ทุกวันนี้เรามักจะได้ยินคำว่า “เล่นใหญ่” กับทุกวงการที่เกี่ยวข้องกับไอเดีย เพราะคนมักคิดว่าการแสดงออกให้ใหญ่เข้าไว้จะสร้างความประทับใจได้ แต่สำหรับเรื่องของศิลปะมีไดนามิกมากกว่านั้น เพราะไม่จำกัดขนาด แนวคิด หรือกรอบกฎเกณฑ์ใดเลย เช่นเดียวกับผลงานศิลปะของ Tanaka Tatsuya ศิลปินชาวญี่ปุ่นที่อยู่ระหว่างจัดขึ้นที่ No. 8 Bridge Space of Art in Shanghai ภายใต้ชื่อนิทรรศการว่า “Miniature Life Exhibition” ซึ่งรวบรวมผลงานจำนวนกว่า 100 ชิ้น นำเสนอไลฟ์สไตล์ชีวิตประจำวันในมุมมองต่าง ๆ ด้วยการ “เล่นเล็ก” แต่ทำให้รู้สึกใหญ่ได้ จากการหยิบวัตถุชิ้นเล็กใกล้ตัว มาเล่าเรื่องใหม่อย่างน่าสนใจ เบื้องหลังการสร้างสรรค์ภาพเหล่านี้มาจากความคิด และความประณีตในการจัดวางก่อนจะได้ภาพสวย ๆ ทุกใบ นี่คือตัวอย่างของภาพผลงานเพียง 1 ส่วน 10 ของจำนวนผลงานทั้งหมดที่เรานำมาฝาก ที่เราเชื่อว่าน่าจะช่วยปลดล็อกไอเดียความคิดสร้างสรรค์ของคุณได้ไม่มากก็น้อย ใครชื่นชอบผลงานแนวมินิของเขา แต่ยังไม่จุใจอยากติดตามต่อ สามารถเข้าไปตามต่อได้ในนี้ SOURCE
ถ้าเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน ผู้ชายอย่างเราอาจชอบคำตอบที่ชัดเจน แต่สำหรับศิลปะถือเป็นเรื่องยกเว้น เรารักมันได้เสมอไม่ว่ามันจะชัดเจนหรือไม่ วันนี้ UNLOCKMEN ขอพาทุกคนไปชื่นชนความงามกับสุนทรีย์อีกรูปแบบผ่านความไม่ชัดเจนที่เราชื่นชอบจากผลงานของทั้ง 2 ศิลปินต่อไปนี้ Philip Barlow : เบลอสไตล์โบเก้ งานสีน้ำมันเหล่านี้ ตั้งใจเบลอด้วยปลายพู่กันเพื่อถ่ายทอดความงามของแสงสีที่ผสมผสานกันลงตัว บ้างก็ซ้อนกันเป็นวง บ้างก็เส้นขอบของรูปร่างที่เห็นไม่ชัดเจน แต่เรายังคงพอมองออกว่าภาพเหล่านั้นคืออะไร ความไม่ชัดเจนบนผืนผ้าใบไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่ากำลังโดนรบกวนทัศนวิสัยขนาดต้องหาแว่นมาใส่ แต่สร้างความหลงใหลทำให้รู้สึกอยากจ้องมองให้นานขึ้นกว่าเดิม เทคนิกความสวยแบบเบลอ ๆ นี้ ได้ Philip Barlow ศิลปินแอฟริกันเป็นผู้ถ่ายทอด โดยได้แรงบันดาลมาจากแสงสีที่เกิดขึ้นจากการถ่ายภาพ ที่ช่างภาพนิยมเรียกเทคนิกการถ่ายนี้ว่า โบเก้ เขาจึงเก็บภาพถ่ายแนวนี้นำมาวาดมันลงผืนผ้าใบกลายเป็นภาพที่สวยงาม โดยเพียรทำมันมาต่อเนื่องถึง 17 ปีแล้ว Pedrita studio : เบลอสไตล์โมเสก ด้านบนเป็นความเบลอแบบโบเก้ แต่สำหรับชิ้นนี้เป็นความไม่ชัดแบบการต่อโมเสก คือเป็นลายต่อกระเบื้องที่ Lisbon จัดแสดง นิทรรศการว่า “Lost and Found” ภายใน Pedrita Studio ทว่าความครีเอทีฟของมันไม่ได้ง่ายแบบการต่อโมเสกสีทั่วไป แต่เป็นการต่อกระเบื้องที่มีลวดลายแตกต่างกัน เอามาเชื่อมต่อกันเป็นรูปที่เราสามารถมองเห็นรูปร่างได้ชัดเจน เมื่อเราถอยไปดู
Pop Art คือศิลปะแขนงหนึ่งซึ่งนำเสนอเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับผู้คนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องราวเกี่ยวกับผู้คนและสังคมในปัจจุบันที่กำลังได้รับความสนใจหรือถูกวิพากษ์วิจารณ์ในขณะนั้น เป็นเหมือนกระบอกเสียงสะท้อนภาพแท้จริงของสังคมในขณะนั้น เมื่อพูดถึง Pop Art หนึ่งในศิลปินแนวนี้ที่โด่งดังที่สุดคงหนีไม่พ้น ‘Andy Warhol’ ซูเปอร์สตาร์แห่งวงการ Pop Art ซึ่งโลดแล่นสร้างสรรค์ผลงานอยู่ในช่วงยุค 60-80 ถึงแม้ว่าในตอนนี้เขาจะไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้ว แต่ผลงานและเรื่องราวของเขายังถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง เหมือนที่ Henry Geldzahler ผู้ดูแล Metropolitan Museum of Art ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ในปี 1973 ว่า “Andy จะเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินรุ่นหลังไปอีกนานแสนนาน” หนึ่งใน Icon แห่งวงการศิลปะอย่าง Andy มีระบบความคิดไม่ธรรมดา วันนี้ UNLOCKMEN จึงจะพาไปสำรวจว่าวิธีการทำงานอย่างสร้างสรรค์สไตล์ Andy Warhol มีอะไรกันบ้าง ไม่แน่ว่าอาจจะมีเคล็ดลับอะไรที่เราสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับงานตัวเองได้ โดยเฉพาะสาย Creative บอกเลยว่าไม่ควรพลาด Crossbreed หนึ่งในสินค้าที่คุ้นตาชาวอเมริกันที่สุดคือซุปมะเขือเทศกระป๋องยี่ห้อ Campbell’s ส่วนหนึ่งในผลงานศิลปะชิ้นที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดของ Andy Warhol คือภาพวาดซุปมะเขือเทศกระป๋องยี่ห้อ Campbell’s เช่นกัน ถือเป็นความฉลาดและสร้างสรรค์ของ Andy ที่เลือกหยิบจับของใกล้ตัวที่ทุกคนรู้จักกันดีมาผสมผสานกับไอเดียของเขาจนเกิดเป็นผลงานศิลปะที่ตอนนี้มูลค่าของมันพุ่งสูงมากกว่า 80
ถ้าคุณคือคนหนึ่งที่เคยอ่านการ์ตูนขายหัวเราะ-มหาสนุก เชื่อว่าคงจำมุกตลกเรื่อง “นักเขียนการ์ตูนไส้แห้ง” ได้ขึ้นใจ เพราะมันเป็นมุกที่ถูกใช้วนซ้ำบ่อย ๆ จนเราเชื่อไปแล้วว่านักวาดการ์ตูนนั้นไส้แห้งจนต้องห้อยปลาทูไว้กับเพดานเพื่อกินกับข้าวจริง ๆ แม้ตอนนี้ยุคสมัยจะต่างออกไป งานในวงการศิลปะและงานสร้างสรรค์ได้รับความสำคัญมากขึ้น แต่ในโลกออนไลน์ก็ยังมีกรณีการกดราคาคนทำงานสร้างสรรค์ออกมาให้เห็นอยู่บ่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นขอให้ทำอินโฟกราฟิกด้วยราคาไม่ถึงร้อย ออกแบบโลโก้ในราคาร้อยกว่าบาท หรือจ้างเขียนบทความบทความละร้อยสองร้อย “ศิลปินไส้แห้ง” จึงไม่ใช่คำที่เกินความจริงแต่อย่างใด แต่นอกจากระบบเศรษฐกิจที่ไม่ให้ความสำคัญกับงานสร้างสรรค์แล้ว นักวิทยาศาสตร์เขาดันค้นพบคำตอบว่าบางทีความจนที่มาคู่กับศิลปิน มันมีเรื่องเชื่อมโยงกันมากกว่านั้น งานวิจัยชิ้นนี้เป็นของ ดร.Roberto Goya-Maldonado ผู้เป็นหัวหน้าแผนกประสาทวิทยา ที่ห้องปฏิบัติการจิตเวชในศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัย เมือง Gottingen ประเทศเยอรมนี งานวิจัยครั้งนี้เขาได้กลุ่มตัวอย่างมาจำนวนหนึ่ง โดยแบ่งออกเป็นคนที่ทำงานด้านศิลปะ เช่น นักแสดง จิตรกร ประติมากร และช่างภาพ และอีกครึ่งหนึ่งคือคนที่ไม่ได้ทำงานเกี่ยวข้องกับศิลปะเลย เช่น พนักงานขายประกัน ทันตแพทย์ ผู้บริหาร และวิศวกร รวมถึงคนที่ระบุออกมาว่างานของตัวเองไม่มีความข้องเกี่ยวกับการ “สร้างสรรค์” ทีมวิจัยจะทำหน้าที่เฝ้าสังเกตการณ์ส่วนต่าง ๆ ในสมองของคนเหล่านี้ที่หลั่งสารโดปามีนออกมา โดยสารโดปามีน เป็นสารเคมีในสมองชนิดหนึ่งที่จะหลั่งออกมาก็ต่อเมื่อเรารู้สึกตื่นเต้น เร้าใจ เช่น อาจจะตื่นเต้นจากเรื่องเพศ การใช้ยาเสพติดแบบสุดเหวี่ยง หรือเมื่อเรากำลังลุ้นการพนันอยู่ ฯลฯ จากนั้นการทดลองเรื่องสมองก็เริ่มขึ้น
“สำหรับประชาชนทุกคนที่ถูกรัฐบาลรังควาน ผมว่า เฮ้ย! คุณต้องสู้ เพราะเมื่อไหร่ที่คุณกลัว เขาจะยิ่งไล่ต้อนคุณไปเรื่อย ๆ ” ประโยคนี้จาก Headache Stencil ทำให้เรานิ่งคิด ถ้าเราเป็นประชาชนแต่ถูกรัฐบาลรังควานไม่ว่าจะในรูปแบบของการมาข่มขู่ตรง ๆ หรือภายใต้รูปแบบการบริหารงานที่ตรวจสอบไม่ได้ ทำไมเราต้องนิ่งเฉยล่ะ ? ทำไมเราต้องปล่อยให้เขาทำอะไรกับประเทศเราก็ได้ล่ะ ? แน่นอนว่ามีคนที่เลือกนิ่งเฉย แต่ก็แน่นอนว่ามีคนที่ไม่กลัว มีคนที่ไม่ยอมถูกไล่ต้อนและลุกขึ้นมาตั้งคำถามกับอำนาจที่ไม่เป็นธรรม หนึ่งในคนที่กล้าลุกมาปะทะกับรัฐบาลทหารคราวนี้ต้องมีชื่อของ Headache Stencil อยู่ด้วยแน่นอน Headache Stencil อาจเป็นชื่อที่บางคนรู้จักเป็นอย่างดี แต่ก็อาจเป็นชื่อที่บางคนเกาหัวแกรก ๆ แล้วถามว่า “ใครวะ?” แต่ถ้า UNLOCKMEN แปะผลงาน Political Art ฝีมือเขาให้ดู เชื่อว่าเกือบทุกคนต้องร้องอ๋อแน่นอน เพราะผลงานเขาที่แผลงฤทธิ์ด้วยการตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์สังคมการเมืองได้แบบดุเดือดชนิดที่เป็นคนไม่สนใจการเมืองก็ต้องเคยเห็นเพื่อนแชร์งานเขาผ่านตามาแน่ ๆ ถ้าจะให้พูดแบบสั้น ๆ Headache Stencil คือศิลปินสตรีทอาร์ตที่ทำงาน Political Art เพื่อตั้งคำถามกับความไม่ปกติในสังคม แต่ถ้าจะเอาฉบับจุใจ เราก็ชวนคุณมาเสพความคิดของเขาผ่านการพูดคุยครั้งนี้ไปด้วยกัน แต่ถ้าอ่านจบแล้วมันปลุกพลังบางอย่างในตัวคุณให้เดือดพล่านจนดับไม่ลง วันเสาร์นี้ (30 มิถุนายน
ผู้ชายอย่างเรามักจมอยู่กับความคิดที่ว่าผู้หญิงต้องอ่อนหวาน น่ารัก และปกปิดเรือนร่างตัวเองเพื่อจะดูเป็นผู้หญิงที่คู่ควรกับเรา แต่ถ้าลองคิดทบทวนดูอีกทีการเปิดเผยเรือนร่างของผู้หญิงก็ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย แถมเป็นสิทธิเหนือเรือนร่างที่พวกเธอต้องได้เลือก ได้ตัดสินใจเองด้วยซ้ำ แต่ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้วยังอดขมวดคิ้วสงสัยไม่ได้ว่า “มันจริงหรอวะ?” UNLOCKMEN อยากพาผู้ชายหัวดื้ออย่างคุณมาชมนิทรรศการ This is not cute นิทรรศการครั้งที่ 4 ของ “ปก-ปกฉัตร วรทรัพย์” ช่างภาพสาวที่เลือกจะถ่ายภาพเปลือยผู้หญิง ไม่ใช่แค่นั้นแต่เราจะชวนจับเข่านั่งคุยให้รู้กันไปเลยว่าตกลงผู้หญิงจำเป็นต้องทำแต่อะไรน่ารัก ๆ อย่างที่ผู้ชายคิด หรือจริง ๆ แล้วพวกเธอควรมีสิทธิเลือกสิ่งที่ตัวเองต้องการ อย่างที่ “ปก-ปกฉัตร” เลือกหาญกล้าท้าทายสังคมด้วยการถ่ายภาพ NUDE มาอย่างยาวนานกันแน่ ? จากกล้องคอมแพคสู่การเรียนเพื่อหาตัวตน ปกฉัตรเป็นช่างภาพฟรีแลนซ์ที่กำลังง่วนกับการจัดงานแสดง This is not cute นิทรรศการของตัวเอง แต่ถ้าถามถึงจุดเริ่มต้น เธอเริ่มถ่ายภาพมาตั้งแต่มัธยม เริ่มต้นจากกล้องคอมแพคเหมือนเด็กวัยรุ่นคนอื่น ๆ ถ่ายเล่น ๆ ไปเรื่อย ๆ จนถึงจุดเปลี่ยนสำคัญคือการได้เข้าเรียนคณะสถาปัตยกรมศาสตร์ ภาควิชานิเทศศิลป์ สาขาถ่ายภาพ ซึ่งได้เรียนสารพัดเทคนิคการถ่ายภาพ“เราต้องเรียนเพื่อเป็นพื้นฐาน เพื่อให้ต่อยอดงานไปข้างหน้าได้” เธอบอกกับเราด้วยสายตามุ่งมั่น แต่ดูเหมือนว่าการจบการศึกษาระดับปริญญาตรีจะทำให้ปกฉัตรค้นพบตัวเองแค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น การเรียนต่อปริญญาโทจึงเป็นการค้นหาตัวตนในอีกระดับ
“ศิลปะไม่ควรสูงส่ง แต่ควรจะอยู่ระดับเดียวกับผู้คน” คำพูดเพียงประโยคสั้น ๆ แต่ปล่อยหมัดตรงจนเราแทบน็อคจากศิลปินสตรีทอาร์ตนามว่า P7 ประโยคนี้ UNLOCKMEN ว่ามันคือใจความสำคัญทั้งหมดของบทสนทนาวันนี้ เพียงแต่ P7 ไม่ได้พูดลอย ๆ เท่านั้น แต่เขาปลดล็อกพลังสร้างสรรค์ของตัวเองเพื่อให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของผู้คนได้อย่างน่าทึ่งด้วยการร่วมมือกับ Ananda Development สร้างสรรค์ผลงานศิลปะในคอนโดมิเนียม “Ideo RAMA9 – ASOKE” ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Live Work Play” ซึ่งช่วยตอกย้ำให้ผู้ชายอย่างเราเห็นว่าศิลปะในแบบ P7 ไม่ต้องแหงนคอมอง ไม่ต้องปีนบันไดขึ้นไปดู แต่ศิลปะสามารถส่งต่อพลังงานแห่งความสร้างสรรค์และศิลปะสามารถกลมกลืนอยู่ในระดับเดียวกับชีวิตผู้ชายในเมืองใหญ่อย่างเราได้อย่างลงตัว “P7 – พีระพงศ์ ลิ้มธรรมรงค์” จึงไม่ใช่แค่ศิลปินสตรีทอาร์ตที่มีผลงานเป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ แต่เป็นทั้งแรงบันดาลใจ ความลงตัว และเป็นขุมพลังงานล้นเหลือหาตัวจับยากที่เราต้องรีบทำความรู้จักเขา รวมถึงรู้จักผลงานล่าสุดของเขาที่จะพาเราเข้าสู่โลกแห่งการสร้างสรรค์ศิลปะครั้งใหม่ที่ผสมผสานการใช้ชีวิตในเมืองไว้ด้วยกันแบบที่หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว P7’s LEGACY : ศิลปินไม่ใช่แค่รับจ้าง แต่ทุกอย่างต้องเป็นศิลปะ “ชอบวาดรูปมาตั้งแต่เด็ก แล้วก็วาดมาเรื่อย ๆ จนถึงปัจจุบัน” P7 เริ่มต้นพูดถึงชีวิตตัวเองที่คลุกคลีอยู่กับศิลปะมาตั้งแต่เด็ก แม้งานล่าสุดของเขาจะเป็นสตรีทอาร์ต แต่การเป็นศิลปินเบอร์ต้น ๆ ของประเทศและเป็นที่รู้จักในต่างประเทศทำให้เขาสร้างสรรค์ทั้งงานเพนท์ติ้ง สเปรย์อาร์ต
แค่เอ่ยคำว่า “พิพิธภัณฑ์” ออกมาก็เหมือนผู้ชายอย่างเราต้องคำสาป ชะงักงันกันไปตาม ๆ กันเพราะมันดูไม่มีอะไรน่าสนใจเอาซะเลย แค่พูดถึงก็อยากส่ายหน้าหนีไปให้ไกล แต่การเปิดมิติใหม่ของพิพิธภัณฑ์ในปารีส ฝรั่งเศสครั้งนี้อาจทำให้ผู้ชายอย่างเราต้องปรับทัศนคติเรื่องพิพิธภัณฑ์ครั้งใหญ่ “พิพิธภัณฑ์อะไรวะ ให้แก้ผ้าเข้าชม!?” ใช่ อ่านไม่ผิด พิพิธภัณฑ์นี้เราจะได้แก้ผ้าเข้าชม ก่อนจะกดจองตั๋ว ขอวีซ่าเตรียมพาสาวไปเที่ยว มาสำรวจกันหน่อยว่าที่มาที่ไปมันเป็นอย่างไรกันแน่ ? พิพิธภัณฑ์ที่เปิดประสบการณ์ใหม่แห่งการเข้าชมพิพิธภัณฑ์คือพิพิธภัณฑ์ศิลปะร่วมสมัย Palais de Tokyo (The Palais de Tokyo contemporary art museum ) โดยเปิดให้ผู้คนได้เปลือยกายล่อนจ้อนเข้าชมพิพิธภัณฑ์เป็นครั้งแรกเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (5 พ.ค.) โดยใช้เวลาราว ๆ 2 ชั่วโมง และหลังจากนั้นก็จะมีการดื่มเฉลิมฉลองกัน (ทั้ง ๆ ที่เปลือยกายนั่นแหละ) บนแกลลอรี่ดาดฟ้าที่สามารถมองเห็นหอไอเฟลได้ ถ้าเราพูดถึงการเปลือยกายในไทย เราอาจจะคิดออกแต่เรื่องใต้สะดือ หรือคิดว่าต้องมีแต่เรื่องทางเพศเท่านั้น แต่การจัดให้คนเปลือยกายเข้าชมพิพิธภัณฑ์ในฝรั่งเศสนับเป็นส่วนหนึ่งของอีเวนท์เพื่อชาว Naturist โดย Naturist หรือผู้นิยมธรรมชาติไม่ได้มีอยู่แค่ในฝรั่งเศสเท่านั้นแต่มีอยู่ทั่วโลก โดยคนเหล่านี้รักการเปลือยกายเพื่อสัมผัสอากาศ สายลม แสงแดด และบรรยากาศรอบตัวด้วยผิวหนังเปลือยเปล่า การเข้าชมร่างกายทั้ง
คนที่มีศิลปะในหัวใจ จะละเลงงานศิลป์จากปลายปากกาหรือปลายพู่กันมันก็ไม่ใช่ปัญหาตราบเท่าที่หัวใจยังคงเปี่ยมความเป็นศิลปิน เช่นเดียวกับ Bro รุ่นปู่จากแดนอาทิตย์อุทัยผมทรงโมฮอว์กคนนี้ที่กำหมัดจุ่มนวมในถังสี รัวใส่ผืนผ้าใบหรือกระดาษแบบไม่ยั้งจงกลายเป็นงานศิลปะที่ไปติดตามแกลอรี่ดังขึ้นชื่อมากมาย หลายคนสงสัยว่าชายชราฟิตปั๋งผมขาวคนนี้เป็นใคร นักมวยเก่าหรือไม่ ? เราตอบได้ตรงนี้เลยว่า “ไม่” เพราะปู่เขาขึ้นแค่สังเวียนผ้าใบเท่านั้นจนเกิดเป็น signature ประจำตัวของเขาที่ใครก็เรียกว่า “Boxing painting” วิญญาณศิลปินนักสู้ก่อนสวมนวม! Ushio Shinohara มีชื่อเล่นที่คนส่วนใหญ่เรียกกันติดปากว่า Gyu-chan เกิดที่โตเกียวในปี 1932 เรียนศิลปะในเมเจอร์จิตรกรรมสีน้ำมันที่ Tokyo Art University ก่อนจะออกมาเดินทางมุทะลุเสาะแสวงหาจิตวิญญาณและตั้งรกรากใหม่ทำมาหากินไกลบ้านจากแดนตะวันออกสู่ตะวันตกที่ “นิวยอร์ก” เมืองแห่งการเสาะหาอิสรภาพทางความคิดและชีวิต มาถึงตอนนี้ปู่ก็มีอายุยาวนานกว่า 8 ทศวรรษของการใช้ชีวิตแล้ว เพราะอายุ 85 ปีเข้าไปแล้ว ถือเป็นบิ๊กบอยรุ่นใหญ่ที่เก๋าเรื่องการใช้ชีวิต ซึ่งแน่นอนว่าไฟฝันจากวันวานที่ยังลุกโชติช่วงถึงตอนนี้ที่ยังคงฟิตฟุตเวิร์กได้ย่อมทำให้ปู่เป็นหนึ่งในตำนานมีชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการบุกเบิกทางศิลปะพอสมควร หนึ่งในความคูลของปู่ที่หลายคนอาจจะไม่รู้คือเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งกลุ่ม Neo-Dada movement หรือกลุ่มการเคลื่อนไหวของศิลปะดาด้าใหม่ในช่วงปี 1960 แนวศิลปะที่ว่าด้วยจิตวิญญาณของกลุ่มศิลปินเลือดนักสู้ที่ต้องการต่อกรกับกลุ่มทุนนิยมแบบสันติ โชว์ความเป็นไปของยุคจากการหยิบวัสดุใกล้ตัวทั้งหลายมาสร้างเป็นงานประติมากรรม จนเป็นการก้าวสำคัญที่แปะป้าย “Junk art” หรือศิลปะขยะ ให้กับงานแขนงนี้ หรือจะเรียกว่าเป็นเอกลักษณ์ของงานขึ้นมาเลยก็ว่าได้ ซึ่งงานที่ได้จากการกว้านวัสดุเหลือใช้มาสร้างตอนหลังเราจะเห็นได้ว่าเป็นแนวศิลปะที่มีให้เห็นบ่อยในนิทรรศการยุคนี้ ไม่ว่าจะเป็นพวกงาน installation หรืองานประติมากรรม สำหรับงาน
ถ้าพูดถึงคำว่า “อีสาน” สำหรับผู้บ่าวเมืองหรือคนนอกพื้นที่อาจมองภาพไม่ค่อยออก นอกจากจะเข้าใจว่าเป็น ถิ่นเศรษฐกิจ ยินเสียงแคน แดนส้มตำ และเป็นพื้นที่แห้งแล้งตามที่หน้าบทเรียนบอกไว้ ทั้งที่ในความจริงอีสานมีมากกว่านั้นเยอะ โดยเฉพาะความเข้มข้นทางอุดมการณ์ งานศิลป์ กับวัฒนธรรมแสบ ๆ คัน ๆ เรื่องเพศที่เอามาตีแผ่ผ่านประเพณี เรียกได้ว่าความทะเล้นขี้เล่นเลยไม่เป็นรองใครเหมาะกับผู้บ่าว UNLOCKMEN ที่มีศิลปะความแสบมันส์ ลึก น่าสนใจ ชอบการแสดงความคิดเห็นและมีอารมณ์ดีเป็นที่ตั้งจะได้ไป challenge ประสบการณ์ใหม่ช่วงวันหยุด โดยสามารถเบิ่งเต็มตาได้ที่นิทรรศการ “อีสานสามัญ” นิทรรศการหมุนเวียนที่จัดขึ้นใจกลางกรุงเทพฯ ภายในห้องนิทรรศการหลักชั้น 9 ของหอศิลป์วัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC) ได้ ส่วนใครที่ยังตัดสินใจไม่ได้ลองดูภาพที่เราไปเก็บมาฝากเพื่อเรียกน้ำย่อยกันก่อน พุ่งตรงเข้าตะวันออกเฉียงเหนือที่ชั้น 9 เดินขึ้นบันไดเวียนมาตามทาง สิ่งที่เจอจะมีงานศิลปะหลายประเภท ทั้งภาพวาด ภาพถ่าย Installation แล้ววิดีทัศน์ให้เราเดินไปได้ตลอดรายการไม่เบื่อ ที่สำคัญงานไม่ได้ลึกหรือ Abstact เกินกว่าจะเข้าใจ แต่สามารถนั่งมองและอ่านมันได้ยาวๆ หลายนาที ดินแตกบนผืนผ้าใบแลกเรื่องเล่าชาวอีสาน ภาพแม่เฒ่า พ่อเฒ่า บนผืนผ้าใบที่จัดเรียงตามแนวกำแพงด้วยสีหน้าเปี่ยมอารมณ์ความรู้สึกถูกจับเล่ากับสีโทนน้ำตาลที่ทำให้เราสัมผัสได้ถึงความระอุขอแดนอีสาน ขัดกับแอร์คอนดิชั่นเย็น ๆ ที่กำลังงานได้เป็นอย่างดี ถ้าบอกว่ามันต่างจากภาพวาดของศิลปินคนอื่น ๆ