ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่คดีดังถูกกล่าวขานไปทั่วประเทศ แล้วเราต่างวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างถึงพริกถึงขิง แต่เพียงไม่กี่วันเรื่องราวก็ถูกลบเลือนหายไป อาจหายไปกับกระแสข่าวอื่น อาจหายไปกับคดีใหม่ ๆ ที่เข้ามาแทนที่ หรือหลายทีก็หายไปกับความยิ่งใหญ่คับฟ้าของใครบางคน… กรณีการบุกรุกพื้นที่ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรเพื่อล่าสัตว์ป่าสงวนของ นายเปรมชัย กรรณสูตร กรรมการและประธานบริหาร บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวลอปเมนต์เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2561 ก็เช่นกัน ความอึกทึกครึกโครมและความสะเทือนสังคมเมื่อแรกเริ่มอาจคุกรุ่นจนเราไม่คิดว่าเรื่องนี้จะจบลงได้โดยง่าย แต่ก็ตามประสาความเลื่อนไหลของสังคมที่วันหนึ่งข่าวมา ข่าวก็ต้องไป ไหนจะกระแสนายตำรวจใหญ่โค้งรับไหว้นายเปรมชัยอย่างนอบน้อม จนเราอดคิดไม่ได้ว่ากระแสนี้คงเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว เพียงแต่วันนี้ยังมีคนยืนยันว่า “เราไม่ลืม” โดยหนึงในวิธีการบอกว่าเราไม่ลืมเรื่องนี้ก็คือการสร้างสรรค์งานศิลปะ วันนี้ UNLOCKMEN นำผลงานกราฟิกบนโลกออนไลน์ และงานกราฟฟิตี้บนกำแพงจากสถานที่หลากหลายมาบันทึกไว้ว่า วันนี้เราคนไทยทั้งประเทศยังจดจำ กราฟฟิตี้รายแรกกระแทกใจให้ละอาย นี่ถือเป็นกราฟฟิตี้แรกสุดที่โผล่ขึ้นมาหลอกหลอนคนล่าเสือดำ โดยกราฟฟิตี้นี้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นบริเวณจุดก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียว บริเวณหน้าปากซอยพหลโยธิน 34 เรียกเสียงฮือฮาเป็นอย่างมาก โดยความพีคของกราฟฟิตี้นี้อยู่ที่การพ่นทับป้ายของบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวลอปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ได้อย่างแนบเนียน ความหมายก็แสบเหลือร้าย เป็นรูปเสือดำร้องไห้พร้อมรอยกระสุนแดงชัดจัดแจ้งที่หัว ถ้าเราเป็นล่าเสือดำเราคงอาย แต่ไม่รู้ว่าคนทำตัวจริงเขาละอายบ้างหรือเปล่า? Headache Stencil: ลบภาพผม แต่ไม่ลบภาพข้าง ๆ Headache Stencil ได้ยินชื่อนี้ก็การันตีได้เลยว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมากับภาครัฐ อะไที่ไม่ชอบมาพากลเขาต่อต้านด้วยศิลปะ
ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ชายโปรไฟล์ไหน ปฏิเสธไม่ได้ว่ากฎเหล็กข้อนึงที่คุณต้องทำให้เป็นคือการสวมลุค หรือเปลี่ยน “เปลือก” ให้เหมาะกับสถานที่ที่คุณจะไป คนที่คุณจะเจอ เพราะส่วนใหญ่สาว ๆ หลายคนประทับใจคุณจากภาพแรกที่เธอเห็น กระทั่ง ลูกค้า เจ้านาย หรือเพื่อนรวมงานเขาเชื่อในสิ่งที่คุณขายจากไลฟ์สไตล์ที่คุณมี นั่นแหละความสำคัญของเปลือก! เช่นเดียวกับงานศิลปะของอาจารย์ศราวุธ ยาสมุทร ในนิทรรศการศิลปะ “พบปะคนดัง : Meet the Celebrities” ที่บอกเล่าเรื่องเปลือกผ่านผลงานภาพเขียนสีน้ำมันที่เป็นภาพสังคมชั้นสูงที่ชวนฉงน เพราะทุกภาพที่จัดแสดงมีใบหน้าเลอะเลือนจากฝีแปรง คล้ายกับว่าไม่ต้องการให้เห็นชัด หรือชวนให้จินตนาการได้ว่าภายใต้หน้านั้นอาจจะเป็นคุณหรือใครสักคนก็ได้ ภายใต้ศิลปะทั้ง 22 ชิ้นถ่ายทอดจากความคิดและแรงบันดาลใจของศิลปินผ่านการแต่งกายชาวตะวันตกยุคบาโรกและโรโคโค (ช่วงศตวรรษที่ 18) ซึ่งเป็นยุคแห่งความฟุ้งเฟ้อ หรูหรา ฟุ่มเฟือย ทางแฟชั่นที่เห็นชัดจากเหล่าราชวงศ์และขุนนางชั้นสูง ต่างคนต่างเลือกข้าวของมาปรุงแต่งให้ตัวเองเป็นคนโด่งดัง คนสำคัญ หรือแสดงความมีฐานะ (เห็นได้จากชื่อภาพที่มีทั้ง King Queen Princess Baron มากันครบ) เชื่อมโยงเข้ากับปัจจุบันที่ผู้คนยังคงใช้วิธียกระดับภายนอกให้ดึงดูดและน่าหลงใหลจนหลงลืมสิ่งที่เก็บซ่อนไว้ภายใน “ต้นกำเนิดงานชิ้นนี้มันเกิดจากตัวเองที่ออกงานสังคมทางศิลปะหรือมีชวนเราไปงานสังคมต่าง ๆ บางครั้งเขาก็เชิญเราไปเป็น Celebrity ในงาน แต่บางครั้งไม่มีใครรู้จักเราเหมือนครั้งแรกที่เราเข้าวงการ จนผมนึกสงสัยในใจเล่น ๆ ว่า แล้วเราเป็น
แม้เวลาหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ศิลปะจะยังคงอยู่ตลอดไป
ถ้าคุณบอกว่า คุณท้อแท้ และไม่มีทางทำสิ่งที่หวังสำเร็จได้ ลองคิดใหม่ เพราะขนาดคนที่มีอวัยวะไม่ครบเท่าคุณ เขายังทำได้