ขึ้นชื่อว่า Weekend ทั้งที เราก็ต้องจัดให้สุดตั้งแต่เจอเพื่อนในคืนวันศุกร์ ดื่มชิล ๆ กับคนรักในคืนวันเสาร์ และบอกลาสุดสัปดาห์แสนหวานกับปาร์ตี้ทิ้งท้ายในคืนวันอาทิตย์ เอาให้ลืมความเหนื่อยล้าที่สะสมทั้งอาทิตย์ทิ้งไปเลยยย แต่ดื่มหนักขนาดนี้ ถ้าเกิดแฮงค์ขึ้นมาจะไปทำงานในเช้าวันจันทร์อย่างไรล่ะ! ไหนจะกลิ่นละมุดติดตัวไปที่ทำงานอีกไม่ดีแน่ ๆ UNLOCKMEN ขอแนะนำ 8 วิธีแก้แฮงค์ ที่คอนเฟิร์มการใช้งานที่ได้ผลจริงจากเหล่านักแสดงฮอลลีวูดระดับโลก ให้คุณเริ่มต้นการทำงานวันแรกได้อย่างราบรื่นไปตลอดวัน Gwyneth Paltrow : แช่น้ำร้อนสลับน้ำเย็น เริ่มวิธีแรกกันด้วยดาราที่ถ้าพูดถึงในยุคนี้ ทุกคนต้องเรียกเธอด้วยชื่อ Pepper คนรักของ Ironman นั่นเอง ส่วนวิธีของคุณเกวนนั้น คือการ ‘อาบน้ำ’ โดยให้เปิดน้ำด้วยอุณหภูมิที่ร้อนที่สุดเท่าที่คุณจะอาบไหวใส่อ่าง จากนั้นโรยดีเกลือ (Epsom Salts) ผสมเบคกิ้งโซดาลงไป วิธีการอาบน้ำของคุณเกวนจะใช้วิธีสลับไปมาแบบรวดเร็วนิดนึง เราจึงขอแบ่งเป็นทีละสเต็ปเพื่อไม่ให้ทุกคนสับสนครับ – เอาตัวลงไปแช่ในอ่างน้ำร้อนประมาณ 20 นาที – จากนั้นให้ออกจากอ่าง แล้วเปิดน้ำที่เย็นจัดอาบเป็นเวลา 1 นาที – กลับไปอาบในอ่างน้ำร้อนอีกครั้ง จนเมื่อคุณเริ่มรู้สึกอุ่นขึ้นแล้วให้แช่ต่ออีก 1 นาที ก็เป็นอันเรียบร้อยแล้ว Daniel
เหล้ากับบุหรี่นับเป็นสิ่งที่อยู่คู่กันเสมอในร้านเหล้า บางคนอยู่ข้างนอกไม่แตะบุหรี่เลย แต่พอเข้าร้านเหล้ากลับกลายเป็นสิงห์อมควันไปซะงั้นก็มี UNLOCKMEN อยากมาอธิบายว่าทำไมเวลาดื่ม เราถึงรู้สึกอยากดูดบุหรี่ ทำไมคนถึงอยากสูบบุหรี่ตอนดื่ม ความต้องการอยากสูบบุหรี่เกิดขึ้นได้จาก 2 ปัจจัย โดยปัจจัยแรก ได้แก่ ความสามารถของนิโคตินที่มีผลต่อความทรงจำของเรา ส่วนปัจจัยที่สอง คือ ความสามารถของนิโคตินในการทำงานร่วมกับแอลกอฮอล์เพื่อลดระดับโดปามีนในร่างกาย นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Baylor College of Medicine ได้ทำการศึกษาสมองของหนูทดลองที่ได้รับ ‘นิโคติน’ สารเสพติดที่อยู่ในบุหรี่ โดยพวกเขาปล่อยให้หนูใช้ชีวิตในสิ่งแวดล้อมจำลองที่มีลักษณะเป็นสองห้องแยกกัน โดยห้องแรกหนูจะได้รับนิโคติน ส่วนอีกห้องหนูจะได้รับน้ำเกลือ และหลังจากนั้นนักวิจัยจะทำการศึกษากิจกรรมที่เกิดขึ้นใน hippocampus หรือ สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการสร้างความทรงจำของหนู ผลการวิจัยพบว่า เมื่อเทียบกับน้ำเกลือ การได้รับนิโคตินจะกระตุ้นให้เกิดการสร้างความทรงจำที่แข็งแรง เพราะสารเคมีได้ทำให้การเชื่อมต่อของเส้นประสาทมีความแข็งแกร่งขึ้นมากถึง 2 เท่า ซึ่งปรากฎการณ์นี้ส่งผลให้เกิดการสร้างความทรงจำที่แข็งแกร่งด้วย หนูทดลองยังเรียนรู้ที่จะใช้เวลาในห้องนิโคตินมากกว่าส่วนอื่นด้วย เพราะเวลาได้รับนิโคติน การเชื่อมต่อของเส้นประสาทไซแนปส์ติกมีความแข็งแรงขึ้น โดยเฉพาะในเวลาที่ศูนย์การให้รางวัลของสมองส่งสัญญาณโดปามีน (สารเคมีที่ทำให้เรารู้สึกดี) กล่าวคือ สมองสร้างความทรงจำที่จับคู่นิโคตินกับความรู้สึกดี (หรือ การทำงานของโดปามีน) หนูจึงรู้สึกชอบห้องที่มีนิโคตินมากกว่าห้องอื่น นอกจากนี้ทีมวิจัยยังทดสอบสมมติฐานที่ว่า การรับนิโคตินและแอลกอฮอล์พร้อมกันจะช่วยให้ระดับของโดปามีนสูงขึ้นด้วย แต่ผลที่ออกมากลับไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ แม้หนูที่ได้รับนิโคตินจะบริโภคแอลกอฮอล์มากขึ้น แต่ระดับโดปามีนของพวกมันกลับไม่เพิ่มขึ้นเลย หลังจากทดลองซ้ำหลายครั้งผลก็ออกมาเป็นเหมือนเดิม
เชื่อว่าหนุ่ม ๆ คอทองแดงทั้งหลาย ล้วนเคยผ่านการดวลเดือดบนสมรภูมิแอลกอฮอล์มาแล้วมากมายนับครั้งไม่ถ้วน และคงมีจำนวนไม่น้อยที่ได้ประสบพบเจอกับประสบการณ์ภาพตัด ตื่นเช้ามาด้วยอาการ “เอ๊ะ กูกลับบ้านยังไง?” กันมาแล้ว จนกลายเป็นที่มาที่ทำให้เราอยากคลายความสงสัยให้กับชาว UNLOCKMEN ว่าจริง ๆ แล้ว คนหนึ่งคนจะสามารถต่อกรกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้มากมายขนาดไหน สุดเหวี่ยงได้มากเท่าไหร่ถึงจะไม่ต้องเจอกับอาการภาพตัดหลับพับไปแบบไร้ฟอร์ม ซึ่งแน่นอนว่าการวัดลิมิตความเมา คงไม่ใช่การไปถามเจ้าตัวว่าเมารึยัง? เป็นแน่แท้ เพราะไม่ว่าจะถามนักดื่มคนไหน หรือแม้แต่ถามตัวเอง ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยมีใครยอมรับหรอกว่าตัวเองเมาแล้วจ้า ดังนั้นการวัดระดับความเมาจึงต้องอ้างอิงจากปริมาณความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดหรือ BAC (Blood Alcohol Concentration) ซึ่งสามารถวัดได้จากเครื่องเป่าที่เจอตามด่านตรวจ แต่ทีมดื่มไม่ขับ เมาแบบรับผิดชอบอย่างเรา ๆ คงไม่มีโอกาสโดนจับเป่าคาด่าน แต่ถึงกระนั้นก็ยังสามารถโหลดแอพฯ ในมือถือมาคำนวณปริมาณ BAC ได้เช่นกัน โดยวิธีการทำงานของแอพฯ จำพวก BAC Calculator จะคำนวณจากตัวแปรต่าง ๆ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ค่า BAC ของแต่ละคนไม่เท่ากัน แม้จะมีการดื่มในจำนวนที่เท่า ๆ กันก็ตาม ซึ่งตัวแปรหลัก ๆ ก็จะมีทั้งเพศ, อายุ, น้ำหนัก, ระยะเวลาในการดื่ม, ความถี่ในการดื่มต่อชั่วโมง,
เหล่านักดื่มอาจต้องสับสนกันอีกครั้ง เพราะก่อนหน้านี้ผลวิจัยได้บอกว่าการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์วันละน้อยจะช่วยเรื่องสุขภาพ แต่มาวันนี้ก็ได้มีงานวิจัยที่มาหักล้างกันอีกครั้ง แถมยังบอกอีกด้วยว่าการดื่มเพียงเล็กน้อยนั้นก็คือสิ่งที่ได้ไม่คุ้มเสียกันเลยทีเดียว ข้อหักล้างที่ว่าด้วยการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณน้อยจะช่วยบำรุงสุขภาพนั้นถูกนำเสนอผ่านเว็บไซต์ข่าวชื่อดังอย่าง BBC กับการวิจัยที่เกิดขึ้นภายใต้โครงการการศึกษาภาระปัญหาของโลกว่าด้วยเรื่องโรคภัยไข้เจ็บหรือ Global Burden of Disease ผลวิจัยชิ้นนี้สำรวจพฤติกรรมการดื่มของนักดื่มกว่า 195 ประเทศ ตั้งแต่ช่วงอายุ 19-95 ปี เป็นจำนวนกว่า 28 ล้านคนทั่วโลก ด้วยระยะเวลายาวนานกว่า 26 ปี โดยวิจัยนี้เริ่มลงสนามสำรวจตั้งแต่ปี 1990-2016 ถือว่าเป็นงานวิจัยที่ใช้เวลาศึกษาเกี่ยวกับแอลกอฮอล์ที่ยาวนานที่สุดเท่าที่เคยมีมา รวมถึงจำนวนกลุ่มตัวอย่างที่มีมากถึงหลักหลายสิบล้านตัวอย่าง ผลการวิจัยครั้งนี้เผยให้เห็นถึงอัตราความเสี่ยงที่จะเกิดโรคต่าง ๆ อย่างมะเร็ง ตับแข็ง หรือระดับการเกิดอุบัติเหตุเพราะเมานั้นมีตัวเลขที่พุ่งสูงขึ้นตามปริมาณที่ดื่มแอลกอฮอล์ที่เราดื่มในแต่ละวัน เช่น วันหนึ่งเราดื่มเครื่องดื่มที่มีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ 1 หน่วย หรือประมาณ 10 กรัม ก็จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคและการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุสูงกว่าคนที่ไม่ดื่มเลย 0.5% ในขณะที่ถ้าดื่มวันละ 2 หน่วย ก็จะเพิ่มความเสี่ยงขึ้น 7% หรือถ้าดื่มวันละ 5 หน่วย ความเสี่ยงก็จะพุ่งสูงถึง 37% ผลวิจัยดังกล่าวได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสารการแพทย์ Lancet และได้ชี้แนะให้หน่วยงานสาธรณสุขของประเทศอังกฤษควรออกคำเตือนให้ประชาชนลดการดื่ม เพราะปัจจุบันในอังกฤษได้แนะนำให้ประชาชนบริโภคแอลกอฮอล์ไม่เกิน