลเลคชันใหม่ล่าสุด ที่รับเอามรดกทางจิตวิญญาณในการพัฒนาเอาตัวรอดรวมถึงการปรับตัวให้เท่าทันยุคสมัย จากตำนานที่มีลมหายใจอย่าง SWATCH รุ่น OG มาต่อยอดในแนวทางของตัวเอง กับไอเดียความขบถที่ขับเน้นตัวตนออกมาอย่างเด่นชัดในวิถี Street Culture จากเรือนเวลาที่สะท้อนสไตล์ของผู้สวมใส่ที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร ในปีนี้ SWATCH ได้ต่อยอดความสำเร็จด้วยการนำพานาฬิกาตระกูล BIG BOLD ออกจากรูปแบบเดิม ๆ อีกครั้ง สู่การเดินทางครั้งใหม่ที่ผสานความจัดจ้านของ Street Fashion เข้ากับความเท่ ดุดัน จากกลิ่นอาย Racing Sport ด้วยฟังก์ชัน Chronograph หรือระบบจับเวลาที่เป็นตัวช่วยสำคัญของเหล่านักแข่งแห่งสนามประลองความเร็ว ซึ่งมีอยู่ใน SWATCH BIG BOLD CHRONO รุ่นใหม่ล่าสุด SWATCH BIG BOLD CHRONO ยังคงเอกลักษณ์จากรุ่นแรกเอาไว้กับหน้าปัดขนาดใหญ่ 47 มิลลิเมตร แต่ที่เพิ่มเติมเข้ามาคือระบบจับเวลา Chronograph ที่มาพร้อม 3 หน้าปัดย่อย แบ่งเป็นตัวนับนาที,
นาฬิกา SISTEM51 IRONY ถูกออกแบบอย่างยอดเยี่ยมบนพื้นฐานของความเรียบง่าย คลาสสิค แต่แฝงด้วยความหรูหรา