Audi ถือเป็นอีกค่ายที่มีรถยนต์พลังงานไฟฟ้าหลายรุ่นเตรียมไว้สำหรับแข่งขันในตลาดในอนาคต หนึ่งในนั้นคือเอสยูวีอย่าง E-Tron 55 Quattro ที่เปิดตัวรถคอนเซ็ปต์ครั้งแรกในปี 2015 และเพิ่งส่งมอบรถคันแรกในลูกค้าไปเมื่อเดือนมีนาคมปี 2019 ที่ผ่านมา หลังเปิดตัว E-Tron กลายเป็นรถที่ได้รับความนิยมได้ทั่วทวีปยุโรปด้วยยอดจองเกิน 10,000 คัน รั้งตำแหน่งรถยนต์ที่ถูกสั่งจองเป็นอันดับ 2 ในเดือนธันวาคมปี 2019 ของประเทศเนเธอแลนด์ แต่พร้อมกันนั้น Audi ก็ได้ทำการพัฒนา E-Tron ออกมาเป็นเอสยูวีครอสโอเวอร์ในชื่อ E-Tron S และ E-Tron Sportback S แต่รถทั้ง 2 คันจะพัฒนาขึ้นจากรุ่นมาตรฐานในจุดไหนบ้าง มาชมไปพร้อมกัน เริ่มที่เรื่องสำคัญที่ทำให้ E-Tron S และ E-Tron Sportback S มีประสิทธิภาพมากขึ้น คือรถทั้ง 2 รุ่นเป็นรถยนต์พลังไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว โดยมอเตอร์ 1 ตัววางไว้ที่เพลาขับด้านหน้าและอีก 2 ตัวที่เพลาขับด้านหลัง ทั้งหมดให้พลังรวมกันที่
Audi ประกาศเตรียมวางขาย Audi R8 RWD ลงสู่ตลาดในช่วงต้นปี 2020 เพราะได้เสียงตอบรับที่ดีจากกลุ่มผู้ซื้อ หลังจากเมื่อปี 2018 พวกเขาทดสอบความนิยมในตลาดด้วยการปล่อยขายในจำนวนจำกัด Audi R8 RWD หรือโมเดลขับเคลื่อนล้อหลังเตรียมถูกโยกเข้าสู่รุ่นผลิตหลักเคียงข้าง R8 AWD (All-Wheel Drive) หลังจากปีที่ผ่านมา Audi ทดลองส่ง R8 ในโปรแกรม RWS (Rear Wheel Series) ออกสู่ตลาด และได้เสียงตอบรับที่ดีจากลูกค้าของแบรนด์ เพราะราคาที่ถูกลงและน้ำหนักของตัวรถที่เบาลง Audi R8 RWD เปิดตัวมาในโมเดล 2 ประตู (Coupe) และเปิดประทุน (Spyder) แต่ยังคงงานออกแบบภายนอกจากรถโมเดลมาตรฐานไว้ ไม่ว่าจะเป็นช่องลมด้านหน้า 3 ช่อง สี Gloss Black และช่องอากาศด้านหลัง รวมถึง Diffuser ก็ทำออกมาในสี Gloss Black เช่นกัน ต่างกันเพียงช่องลม
Audi กำลังมุ่งพัฒนาตลาดรถยนต์เอสยูวีของตัวเองให้ยอดเยี่ยมและแตกต่างมากขึ้น โดยเฉพาะเอสยูวีสไตล์ครอสโอเวอร์ขนาดเล็กที่หันมาให้ความสำคัญเรื่องสมรรถนะ โดยล่าสุด Audi เปิดตัว Audi RS Q3 Sportback รถคันใหม่ออกมาสด ๆ ร้อน ๆ Audi RS Q3 Sportback รุ่นปี 2020 พัฒนาโดยมีพื้นฐานมาจาก RS Q3 รุ่นปกติ Audi มีแผนสร้างมันออกมาเป็นรถเอสยูวีสไตล์ครอสโอเวอร์ที่ดุดันและแรงกว่าเดิม พร้อมเสน่ห์งานดีไซน์ที่ใส่ดีเอ็นเอความสปอร์ตลงไปมากขึ้นเพื่อไม่ให้เสียชื่อของ Audi Sport RS Q3 Sportback โดดเด่นด้วยกระจังหน้าขนาดใหญ่ 3 ช่องที่เลือกใช้สี Gloss Black โดย 2 ช่องด้านข้าง ดีไซน์ให้เป็นสามเหลี่ยมเหมือนใบมีดเพื่อเพิ่มความโฉบเฉี่ยวของตัวรถ ในขณะที่เส้นสายด้านข้างตัวรถออกแบบมาให้มีเหลี่ยมมุมมากขึ้น ส่วนหลังคาด้านหลังถูกเปลี่ยนองศาให้ลาดลงมาพร้อมกับสปอยเลอร์ในตัว มาพร้อมท่อไอเสียขนาดใหญ่หนึ่งคู่ที่เข้ากับล้อแม็กขนาด 20 นิ้วอย่างลงตัว ด้านขุมพลัง Audi RS Q3 Sportback ใช้เครื่องยนต์ 5 สูบขนาด 2.5
หากพูดถึงรถยนต์กันกระสุนผู้ชายอย่างเราคงนึกภาพรถยนต์ประเภท SUV คันใหญ่ที่มาพร้อมลุคสุดแกร่งหรือรถเก๋งซีดานขนาดใหญ่ที่เหล่าทูตหรือผู้นำประเทศใช้งานกันซึ่งก็ดูจะทำความเร็วหนีกระสุนได้ไม่ดีนัก บริษัทอย่าง AddArmor เลยปรับแต่ง Audi RS7 คันแรงให้ออกมาเป็นรถกันกระสุนที่วิ่งเร็วที่สุดในโลกเสียเลย AddArmor เป็นบริษัทที่รับดัดแปลงรถยนต์ปกติให้เป็นรถกันกระสุนที่ก่อตั้งโดยกลุ่มคนสุดแข็งแกร่ง Pate Blaber อดีตผู้บัญชาการหน่วยปฏิบัติภารกิจพิเศษผู้เคยมีประสบการณ์รบในสมรภูมิในประเทศอย่างโคลัมเบีย, โซมาเลีย, บอสเนีย, อิรักและอัฟกานิสถาน Jeff Engen Anderson อดีตผู้ฝึกสอน “Tactical Officer” ของศูนย์ฝึกอบรมบังคับใช้กฎหมายสหรัฐอเมริกา ในขณะที่ Joe Vega ที่เคยเป็นหน่วยปฏิบัติภารกิจพิเศษสหรัฐอเมริกาและเคยทำหน้าที่ในอัฟกานิสถานและอิรักรับหน้าที่รองประธานฝ่ายวิจัยและพัฒนา โดยจุดมุ่งหมายของบริษัทของพวกเขาคือ “Turn Regular Vehicles Into Mobile Safe Rooms” ล่าสุดพวกเขาจับรถคันแรงอย่าง AUDI RS7 มาปรับแต่งให้เป็นยานยนต์ที่แข็งแกร่งและเร็วแรงในคันเดียว Audi RS7 ‘AddArmor’ ถูกเปลี่ยนวัสดุและปรับแต่งออกมาให้กันอาวุธสมัยใหม่ตั้งแต่หัวจรดท้าย เริ่มตั้งแต่ตัวรถที่ถูกหุ้มด้วยแผ่นโพลีคาร์บอเนตเกรดกองทัพ แข็งแกร่งกว่าเหล็ก Ballistic ถึง 10 เท่าด้วยน้ำหนักที่เบากว่าถึง 60 เปอร์เซ็นต์และใช้กระจกที่มีชั้นโพลีคาร์บอเนตผสม Ballistic Glass ซึ่งทนทานต่อกระสุนปืนขนาด .44 Magnum นอกจากนั้นยังใช้ยาง Pirelli
นับตั้งแต่ Audi Customer Racing หรือแผนกผลิตรถยนต์สำหรับแข่งขันก่อตั้งขึ้นในปี 2009 หนุ่ม ๆ อย่างเราก็มีโอกาสได้เห็นยนตรกรรมสายพันธุ์นักแข่งถูกปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น RS 3 LMS, R8 LMS GT3 และ R8 LMS GT4 ล่าสุดพวกเข้าเติมเต็มช่องว่างที่หายไปด้วยการเปิดตัว R8 LMS GT2 ที่มาพร้อมขุมพลังที่แรงกว่าทุกคันที่เคยสร้างมาก่อนหน้านี้ เปิดตัวและขับโชว์สมรรถนะแบบสด ๆ ร้อน ๆ ไปในงาน Goodwood Festival of Speed 2019 ถือเป็นการเรียกน้ำย่อยให้หนุ่ม ๆ ผู้มีเงินถุงเงินถังที่กำลังสนใจก้าวเข้าสู่วงการมอเตอร์สปอร์ตได้เพิ่มตัวเลือกในการตัดสินใจซื้อ เพราะ R8 LMS GT2 คันนี้มาพร้อมกับแรงม้าที่สูงกว่าสามรุ่นก่อนหน้าแบบก้าวกระโดด R8 LMS GT2 ถูกสร้างขึ้นด้วยแชสซีจากโมเดลที่วิ่งบนถนนปกติอย่าง R8 Spyder โดยปรับปรุงให้มีหลังคาเอียงต่ำพร้อมติดตั้งช่องระบายอากาศด้านบนและสปอยเลอร์ขนาดใหญ่ช่วยเสริมแรง Downforce อย่างมีประสิทธิภาพ โดยน้ำหนักที่ถูกลดทอนลงจากการปรับแต่งและการใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ทำให้มันมีน้ำหนักเพียง 1,350 กิโลกรัมเบากว่า
Audi TT รถยนต์สปอร์ต 2 ประตูจากสายการผลิตรถยนต์ที่เริ่มต้นจากการเป็นรถที่ต้องการนำเสนอความโดดเด่นของดีไซน์มาตั้งแต่ช่วงยุค 90’s ซึ่งแน่นอนว่าความสวยงามของมันก็ทำให้ได้รับความนิยมจากหนุ่ม ๆ มาทุกยุคสมัย แต่ในปัจจุบันกับรุ่นล่าสุดอย่าง 2020 Audi TT RS กลับไม่ได้มาพร้อมความสวยงามเท่านั้น แต่มาพร้อมอัตราการเร่งบนท้องถนนที่ทำได้ไม่แพ้บรรดาซุปเปอร์คาร์เลยทีเดียว TT RS เปิดตัวครั้งแรกที่ Geneva Auto Show 2009 เป็นรถยนต์ที่ถูกพัฒนาโดยแผนกผลิตรถยนต์สมรรถนะสูงของ Audi ที่รู้จักกันในชื่อ Quattro GmbH ในโรงงานที่เมือง Neckarsulm ประเทศเยอรมนี โดยถูกผลิตออกมาเป็นรถสปอร์ตขนาดกะทัดรัด 2 รูปแบบด้วยกันเป็นโมเดล Coupe และ Convertible และยังคงสายการผลิตมาถึงรุ่นล่าสุดอย่าง 2020 Audi TT RS ที่กำลังจะเข้าตีตลาดยุโรปในเร็ว ๆ นี้ 2020 Audi TT RS มาพร้อมดีไซน์เอกลักษณ์กับความโค้งมนของตัวรถที่ตัดด้วยเส้นที่เริ่มจากฝากระโปรงยาวไปจนส่วนท้ายของตัวรถ พร้อมไฟหน้า Matrix LED ที่โฉบเฉี่ยวและช่องระบายอากาศด้านหน้ารูปทรงหกเหลี่ยมสีดำ โดยยังคงให้ความสำคัญในสีสันของตัวรถ มีเฉดสีให้เลือกมากถึง
ยังคงคอนเซ็ปต์ “Born on the track and Built for the road” เหมือนเดิมสำหรับซุปเปอร์คาร์ตัวท็อปของค่าย Audi R8 หลังล่าสุดพวกเขากลบเสียงลือเกี่ยวกับการลดขนาดเครื่องยนต์ลง ด้วยการเผยโฉมใหม่ของ AUDI R8 2019 ที่เปิดตัวพร้อมขุมพลังโหดยิ่งกว่าเดิม รวมถึงปรับแต่งรูปลักษณ์ภายนอกให้ดูโฉบเฉี่ยวเร้าใจมากขึ้นด้วย AUDI AG บริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติเยอรมนีเปิดตัว Supercar เรือธงของค่ายกับ AUDI R8 2019 ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Audi original Quattroในช่วงปี 1980 รวมถึงหยิบจับเอาส่วนดีจากรถแข่งในค่ายมาปรับเสริมในเรื่องงานดีไซน์ โดย R8 รุ่นพัฒนาล่าสุดถูกผลิตออกมาภายใต้โมเดลสุดคูลอย่าง Coupe และ Spyder แถมทั้งสองรุ่นยังสามารถเลือกติดตั้งเครื่องยนต์ V10 ตัวพัฒนาล่าสุดได้ถึง 2 แบบกลบข่าวลือที่พูดว่าพวกเขาจะหันมาใช้เครื่องยนต์ V6 Twin-Turbocharged แทน (อาจเกิดขึ้นในอนาคต) โดยเครื่องยนต์ตัวเลือกแรกเป็นแบบ V10 ขนาด 5.2 ลิตร แบบปกติมาพร้อมขุมกำลัง 562 แรงม้า ให้อัตราการเร่งตั้งแต่ 0-100ใน 3.4 วินาทีสำหรับรุ่น Coupe (3.5 วินาทีในรุ่น Spyder)